EN06 จางชื่อซวน...ประติมากรตกอับ
เมื่อมังกรอยากเป็นมนุษย์จับคู่กับงูเผือกบ้ากวี การเดินทางเพื่อตามหาความฝันจึงเริ่มต้นขึ้น ภายใต้การชักใยของเหล่าเทพชั้นสูงเพื่อส่งมังกรไปให้ถึงสองมือของจักรพรรดิคู่บารมี
ตัวอย่างจดหมายสมัยราชวงศ์สุย (ฉบับคัดลอก) พบในสุสานสมัยหลัง
3
การตัดสินใจของเหล่านักเดินทาง
ใบไม้ชอุ่มเขียวขจี
หากท้องนามากมีกลับระแหง
ชายฉกรรจ์ทั้งหลายไร้เรี่ยวแรง
ออกบ้านไปไม่เคยหวนกลับมา
หลี่มี่ได้กล่าวไว้ในสาส์นแจ้ง
ว่าหยางตี้ชั่วช้าสามานต์นัก[1]
มาดแม้นไผ่หนานซานมหาศาล
ยังมิอาจพอบันทึกทั้งหมดได้
กระทั่งคลื่นลูกใหญ่ในตงไห่
ก็มิอาจชะล้างบาปที่ก่อไว้
มาดแม้นว่าสุยเคยเกรียงไกร
มิวายต้องดับดังเป่าเทียน
พรากครอบครัวเพื่อขุดคลองหลายแขนง
พรากพี่น้องตายจากไม่กลับคืน
เพียงเพื่อตนได้สำราญทุกค่ำคืน
ชาวประชากล้ำกลืนสุดทุกข์ทน
จ้าวจื้อเฉิง
รัชกาลพระเจ้าสุยเหวินตี้ รัชศกต้าเย่ ปีที่เก้า
เขาเบื่อ...
เบื่อที่ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นแบบนี้!
“...แล้วก็นะเฉินอี เจ้ารู้ไหมว่าหญิงสาวแถวนี้วางตัวไม่ดีเลย มารยาทก็ไม่งาม ผัดแป้งเกินควรจนหน้าขาวซีดพยายามจะอวดกันอยู่ได้ว่าตนเองสวยสดงดงามหนักหนา ข้าน่ะนะไม่ปลื้มเลยสักนิด หญิงแถวบ้านข้างดงามกว่ามาก ทั้งกิริยา วาจาและจริตมารยานั้นสมบูรณ์พร้อม เจ้าน่าจะได้ลงใต้ไปกับข้า ต้องมีแม่หญิงสัก นางที่เหมาะสมกับเจ้าแน่”
“ข้ามีเป้าหมายจะอุทิศตนให้พระพุทธองค์ เกรงว่าเช่นนั้นจะไม่งามขอรับ”
ในความคิดของเขา เฉินอีหยุดจ้าวจื้อเฉิงได้ดีเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้างูปากมากก็ยังไม่หยุดพล่ามน้ำไหลไฟดับราวกับถ้าไม่ได้เปิดปากพูดจะสิ้นใจเสียกระนั้น
“เจ้าควรจะพักปากเสียบ้าง”
“ข้าพูดกับเฉินอี ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
งูก็ยังคงเป็นงูตัวเดิม ตัวที่แสร้งโง่ทำทีเป็นไม่รู้ว่าเด็กน้อยวัยสิบเอ็ดก็แค่ยิ้มรับพยักหน้าไปเฉยๆ แต่หูเจ้าตัวคงไม่ได้ฟังสักเท่าไร ดูอย่างไรก็น่าจะสลับอายุกันมากกว่า ระหว่างงูเผือกอายุสองร้อยที่สมองต่ำกว่าสิบกับเด็กน้อยที่ความคิดโตกว่าตัวเหลือเกิน
พวกเขากำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านที่ตลาดซบเซาราวกับต้นไม้ขาดน้ำ หลังจากแวะทานอาหารในเพิงเก่าที่ชายสูงวัยเจ้าของร้านพล่ามคิดถึงลูกหลานที่ถูกเกณฑ์ไปขุดคลองเสร็จแล้วจึงคิดจะออกมาเปิดหูเปิดตา แต่สิ่งที่พบกลับมีเพียงผลไม้จำนวนน้อยกับผักเหี่ยวเฉาราคาแพง และผู้คนที่อยู่ราวไร้ชีวิต ต่างคนต่างหาอะไรมาทำไม่ให้คิดถึงคนที่บ้านซึ่งไม่เพียงแต่ถูกพาไปขุดคลองเท่านั้น บางส่วนก็ถูกเกณฑ์ไปซ่อมแซมกำแพงเมืองและพระราชวังของฮ่องเต้ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานตั้งแต่ฤดูหนาวของปีกลาย จนเวียนผ่านมาถึงฤดูหนาวอีกปีแล้ว ที่นาซึ่งถูกเตรียมเพาะปลูกไว้ตั้งแต่ปีก่อนก็ยังไม่มีใครกลับมาช่วยทำ
เสียงโขลกม๋าเจี้ยง[2]ดังประกอบเสียงวิ่งไล่เด็กตัวน้อยที่ออกวิ่งขวางทางถนนสัญจร คนว่างงานนับวันยิ่งมากขึ้น แต่เด็กกับผู้สูงอายุและผู้หญิงจะทำอะไรได้มากเท่าไร
กี่ทอผ้าถูกทิ้งร้าง สตรีต้องหันไปเตรียมเรือกสวนไร่นา ด้วยเพลานี้ไม่มีใครมีแก่ใจจะมาซื้อผ้าตัดชุดใหม่ทั้งที่ครอบครัวไม่มีอันจะกิน คนรวยก็เลือกจะซื้อผ้าจากต่างแดน ส่วนคนจนก็ต้องพยายามหาเลี้ยงชีวิตต่อ ไป
ภาษีนับวันยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้ของชาวบ้านกลับลดลง จนนำมาสู่จดหมายเวียนที่ถูกส่งต่อกันไปในหมู่ชาวบ้านที่ยากไร้ แน่นอนว่ารวมถึงคณะนักเดินทางอย่างพวกเขาด้วย
“ข้าควรจะดีใจหรือไม่ที่บ้านข้าอยู่ไกลเกินไปจนไม่มีใครไปเกณฑ์คนเพราะไม่คุ้มค่าเดินทาง”
“ฮ่องเต้ต่างหากที่ควรจะดีใจ เพราะหากเกณฑ์เจ้าไปเกรงว่าเจ้าคงจับคนในค่ายกินจนหมดเสียก่อน” เขาว่าอย่างรำคาญใจ แต่อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วหันไปคุยกับเฉินอีต่อ
“ข้าว่าเจ้ากลับไปกับข้าดีกว่านะเฉินอี แม้จะไม่ดีเท่าลั่วหยาง แต่นครปาฉู่ของเราก็มีอาจารย์สอนพระคัมภีร์ที่เก่งกาจเช่นกัน”
เขาไม่รู้ว่าเฉินอีตอบอีกฝ่ายอย่างไรเพราะเหนื่อยเสียจนไม่อยากจะขึ้นไปร่วมบทสนากับคนที่เพิ่งเรียกเขาไปถกเรื่องจดหมายเวียนหยกๆ แต่สุดท้ายก็หันหนีไม่ต่อบทสนทนาเสียอย่างนั้น
เอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นที่หนึ่งต้องยกให้จ้าวจื้อเฉิงจริงๆ
“ท่านเป็นคนดีนะ”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” หลี่ชื่อหมินขยับยิ้มขำก่อนขยายความ “ดูท่านรำคาญแต่ท่านก็ไม่จากไปไหน และทั้งที่ท่านบอกจะปล่อยให้เพื่อนตายแต่ท่านก็ไม่ทำแบบนั้นสักที ข้าก็เลยรู้ว่าท่านน่ะปากร้ายแต่ใจดี ทำเหมือนจะใจดำแต่สุดท้ายก็ใจดำไม่ลง”
ราวกับลิ่มตอกลงกลางใจ เขาได้แต่ส่ายหน้าให้เด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยพูด แต่พอจะพูดขึ้นมาก็ทิ่มแทงเสียจนถ้าคำพูดบาดจนมีเลือดไหล เลือดเขาคงท่วมตัวไปแล้ว
เจ้าเด็กคนที่พอบอกชื่อก็ได้แต่ยิ้มเรี่ยราดไร้ความหมาย ดูจะสนุกกับทุกอย่างทั้งที่เขาว้าวุ่นแทบตาย!
“แล้วเจ้าจะไม่กลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม”
รอยยิ้มหุบฉับราวกับสั่งได้ เขาได้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับคนที่พอพูดถึงบ้านบรรยากาศก็เปลี่ยนไปในทันที
“แล้วท่านไม่คิดจะกลับบ้านบ้างหรือ”
“กลับไปข้าก็ไม่มีอะไรทำ”
“ถ้าอย่างนั้น...ข้าก็เช่นกัน”
เจ้าเด็กตอแหล! เขาได้แต่ปรามาสอีกฝ่ายอยู่ในใจ นับแต่คืนเดือนมืดพวกเขาก็เดินทางลงเขามาเรื่อยๆ วันนี้ก็ครบห้าวันแล้วที่อยู่กับพวกเด็กพวกนี้ แน่นอนว่าเหมารวมงูสมองเด็กให้อยู่ในคนที่เด็กสุด
จ้าวจื้อเฉิงไม่ยอมแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้หลี่ชื่อหมินไม่ว่าจะทำอย่างไร เฉินอีจึงพลอยซวยเมื่อเจ้างูเกาะแจเหมือนเจอมารดาที่พลัดพรากจากกันมานาน ขณะที่เขาก็ระเห็จมาเดินกับเด็กหนุ่มที่ดูจะตื่นตาตื่นใจเกินเหตุกับการใช้ชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกล บอกชัดว่าอีกฝ่ายต้องมาจากเมืองที่เจริญกว่านี้แน่ๆ
“เรื่องของข้ากับเจ้ามันคนละกรณีกัน อย่าแสร้งไม่รู้”
“ท่านคิดแบบนั้น แต่ข้าไม่ ข้าไม่เห็นว่ามันจะต่างกันอย่างไร ท่านออกจากบ้านมาเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำงานใหม่ๆ เพราะที่บ้านไม่มีงานให้ท่านทำ ส่วนข้าก็ออกมาตามหาว่าข้าควรจะเป็นใครกันแน่ นั่นก็เพราะที่บ้านไม่มีอะไรให้ข้าทำเช่นกัน” คำอธิบายยาวเหยียดที่เรียกว่าคำแก้ตัวทำให้เทพมังกรถอนหายใจยาว ผลักศีรษะของเด็กที่สูงเท่าไหล่เขาอย่างหมั่นไส้
“เจ้ามันร้าย... บอกข้อมูลไม่ครบ พูดต่อสิว่าที่บ้านเจ้ามีงานให้เจ้าทำ แต่เจ้าไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร”
อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มรับ
“ท่านก็รู้อยู่แล้ว ไยข้าจะต้องบอกเล่า”
“ยอกย้อน!”
“ด้วยความเคารพนะต้าเกอ ข้าอยากใช้เวลาคิดอีกสักพักแล้วค่อยตัดสินใจ คงไม่นานเท่าการเดินทางของท่าน คงไม่เกาะติดท่านไปตลอด แต่ระหว่างนี้ก็ขอฝากตัวด้วย” ดวงตาสีดำคู่นั้นสงบลง นิ่งอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว แม้คนส่วนมากอาจไม่เชื่อการตัดสินใจของเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แต่สำหรับเขาแล้ว เขาเชื่อคนตรงหน้าสนิทใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานก็ตาม
“มีเรื่องอะไรเล่าให้ข้าฟังก็ได้”
หลี่ชื่อหมินยิ้มรับแล้วค้อมศีรษะลง
“สักวันหนึ่ง...ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง”
“อย่าให้ข้าตายก่อนก็แล้วกัน”
“ข้าเชื่อว่าท่านยังมีอายุยืนยาวอีกนาน อย่างน้อย...ข้าก็คงตายก่อน” เขาไม่สนดวงตาแพรวพราวที่มองมาซึ่งบอกว่ามันรู้อะไรบางอย่าง บางสิ่งที่แม้มันจะทำเหมือนไม่รู้แต่ก็ยกขึ้นมาย้ำอยู่เรื่อยไป
มันก็ไม่ผิดหรอกที่มนุษย์สักคนจะรู้ว่าเขาเป็นเทพ แต่มันไม่น่าไว้วางใจตรงที่มันรู้แต่ดันทำไม่รู้นี่แหละ
เด็กเจ้าเล่ห์...
นี่มันขั้นกว่าของเจ้างูเผือกมากเล่ห์ชัดๆ!
“วันดีคืนดีข้าอาจจะตายหนีเจ้าไปก่อนก็ได้”
“ถ้าข้าพยายามถึงที่สุดแล้วยังรั้งความตายจากท่านไม่ได้ ข้าก็คงต้องยินยอมแต่โดยดี” ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายรอยเศร้าหมอง แต่ด้วยความที่ถูกสอนมาดีจึงสามารถตีหน้ากากเฉยชาขึ้นมาแทนได้ในทันที หากก็ไม่ทันสายตาของคนที่ผ่านโลกมาหลายร้อยปี เฝ้ามองผู้คนมาหลายล้านคน ทว่าจางชื่อซวนไม่ได้กล่าวอะไรออกไป
มีพบย่อมมีจาก แต่เราจะพรากกันไปด้วยสาเหตุใดนั้นก็สุดแล้วแต่ชะตาจะกำหนด
“ถึงเพื่อนข้าจะไม่ตายเขาก็ไม่อยู่กับเจ้าหรอก!” คนที่เดินเข้ามาลำลายความเงียบคือคนที่เขาคาดไม่ถึง มังกรหนุ่มหรี่ตามองเพื่อนที่ขยับมากระแซะข้างๆ อย่างหวาดระแวง
ให้บรรพบุรุษตายอีกรอบเถอะ! มันยอมเดินใกล้คนที่ไม่ชอบหน้าขนาดนี้ต้องมีเป้าหมายแน่นอน!!
“ครับ แต่ท่านก็ระวัง--” เด็กหนุ่มยังไม่ทันพูดจบเสียงร้องของม้าก็ดังก้อง “จะตายก่อนก็แล้วกัน...”
จางชื่อซวนคว้าร่างของเพื่อนเอาไว้แล้วผลักออกจากทางวิ่งของม้า เช่นเดียวกับเฉินอีที่พยายามจะหยุดม้าด้วยบทสวดมนต์แต่ถูกหลี่ชื่อหมินดึงไว้ได้ก่อน
มังกรหนุ่มขมวดคิ้ว คณะเดินทางเขามีใครปกติดีบ้างนี่?
“ท่านขัดข้าหลายรอบแล้วนะ” เสียงดังมาจากเฉินอีที่ปกติไม่ค่อยจะมีปากเสียงกับใครนัก ด้วยถือคติว่าไม่ควรตอบโต้ แต่ดูเหมือนความสนิทที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้เด็กอายุน้อยที่สุดในกลุ่มจะเริ่มพัฒนา แม้เขาจะคิดว่ามันเป็นการพัฒนาที่ผิดทางไปสักหน่อยก็ตาม
หลี่ชื่อหมินตีหน้านิ่ง ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากก่อนจะกดสันมือลงกลางกระหม่อมคนตัวเล็ก
“พระพุทธองค์ช่วยเจ้าหยุดม้าไม่ได้หรอก อย่าเพิ่งรีบมาตายตอนนี้ เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปชมพูทวีปหรอก”
“จริงด้วยสิ ขอบคุณท่านพี่ที่กรุณา แต่ข้ายังยืนยันว่าพระพุทธองค์สามารถช่วยได้ทุกอย่างนะ” นับแต่พระภิกษุเสวียนหลี่ออกปากฝากฝังลูกศิษย์ก่อนที่ท่านจะธุดงค์ต่อไปทางตะวันตก จางชื่อซวนก็เห็นแล้วว่าเรื่องทางธรรมนั้นเฉินอีดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินตัวก็จริง แต่ไม่ใช่กับเรื่องทางโลกสักนิด เด็กน้อยจากนครลั่วหยางซึ่งออกเดินทางตามหลวงปู่มาแต่เล็กนั้นมองโลกในแง่ดีจนถึงขั้นบดบังความจริงเลยทีเดียว ถ้าไม่นับเหตุการณ์เมื่อครู่ วันก่อนที่เจอหมีดำในป่าเจ้าหนูนี่ก็วิ่งโร่ไปหาหวังจะลูบประคำและสวดภาวนา ดีที่หลี่ชื่อหมินเสือกหอกเข้าไปทันพอดี เรียกว่าคนที่เหนื่อยต้องค่อยๆ สอนเด็กน้อยก็กลายเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดไปเสียแบบนั้น
ก็ควรอยู่หรอก... ในเมื่อตัวเขาเองก็ออกห่างสังคมมามากจนไม่รู้ว่าตอนนี้คำสอนไปถึงไหนแล้ว
ส่วนเจ้างู... เอ่อ อย่าพูดถึงดีกว่า
ยังดีที่เฉินอีเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ดื้อไม่ซน และที่สำคัญไม่งอแง เจ้าหนูนี่จึงเลี้ยงไม่ยากนัก แม้ตอนออกเดินทางจะมองตัดพ้อหลวงปู่นานเหลือเกินก็เถอะ
จะว่าไปเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมภิกษุเสวียนหลี่ถึงได้วางใจฝากเด็กนี่ไว้กับพวกเขา ทั้งที่ก็พามาตั้งไกลกลับกลายเป็นว่าท่านเลือกจะส่งเจ้าหนูนี่กลับลั่วหยางเพื่อร่ำเรียนพระคัมภีร์ แทนที่จะให้ติดตามไปยังซีจ้าง[3] อย่างที่ตั้งใจไว้
แต่ดูเหมือนว่าจะลืมอะไรบางอย่างไป...
โครม! ร่างของหลี่ชื่อหมินกระเด็นตามแรงชกของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ จางชื่อซวนรีบเข้าไปขวางทางไว้ทันที เช่นเดียวกับเฉินอีที่รีบวิ่งไปดูอาการพี่ชายร่วมสาบานซึ่งร่างกระแทกแผงขายผักจนล้ม
“ไม่มีใครสั่งสอนหรือไงว่าอย่าริอ่านขวางทางรถม้าของคุณชายเถียน” เจ้าของร่างใหญ่ประกาศก้อง ใบหน้าภูมิใจในความใหญ่คับฟ้าของบุคคลในรถม้าเป็นอย่างยิ่ง มังกรหนุ่มเหลือบสายตาไปมองดวงตาสีดำของเด็กหนุ่มผู้ถูกรังแกที่วาวโรจน์แล้วส่ายหน้า
“เจ้าไม่ควรยุ่งเรื่องนี้” จ้าวจื้อเฉิงเป็นคนรั้งเฉินอีกับหลี่ซื่อหมินไว้ห่างๆ ทิ้งให้จางชื่อซวนประจันหน้าชายร่างยักษ์เพียงคนเดียว
ดี! รังเกียจข้าขึ้นมาในทันทีเลย
แต่มังกรหนุ่มหาได้ใส่ใจไม่ เขายังคงคุมเชิงอยู่ที่เดิม สายตาก็จับจ้องม่านที่โบกสะบัด
ต่างกับการปรากฎตัวของเด็กหนุ่มสองคนที่อยู่เบื้องหลัง แม้คนที่ออกมาจะรุ่นคราวบิดาเด็กทั้งสองก็ตาม งูเผือกที่รักความบริสุทธิ์ยิ่งชีพหนีหน้าในพลัน ส่วนเขาแม้จะมองเห็นความไม่น่าคบของชายสูงวัยในชุดยาวกรุยกรายชัดเจนเพียงใดแต่ก็ไม่หลบสายตาไปไหน
ผ้าไหมราคาแพงจากต่างแดนที่แขนเสื้อตัดให้ยาวจนเกินความจำเป็นนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าตัว ภาคภูมิในความร่ำรวยขนาดไหน ยิ่งแขนเสื้อยาวเท่าใดก็ยิ่งบ่งบอกฐานะเท่านั้น
แต่ฐานะนั้นหาได้เกี่ยวข้องกับจิตใจไม่
“พวกข้าเดินกันอยู่ริมทางแล้ว เจ้าต่างหากที่บังคับม้าไม่ดี”
“เจ้าคนชั้นต่ำ! บังอาจมากล่าวหาข้าได้อย่างไร รู้หรือไม่ ข้าหมาวจิ้งเป็นคนสนิทของคุณชายเถียนนะ” มังกรหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่รู้สึกสักนิดว่าตนเองผิด ทว่าดูจากคนรอบด้านก็พอรู้ว่าคุณชายเถียนผู้นี้คงกร่างไม่ใช่เล่น จึงไม่มีใครยอมมายุ่งแม้สักคน หรืออีกอย่าง คงเพราะเวลานี้ต่างก็ไม่มีใครอยากมีเรื่องก็ได้
ในเมื่อเหล่าชายฉกรรจ์ที่มีแรงต่างถูกส่งไปขุดคลองกันหมด เหลือเพียงแค่ผู้หญิง ชายสูงวัยกับเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์หรือคนพิการเท่านั้น
แล้วเหตุใดเล่าคนเหล่านี้ถึงได้มีอภิสิทธิ์!
“ตัวเจ้าเป็นใครเจ้ายังต้องถามข้าเลย แล้วข้าจะรู้ชื่อเสียงเรียงนามเจ้าได้อย่างไรเล่า อ๊ะ! เจ้าเพิ่งบอกมานี่นะ อะไรนะ หมาวปิ้ง[4]เหรอ?”
ตุบ! กำปั้นนั้นพลาดใบหน้าของจางชื่อซวนไปเพียงครึ่งเซี้ยะเท่านั้น ทว่ามันกลับทำให้โครงร่างไม้ของแผงขายเนื้อเสียหายและเศษไม้กระเด็นไปไกล
“โอ๊ย!”
“เฉินอี!” เสียงร้องของจ้าวจื้อเฉิงไม่ดังมาก แต่เมื่อรอบด้านมีแต่ความเงียบมังกรหนุ่มจึงได้ยินชัดรีบหันไปหาคู่กรณีทันที
“อีกนิดนึงเด็กตาบอดได้เลยนะ”
แม้ไม่เห็นว่าเฉินอีโดนเศษไม้เข้าตรงไหน แต่จากท่าทางของเพื่อนที่พุ่งเข้าไปดูใกล้ดวงตาก็ทำให้รู้ว่าคงไม่ใกล้ไม่ไกล แต่คงเคราะห์ดีที่ไม่โดนดวงตา ไม่เช่นนั้นเจ้างูเผือกที่ชอบเด็กคนนั้นไม่น้อยคงแปลงร่างมารัดเจ้าหนุ่มตรงหน้าเขาไปแล้ว
“ก็ช่างมันสิ แค่เด็กไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าจะต้องสนทำไม ข้า! หมาวจิ้งเป็นใหญ่ในเมืองนี้ ข้าจะฆ่าใครที่ไหนก็ไม่มีใครมาจับข้าได้หรอก”
มังหนุ่มพยายามระงับความโกรธ เขาไม่ชอบมนุษย์ในเมืองใหญ่ก็เพราะแบบนี้ พวกมันมีความละโมบ ยะโส และโอหังยิ่งนัก
กิเลศที่แสนน่ารังเกียจ
กฎสำคัญของเทพคือห้ามทำร้ายมนุษย์ แต่เขาก็ลืมถามไปว่าถ้ามนุษย์นั้นน่ารังเกียจเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เขาควรทำเช่นไร
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะสอนให้เจ้ารู้เอง!” เขาไม่ทันร้องห้ามหลี่ชื่อหมินก็เดินออกไปก่อน ดวงตาของเด็กหนุ่มเด็ดเดี่ยวและทรงอำนาจ จางชื่อซวนจึงตัดสินใจเชื่อมั่นแล้วทำเพียงแค่ยืนดูอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
“เฮอะ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
“แล้วเจ้าจะได้รู้...” เด็กหนุ่มยิ้มหยันแล้วลดผ้าคลุมหน้าลงเผยให้เห็นใบหน้าคมคายกับผิวขาวละเอียดอย่างชนชั้นสูง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มสบตากับใครคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน แล้วคำสั่งก็ถูกถ่ายทอดออกไป
“ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีปากไว้พูดอีก!”
“หยุดอยู่แค่นั้นถ้าไม่อยากให้เจ้านี่ตาย” กำปั้นของหมาวจิ้งพุ่งเข้าหาความว่างเปล่าเมื่อจางชื่อซวนดึงร่างของคนท้าทายให้หลบออกมา ขณะเดียวกันร่างของคุณชายเถียนก็ถูกกันไว้ด้วยดาบยาวจากชายในชุดคลุมมอซอคนหนึ่ง
คมดาบพาดทับจนร่างอวบอ้วนสั่นผวา พยายามร้องอ้อนวอนขอชีวิต
“ปะ...ปล่อยข้าเถอะนะ ข้าว่าเราคุยกันได้”
“เจ้า...บังอาจนัก!”
“เจ้าต่างหากที่บังอาจ!” ร่างของหมาวจิ้งที่พยายามจะช่วยคุณชายของตนถูกถีบให้ล้มลงโดนชายอีกคน ตามด้วยคมดาบที่จ่อเข้าตรงคอหอย ร่างใหญ่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เหงื่อไหลราวกับอากาศร้อนหนักหนาทั้งที่ฤดูหนาวยังไม่ผ่านพ้นไป
“มะ...มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถอะนะ ข้าขอร้อง”
“ใช่ๆ ข้าก็ขอร้องกับคุณชายด้วยคน”
“แล้วก่อนหน้านี้เจ้าฟังพวกข้าหรือไม่? ก็ไม่ แล้วทำไมข้าถึงจะต้องฟังคำขอร้องของพวกเจ้าด้วยเล่า” หลี่ชื่อหมินยืนอยู่ตรงหน้าคุณชายเถียนและคนสนิทที่ถูกชายในชุดคลุมจับมัดรวมกัน ดาบคมกริบสองเล่มยังคงจ่ออยู่ข้างตัวให้ผวาผวาด
“เจ้าบังคับรถม้าไม่ดีจนเกือบชนพวกข้าแล้วยังโทษว่าพวกข้าผิด ทั้งยังทำร้ายข้า แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือเจ้าทำให้น้องข้าเกือบตาบอด ข้าเองไม่ได้สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะว่าพวกข้าเป็นสวะหรืออย่างไร แต่ที่ยกโทษให้ไม่ได้คือเจ้าทำผิดแต่ไม่รู้สึกผิด ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าในทีนี้มีใครที่ถูกพวกเจ้ากดขี่ข่มเหงเช่นนี้บ้าง” เด็กหนุ่มวางมือไพล่หลังแล้วเดินวนอย่างช้าๆ เนิบนาบราวกับพยายามทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัว
“แต่เอาเถอะ ข้าเป็นคนใจดี ดังนั้นจะยกโทษให้เจ้า” สองร่างที่ถูกมัดผ่อนลมหายใจอย่างโลกอก แต่ก็ต้องละล่ำละลักขอความช่วยเหลือเมื่อเด็กหนุ่มพูดประโยคสุดท้าย
“ข้าจะปล่อยเจ้าไว้ตรงนี้และไม่ให้คนของข้าทำอะไรเจ้า ส่วนคนอื่นๆ ถ้าพวกเจ้าไม่เคยทำให้ใครแค้นประเดี๋ยวก็คงมีคนช่วยแก้มัดเจ้าเอง”
ทันทีที่หลี่ชื่อหมินและคนของเขาเดินออกมา ชาวบ้านที่อยู่ข้างนอกก็กรูกันเข้าไปหาสองนายบ่าวทันที บ้างก็ทุบทีด่าทอ บ้างก็ขว้างปาข้าวของจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด ขณะเดียวกันคณะเดินทางคนประหลาดก็ใช้ช่วงเวลานั้นหลบออกจากย่านชุมชนมุ่งตรงไปที่เส้นทางสัญจรซึ่งมีคนน้อยกว่า
ห่างออกมาจากแคร่ไม้ที่คณะเดินทางใช้นั่งพัก มังกรกับเด็กหนุ่มกำลังยืนประจันหน้าต่างฝ่ายต่างสบตาอย่างไม่มีใครยอมใคร แล้วในที่สุดหลี่ชื่อหมินก็เป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา
“ข้าต้องไปแล้ว...”
“ข้ารู้...”
ใช่...เขารู้ รู้ว่าเมื่อความจริงถูกเปิดเผย เด็กหนุ่มผู้มาจากตระกูลใหญ่จะไม่มีโอกาสเดินทางไปต่อกับพวกเขาอีก เด็กหนุ่มผู้ซึ่งหนีออกจากกรงขังที่เรียกว่าภาระหน้าที่ของครอบครัวจะต้องกลับไป อิสระที่เขาโหยหากลายเป็นเพียงมายาเท่านั้น
“บ้านของข้าอยู่ไกลถึงตงเป่ย[5] ข้ากับท่านคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
“เจ้าอยู่ไหน ข้าก็ไปหาเจ้าได้ เลิกแสร้งทำเป็นไม่รู้เสียทีว่าข้าเป็นใคร” เขาสัพยอก แต่อีกฝ่ายกลับมองตาใสแล้วแจกแจง
“สำหรับข้าท่านเป็นเพียงประติมากรที่ออกเดินทางหาความฝัน เช่นเดียวกับที่ข้าอยากเป็นเพียงหลี่ชื่อหมินสำหรับท่าน ไม่ใช่อื่นใด”
“...”
“แล้วข้าก็รู้ว่าท่านสร้างบททดสอบข้า” เด็กหนุ่มขยับรอยยิ้ม “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเพื่ออะไร แต่ข้าทำได้ดีอย่างที่ท่านหวังเอาไว้หรือไม่”
จางชื่อซวนไม่แปลกใจที่หลี่ชื่อหมินจะรู้ เขาไม่ได้เป็นคนสร้างบททดสอบนั้นโดยตรง แต่ต้องบอกว่าคนที่ทำให้ม้าวิ่งออกนอกเส้นทางก็คือเขา เพราะเขาอยากจะให้คำตอบตัวเอง อยากจะวางความภักดีของตนไว้ที่ใครคนหนึ่งซึ่งเขาเห็นว่าเหมาะสม และให้เหตุผลเพื่อที่ตนเองจะหลุดพ้นออกจากการจองจำเพราะไม่ต้องการข้องแวะกับมนุษย์ออกไป
มังกรหนุ่มขยับยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มแห่งความภูมิใจที่ไม่เคยมอบให้กับมนุษย์คนไหน
“เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง”
“ข้าถือว่านั่นเป็นคำชมนะ และข้าดีใจ ดีใจที่ได้พบท่านและทุกคน แต่ตอนนี้ข้าคงต้องออกเดินทางแล้ว” หลี่ชื่อหมินยิ้มเศร้า ดวงตาของเขาก็เศร้าอย่างไม่คิดจะปิดบัง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าอึมครึม อากาศแม้จะเย็นยะเยียบแต่คงไม่มากเท่าใจของเขา
ที่ที่ควรอยู่อาจไม่ใช่ที่ที่อยากอยู่...
“ข้าจะไปกับเจ้า” เทพมังกรว่าอย่างคนตัดสินใจดีแล้ว เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องออกเดินทางขึ้นเหนืออีกต่อไปเมื่อเวลานี้เป้าหมายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
เขาเป็นคนขี้ใจอ่อนจริงๆ เสียด้วยสิ
ในที่สุดก็ตกหลุมพรางของฝูซีกับหนู่วาจนได้ ป่านนี้ตายายคงหัวเราะสะใจอยู่บนสวรรค์แน่ๆ
ทว่าหลี่ชื่อหมินหันกลับมาหาแล้วส่ายหน้า
“ข้าทราบว่าท่านคิดอะไรอยู่ แต่ท่านประติมากรที่เคารพ ออกเดินทางตามความฝันของท่านต่อไปเถิด ไม่จำเป็นต้องเห็นใจข้า”
“แต่ว่า...”
“ได้โปรดเข้าใจข้าด้วยเถิด ยังไม่ใช่เวลานี้...ท่านเทพที่เคารพ” ดวงตาที่แน่นิ่งของผู้มีอายุน้อยกว่าทำให้มังกรหนุ่มยินยอมในที่สุด ทราบดีว่าตนไม่อาจเปลี่ยนใจเด็กหนุ่มตรงหน้าได้ แม้จะผิดหวังแต่จางชื่อซวนก็ค้อมตัวลง คำนับด้วยเกียรติสูงสุด
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”
“แล้วเราจะได้พบกัน...สักวันหนึ่ง”
ถ้อยคำสุดท้ายของเด็กหนุ่มมาพร้อมกับสายลมแรงที่ราวกับฟ้าร้องรับคำสัญญาของหนึ่งมนุษย์ หนึ่งเทพ
ฝุ่นดินถูกลมพัดฟุ้งกระจาย เช่นเดียวกับหัวใจของจางชื่อซวนที่ปลิดปลิวไปตามมนุษย์คนแรกที่เขาวางมือให้ แล้วก็เป็นคนแรกที่ปฏิเสธเขาอย่างไม่ไยดีด้วยเช่นกัน
คณะเดินทางของตระกูลหลี่จะแวะพาเฉินอีไปส่งที่นครลั่วหยาง เด็กน้อยจึงตามขึ้นไปบนรถม้าคันโตที่บอกฐานะของเจ้าของได้เป็นอย่างดี มังกรหนุ่มเร้นกายออกมาอย่างเงียบงันหลังมองส่งรถม้าจนหายลับสายตาไป ลับหลังผู้คนร่างมังกรโผทะยานขึ้นฟ้า ทะลุก้อนเมฆลดเลี้ยวตามรถม้าไปอย่างบ้าคลั่ง เสียงกู่คำรามดังก้องจนสัตว์ในป่าหลบลี้หายหน้า ท้องฟ้าปั่นป่วนบ้าคลั่งไม่หยุดเป็นเวลายาวนานนับเดือนตั้งแต่นั้น
จ้าวจื้อเฉิงทอดสายมองพายุหิมะที่ก่อตัวขึ้นแล้วจึงตัดสินใจเก็บจดหมายที่หลี่ชื่อหมินฝากไว้ลงห่อสัมภาระ แปลงร่างเป็นงูเผือกแล้วออกเดินทางมุ่งสู่ใจกลางพายุอันบ้าคลั่ง
เด็กคนหนึ่งจะขึ้นสู่บัลลังก์ฟ้า
กรีฑาทัพเกรียงไกรเหนือใครผอง
อีกคนหนึ่งจะเดินทางสู่แดนทอง
เพื่อเผยแผ่หลักธรรมแห่งพระพุทธองค์
มังกรน้อมรับคำตามบัญชา
ออกเดินทางมุ่งสู่แดนทางเหนือ
เหลืองูเผือกเช่นข้าที่ถูกลืม
ทำได้เพียงเร่งออกเลื้อยตามเพื่อนไป
[1]หลี่มี่ได้กล่าวไว้ในจดหมายว่า “ต่อให้นำต้นไผ่บนเขาหนานซานทั้งหมดมาทำเป็นสมุดก็เขียนพฤติกรรมที่กระทำผิดของ พระเจ้าหยาง ตี้ไม่หมด ต่อให้เป็นคลื่นลูกใหญ่ในทะเลตงไห่ ก็ชะล้างร่องรอยแห่งความชั่วร้ายของพระเจ้าหยางตี้ไม่หมด”
[2] ม๋าเจี้ยง Ma2 Jiang4 หรือ Mahjong คือหมากรุกจีน ถือเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีนมาแต่ โบราณ
[3] ซีจ้าง Xi1 Zang4 หรือทิเบต เป็นคำที่เริ่มระบุใช้ในสมัยราชวงศ์ชิง แต่ในช่วงราชวงศ์ซ่งถึงราชวงศ์หมิงระบุว่าชื่อ “วูซือ” แต่ก่อนหน้านั้นมีการเรียกแตกต่างกันไป ดังนั้นจะขอใช้ “ซีจ้าง” แทนทิเบตเพื่อความเข้าใจตรงกัน
[4] หมาวปิ้ง mao2 bing4 แปลว่าผู้มีข้อบกพร่อง ขาดๆ เกินๆ
[5] ตงเป่ย dong1 bei3 คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้เรียกคนแถบมณฑลเหลียวหนิงและโดยรอบ
ผู้แต่ง : Briss
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | งูผู้หลงใหลบทกวีกับมังกรผู้อยากเป็นมนุษย์เดินดิน | 26 ม.ค. 59 |
2 | ความซวยของงูและความเบื่อหน่ายของมังกร | 07 มี.ค. 59 |
3 | การตัดสินใจของเหล่านักเดินทาง | 14 มี.ค. 59 |
4 | ก่อนสุยจะร้างรา | 21 มี.ค. 59 |
5 | การทดสอบของทวารบาลครึ่งร่าง | 28 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
ชอบบทนี้จัง บรรยากาศในนรกเยือกเย็นดี ตอนทิ้งท้ายก็น่าติดตาม :)
หวังว่าจะได้เจอกันในตอนที่ 6 นุ
ลวิตร์