EN07 Time Rebellion ปฎิวัติข้ามเวลา ล่าเปลี่ยนโลก
ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือตอนรถคว่ำ ตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าตัวเองถูกขุดหลุมขึ้นมาโดยโจรบ้าๆ ถึงได้รู้ว่าตัวเองหลับไปเป็นร้อยปี ไม่ทันจะได้รู้อะไรต่อก็ดันถูกเหมารวมว่าเป็นโจรด้วย โลกใหม่ได้เริ่มต้นแล้ว
“เมื่อคุณจ้องลึกเข้าไปในนรก นรกก็จะจ้องมองคุณกลับเช่นกัน”
--Friedrich Nietzche--
ตึก… ตึก… ตึก…
เสียงหัวใจเต้นระส่ำ สลับกับจังหวะฝีเท้าที่ก้าวย่างอย่างเชื่องช้า
ท่ามกลางความมืดมิด เขาหยุดที่สุดปลายทางเดิน ประตูบานเหล็กเลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ แสงสีฟ้าจากด้านในสาดออกมาด้านนอก ทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับโฟกัสให้ภาพตรงหน้าชัดเจน ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
มันคือเครื่องข้ามกาลเวลา… จุดเริ่มต้นของหายนะทั้งหมด
กองเอกสารบนพื้นวางกองสุมกันดูยุ่งวุ่นวาย ทุกตัวอักษรคือข้อมูลลับ บ้างเป็นทฤษฎีแสนล้ำค่าที่นักวิทยาศาสตร์มากมายต่างอุทิศตนเพื่อมัน หรือแม้แต่บันทึกการเดินทางระหว่างโลกคู่ขนาน
ใช่... โลกคู่ขนาน โลกใบนี้เต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วน แต่ถูกทำลายหายไปด้วยการตัดสินใจของทุกคน และเครื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์จากการตัดสินใจที่แตกต่างเหล่านั้น
ทว่าวันนี้… ทุกอย่างกำลังจะจบลง
เด็กหนุ่มล้วงหยิบไฟแช็คในกระเป๋าเสื้อขึ้นมา โยนลงบนกองเอกสารเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง ไม่สนใจหากไฟจะลามไหม้ไปทั้งห้อง นัยน์ตาจ้องมองเปลวเพลิงเหล่านั้นอย่างเยือกเย็น ปล่อยให้มันแผดเผาทำลายทุกสิ่งเป็นเถ้าถ่าน
เขาหลับตา นึกย้อนกลับไปในอดีต ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะดำเนินมาจนถึงจุดนี้
วันที่เขายังมีเพื่อนพ้อง กับความสุขแสนเรียบง่าย แม้โลกใบนี้จะไม่เคยยุติธรรมกับใครก็ตาม
‘ไอคารอส!’
‘ถ้าได้เจอกันอีก มากินมาการองด้วยกันอีกครั้งเถอะ’
สายน้ำจะไม่มีวันไหลย้อนกลับได้ กาลเวลาก็เช่นกัน
ไอคารอสลืมตาขึ้น มองสิ่งที่ยังเหลืออยู่ตรงหน้า ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เขาต้องทำลายเครื่องข้ามกาลเวลานั่น
เขาจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่กดปุ่มที่เครื่อง… ทุกอย่างก็จะจบอย่างบริบูรณ์
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าไปจนสุดปอดพลางเม้มปากแน่น หัวใจเต้นถี่ระรัว ไอคารอสนับหนึ่งถึงสิบให้จิตใจผ่อนคลายลง มือยกขึ้นแตะกับหน้าอกขวา สัมผัสได้ถึงแรงตุบๆ ที่มาจากข้างใน
...นี่อาจเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาแล้ว
“ลาก่อน...”
ไอคารอสพูด เขาเอื้อมมือไปกดปุ่มสีฟ้าที่เครื่องข้ามกาลเวลา ยืนรอการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเวลาถัดมาอย่างสงบนิ่ง
ฉับพลันนั้น แสงสีฟ้าก็สว่างวาบขึ้นจนเขาแสบตา ประกายไฟช็อตแลบออกมาจากตัวเครื่องเหมือนกำลังส่งสัญญาณถึงการทำลายตัวเอง ไอคารอสหลับตาลง นึกถึงใบหน้าของทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย
ทุกคน… ขอบใจมากนะ
แล้วเครื่องก็แผดเสียงหวอดังลั่น ก่อนจะระเบิดตัวเองดังบึ้ม แรงระเบิดแผ่วงกว้าง ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงจนสิ่งก่อสร้างพังครืนลงมากับตา ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนและความโกลาหลวุ่นวาย แรงกระแทกรุนแรงจากพื้นดินสร้างควันหมอกหนาไปทั่วจนบดบังทัศนวิสัย
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย
ค.ศ. 2035 โลกได้เปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สาม
นิวเคลียร์ทำลายล้างจนโลกมอดไหม้ แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด มนุษย์มากมายหลากเผ่าพันธุ์ หลายภาษา ต่างพากันรวมตัวกันเป็นภาคีพิทักษ์รัตติกาล พวกเขาได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดสงคราม ต่อสู้อย่างหาญกล้าไร้ซึ่งความกลัวเกรงใดๆ
สงครามยืดเยื้อไปกว่าห้าสิบปี ผ่านไปชั่วลูกชั่วหลาน ศพมากมายนับพันล้านถูกสังเวย... ในที่สุดสงครามก็ยุติลง เหลือแต่เพียงบาดแผลฉกรรจ์บนดวงดาวที่ยังคงอยู่เป็นหลักฐานเอาไว้
และสังคมที่เปลี่ยนไป...
อะไรที่ตัดสินความเป็นมนุษย์?
ค.ศ. 2100
เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็วจนปัญญาประดิษฐ์อย่างหุ่นยนต์สามารถคิดเองได้ราวกับมนุษย์
โคลนนิ่งเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ผลจากสารกัมมันตรังสีที่ตกค้างทำให้มนุษย์บางส่วนกลายพันธุ์ กลายเป็นพวกมิวแทนต์ และนั่นก่อให้เกิดระบบชนชั้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ครบร้อยอย่างมิวแทนต์และโคลนนิ่งจึงจำต้องรับผลกรรมนั้นไป
อะไร... ที่ตัดสินให้คนเรามีค่าไม่เท่ากัน?
ทุกสิ่งที่เราเชื่อกันมาเป็นเวลานาน... ถูกต้องแล้วจริงหรือ?
-Time Rebellion-
ปฎิวัติข้ามเวลา ล่าเปลี่ยนโลก
Chapter 1: Awakening ตื่นขึ้น
ฝนกำลังตก
เสียงท้องฟ้าคำรามร้องทำให้บรรยากาศสุสานที่นี่ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ฝนตกเทกระหน่ำลงมาท่ามกลางเมฆหมอกแห่งรัตติกาล ห่างไกลจากเมืองหลวงของมนุษย์อย่างเมโทรโปลิสไปราวยี่สิบกิโลเมตร ยังมีเด็กวัยรุ่นอายุไม่เต็มยี่สิบคนหนึ่งกำลังถือจอบขุดคุ้ยสุสานเก่า หูเหน็บหูฟังข้างเดียวเอาไว้ฟังข่าวสาร ภาพโฮโลแกรมจากแว่นส่องแสงกลางอากาศพอดีกับระยะสายตา มันถูกเปิดเป็นภาพยนตร์แอ็คชันบู๊ระห่ำสุดโปรดขัดกับบรรยากาศโดยรอบอย่างสิ้นเชิง
เขากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ให้ตายเถอะ เขาว่ากันว่ามีสมบัติที่สุสาน แต่นี่ขุดไปจะหลุมสุดท้ายแล้วยังไม่เจออะไรเลย” เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเอง แต่ในใจยังไม่ยอมแพ้ เขาเดินไปที่หน้าหลุมศพสุดท้าย มองดูที่หน้าป้ายชื่อ แต่สภาพที่เก่าครึบวกกับราเขียวที่ลามขึ้นมาเต็มทั้งป้าย ทำให้แทบมองไม่เห็นชื่อเจ้าของสุสาน
แต่ก็ยังดีที่พอเห็นนามสกุล วันเกิดและวันมรณะอยู่บ้าง
ชื่อ: XXX คิงส์
เกิด 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922
มรณะ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2022
“อายุยืนชะมัด...” เด็กหนุ่มกล่าวพึมพำ มือยกขึ้นลูบหน้าป้ายหลุมศพไปมาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาในใจราวกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ เขาทนไม่ไหวจนรู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักอย่างออกมาเสียก่อนจะกระทำการขุดหลุมศพนี้
“ขอโทษนะฮะปู่ทวด แต่ผมร้อนเงินจริงๆ”
เด็กหนุ่มก้มตัวลงให้ความเคารพเล็กน้อย ก่อนจะคว้าจอบมาขุดหลุมโดยไว ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดก็พบกับหลุมศพไม้สีดำเรียบที่เบื้องล่าง เขาใช้คานค่อยๆ งัดดึงยกหลุมศพขึ้นมาอย่างใจเย็น ปากเผยอยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ... หลุมศพหนักขนาดนี้ต้องมีสมบัติอยู่ข้างในตามที่ข่าวลือบอกเอาไว้แน่นอน
“ฮึบ...”
ฝนเริ่มซาลง ความพยายามเป็นที่สัมฤทธิ์ผล หลุมศพถูกยกขึ้นวางอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มแง้มฝาโลงเปิดดูด้วยใจจดจ่อ หัวใจเต้นตึ้กตั้กระทึก ภาพโฮโลแกรมบนจอฉายภาพพระเอกหนังกำลังย่องเข้าห้องของจอมวายร้ายช่างเข้ากับสถานการณ์เสียเหลือเกิน
สมบัติต้องเป็นของฉัน!
เด็กหนุ่มผลักเปิดฝาโลงจนสุด ทันใดนั้นเอง สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ก็เขาตกใจจนสติดิ่งวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างผงะเดินถอยหลังโดยอัตโนมัติไปก้าวหนึ่ง
“ผี เอ้ยไม่สิ ศพ... ศพสดๆ !”
ร่างคนเป็นๆ ในโลงจากที่หลับตาอยู่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวมรกต ไม่ทันจะได้ตกใจต่อ ร่างนั้นก็สะดุ้งขึ้นจากโลงโขกกับหน้าผากของคนขุดหลุมเข้าอย่างจัง แรงกระทบมหาศาลทำเอาต่างฝ่ายต่างล้มตึงไปคนละทางด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!” ทั้งสองร้องขึ้นพร้อมกัน จังหวะนั้นเองที่สองสายตาได้สบกันเต็มๆ ทว่าแววตาที่ปะทะกันนั้นกลับแปลความหมายได้สวนทางกันมาก
คนหนึ่งกำลังงงๆ อีกคนก็ตกใจกลัวสุดขีด
“เฮ้ย... ซอมบี้!” คนขุดหลุมร้องโวยวายลั่น ดวงตาเบิกโพลงจนแทบหลุดจากเบ้าตา สัญชาตญาณสั่งให้ลุกขึ้นรีบหันหลัง ซอยเท้าถี่โกยแน่บตัวแทบปลิว สองมือไม่ลืมที่จะคว้าจอบและกดรายงานวิทยุผ่านหูฟัง “เจ้าข้าเอ๊ย ซอมบี้มีจริง!”
“เดี๋ยว...” เสียงผู้ชายดังขึ้นจากในโลง ด้วยความอ่อนล้าและยังมึนงงอยู่ ทำให้ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในโลงก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง บูมเมอแรงเก่าๆ ตัวโปรดที่วางอยู่ข้างๆ ตัว แสดงถึงความรักและห่วงใยจากเพื่อนได้เป็นอย่างดี
มือทั้งสองยกขึ้นจับขอบฝาโลงประคองตัวลุกขึ้นมา สายตาทอดมองเด็กหนุ่มผู้น่าสมเพชที่มองว่าตนเป็นผีซอมบี้กลับชาติมาเกิด ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ
“ซอมบี้!” คนขุดยังไม่หยุดวิ่ง จนกระทั่งอะไรบางอย่างพุ่งจากข้างหลังมาสกัดขาเขาจนร่างล้มคะมำกับพื้น ยัง... ยังไม่ยอมแพ้ เขาคลานหนีต่อ!
“เฮ้อ... น่าสมเพชจริงๆ”
น้ำเสียงสุขุมดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามเกิดพูดได้ขึ้นมาแบบนั้น เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ หันกลับไปมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ จึงเห็นว่าคนในโลงนั้น เป็นชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง หน้าตาดูเคร่งขรึม แต่ดูจะอายุน้อยกว่านิดหน่อย ในมือถือบูมเมอแรงเก่าๆ เห็นเช่นนั้นเขาก็ถึงบางอ้อในทันทีว่านี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เขาล้มไปเมื่อครู่
แต่คิดอีกที คนลุกขึ้นมาจากหลุมศพไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย...
“นะ… นะ… นายเป็นใคร” เขาถามเสียงสั่น ปกติก็เชื่อเรื่องโชคลางอยู่แล้ว นี่ดันไปขุดสุสานลบหลู่พลังงานลึกลับเข้าให้ ทำเอาศพฟื้นขึ้นมาหลอกหลอนแบบนี้ ยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่!
“คน คนเป็นๆ นี่ล่ะ” ฝ่ายตรงข้ามตอบเสียงเรียบ
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง ปากยังถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ “ซีเรียสหรือเปล่า ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบ แต่มองกลับด้วยสายตาจริงจัง แปลได้ชัดเจนว่าเขากำลังถามคำถามที่งี่เง่าอยู่ เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากยกขึ้นฉีกยิ้มพลางหัวเราะแห้งๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป “ฮ่าๆ ๆ ไม่ใช่ผีก็ดีใจแล้ว ว่าไหม?”
“ลุกขึ้น” เจ้าตัวกล่าวขึ้น เหมือนไม่ใยดีต่อคู่สนทนาเลยสักนิดเดียว
กล้าดียังไงมาสั่งคนอื่นเนี่ย...
เขาเกาหัวแกรก ก่อนจะค่อยๆประคองตัวเองลุกขึ้นยืน สายตาเพ่งไปมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา
ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มสวมแว่นกรอบสีดำดูเคร่งขรึม ดวงตาเป็นสีเขียวมรกต ผมยาวสีดำถูกมัดรวบเอาไว้ข้างหลัง ชุดสูทโทรมๆ ถูกเสื้อกาวน์สีขาวสวมทับอยู่ เมื่อมองสลับกับชุดตนเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิก ฝ่ายโน้นแต่งชุดรุ่มร่ามเหมือนคนแก่ ในขณะที่ตนเองใส่ชุดรัดรูปสีดำ เสื้อแจ็กเก็ตหนังเข้ารูป รองเท้าบูท และเข็มขัดเครื่องมือช่างรอบเอวเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ แบบนี้ดูยังไงมันก็คนหลงยุคชัดๆ
แต่ประเด็นที่น่าคิดคือ... ถูกฝังไปร้อยปีเต็มๆรอดมาได้อย่างไร และอายุยืนขนาดนี้ แต่ทำไมรูปร่างหน้าตาไม่ต่างกับวัยรุ่นอายุสิบกว่าๆเลยสักนิดเดียว
จะว่าไป... หมอนี่เป็นมิวแทนต์หรือเปล่านะ
ไม่ทันจะได้ทักทายอะไร หนุ่มเซอร์คนนั้นก็ยิงคำถามแรกออกมาทันที
“วันนี้วันที่เท่าไหร่”
เอ่อ... มันก็แปลกดี ส่วนใหญ่คนแปลกหน้าต้องถามชื่อก่อนไม่ใช่หรือ แต่นี่ดันถามวันที่ก่อนเสียอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ใจดำอะไรขนาดที่จะรูดซิบปิดปากเงียบ เขาตอบคำถามออกไป
“28 มิถุนายน... ค.ศ. 2122” เขาตอบปีแบบเก่าไปด้วยเป็นการประชด “แต่เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า ปีโครโนโพลิสที่ 100”
...แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำหน้างงสุดขีด แล้วถามซ้ำจริงๆ “ปีอะไรนะ?”
“ค.ศ. 2122 ก็ปีโครโนโพลิสที่ 100 ไงล่ะ นี่ไม่รู้จริงๆเหรอเนี่ย”
เด็กหนุ่มสวมแว่นคนนั้นดูตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน “เดี๋ยว นี่เวลาผ่านมาร้อยปีแล้วเหรอ”
“เอ่อ…” คนขุดหลุมเริ่มเกาหัวด้วยความประหลาดใจ “ต้องถามนายมากกว่าว่าหลงยุคมาจากไหนหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มที่ถูกตราหน้าว่า ‘หลงยุค’ คนนั้นไม่ตอบคำถาม กลับแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ก่อนจะถามต่อไปเหมือนไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิด “นายชื่ออะไร”
เล่นเมินกันแบบนี้เลยเรอะ มารยาทแย่จริงๆแฮะ แต่เอาเถอะ...
“ฉันชื่อไอคารอส... ไอคารอส ทิมเบอร์” เขาแนะนำตัวพลางยื่นมือออกมาจับทักทายกับฝ่ายตรงข้าม เขย่ามือเล็กน้อยพอเป็นพิธีแล้วก็วางมือลงแนบลำตัวดังเดิม รู้สึกโล่งใจอยู่บ้างที่ฝ่ายตรงข้ามยังรู้จักวิธีการทักทายแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะมีเรื่องต้องหนักใจมากกว่านี้อีกเยอะ
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่มีชื่อเรียกที่สั้นกว่านี้มั้ย” เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นยังคงถามต่อ
แม้จะรู้สึกรำคาญ แต่ก็ยังตอบออกไป “คารอส ถ้าอยากได้พยางค์เดียวจะเรียกรอสก็ได้ ไม่ว่า”
“งั้นฉันเรียกไอคารอส” ฝ่ายตรงข้ามตอบเสียงเรียบ หน้าตาเฉยเมยดูเย็นชาชวนให้น่าถีบเป็นยิ่งนัก ทำเอาคารอสหงุดหงิดจนต้องโวยวาย
“แล้วถ้าอย่างนั้นจะถามทำไม!?”
“ก็แค่อยากรู้น่ะ” เขาตอบพลางขยับแว่น “ชื่อไม่ได้มีเอาไว้ย่อนี่ ชื่อมีเอาไว้เรียก ดังนั้นฉันก็เรียกชื่อนายเต็มๆนั่นแหละ”
คำพูดนั้นทำเอาไอคารอสโมโหเดือดปุดเส้นเลือดขึ้นหน้า ก่อนหน้านี้ก็ว่าอดทนมาตลอด แต่ตอนนี้เขาชักเริ่มไม่ไหวแล้ว มือกำแน่นเตรียมพร้อมชกฝ่ายตรงข้าม แต่อีกใจยังยั้งมือเอาไว้อยู่
ไอ้บ้านี่มันกวนโอ๊ยชะมัดเลยโว้ย!
ไอคารอสพยายามยั้งใจตัวเอง เย็นไว้น่าสหาย... เขาท่องในใจพลางสูดลมเข้าออกนับหนึ่งถึงสิบจนใจเย็นลงได้ จึงถามกลับไปบ้าง “แล้วนายชื่ออะไร”
“...ชื่อ?”
เด็กหนุ่มหลงยุคคนนั้นเมื่อได้ยินคำถามก็เงียบไปชั่วขณะ นัยน์ตาดูเลื่อนลอยไร้สติไปในทันใด จู่ๆเข่าก็ทรุดลงอย่างเสียการควบคุม ทำเอาไอคารอสตกอกตกใจต้องรีบเข้าไปพยุงร่างเอาไว้ก่อน
“เฮ้ยๆ เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
ภาพความทรงจำต่างๆ ที่ไหลทะลักเข้ามาในหัวนั้นตีปนเปกันมั่วไปหมด จนทำให้เรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้เลยสักนิดเดียว ความรู้สึกปวดหัวทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนทนแทบไม่ไหว เขาได้แต่ครางออกไป ไม่มีแรงแม้แต่จะกรีดร้อง ฝันร้ายตามหลอกหลอน เงามืดน่ากลัวคืบคลานเข้ามา เสียงกรีดร้องมากมายเสียดแทงหูจนเขาแทบคลั่ง จนกระทั่งมีอะไรบางอย่างที่ฟาดเข้ากลางหัวพอดี ภาพทั้งหมดจึงหยุดลง
“โอ๊ย!” เขาร้อง ก่อนจะหันขวับไปมองที่ไอคารอส ใจยังลังเลไม่รู้จะขอบคุณหรือโกรธเจ้าหมอนี่ดี... มือที่ถือจอบเอาไว้เป็นคำตอบถึงอะไรบางอย่างที่ฟาดเข้าที่หัวของเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ดี ไอคารอสยักไหล่แล้วพูดขึ้นกวนๆ
“สงสัยเพิ่งตื่น เลยยังมึนๆ เบลอๆ อยู่ใช่ไหมล่ะ น่าเบื่อจริงๆ ไม่ไหวเลยนะนายเนี่ย” ไอคารอสบ่น ทว่าเมื่อนึกอะไรที่สำคัญกว่านั้นได้ก็กลับยิ้มขึ้นมาทันที “...ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ได้ลูกมือแล้ว ช่วงนี้กำลังจนๆ อยู่พอดีเลย”
“ใครลูกมือนาย” เด็กหนุ่มตอบกลับทันควัน ยืนกอดอกด้วยทีท่าไม่ไว้วางใจ “ถ้าจะคิดเอาฉันไปใช้หรือหลอกทำอะไรละก็ฝันไปเถอะ ฉันไม่ได้หลงยุคจากเวลาเก่าครึอย่างสมัยนโปเลียน แต่ฉันมาจากยุคที่สมาร์ทโฟนและสตีฟ แจ๊บส์เพิ่งตายไปไม่กี่ปีต่างหาก”
“โธ่เอ๊ย นายมันไม่เข้าใจอะไร เข้าเมืองไปแล้วนายจะคิดถึงฉันทันทีเลยล่ะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
“หยุดมโนเถอะ เราเพิ่งจะรู้จักกัน” เด็กหนุ่มส่ายศีรษะด้วยความระอา อยากจะเดินหนีเต็มทน หากว่ารอบๆสุสานแห่งนี้ไม่ใช่เหล็กเก่าๆ ที่กองพะเนินเป็นภูเขาจนมองไปทางไหนก็ไม่ต่างกัน เขาก็คงจะทำไปนานแล้ว
“ใช่... เราเพิ่งจะรู้จักกัน น่ายัดนายกลับลงหลุมจริงๆ” ไอคารอสบ่นพึมพำ เขานึกโทษตัวเอง คิดผิดจริงๆ ที่เชื่อข่าวลือจากคนในบาร์ คราวหน้าไม่เอาแล้ว!
เมื่อทอดสายตามองไกลออกไป จะเห็นแสงสว่างอยู่ลิบๆ พร้อมกับโดมโปร่งแสงและสิ่งก่อสร้างลอยฟ้าตระการตา รถราวิ่งอยู่บนท้องฟ้าภายในโดมโปร่งแสงดูล้ำจินตนาการ แม้จะมองจากมุมห่างๆ แต่มันก็ยังคงดูน่าทึ่งอยู่ดี เด็กหนุ่มยืนมองรอบๆ อย่างเนิ่นนานเหมือนกำลังพยายามจดจำรายละเอียดของสิ่งต่างๆ แอบแปลกใจอยู่บ้าง ที่วันนี้มองไม่เห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า
ก็ไม่แน่… บางที วันนี้อาจจะเป็นคืนข้างแรมก็เป็นไปได้
เขาเกือบจะเคลิ้มกับบรรยากาศโรแมนติกแปลกๆ ในโลกยุคร้อยปีไปแล้ว หากไม่มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขัดขึ้นเสียก่อน
“เฮ้ย ห้าทุ่ม! ตายละ รีบกลับกันเร็ว!”
ไอคารอสแผดเสียงดังลั่นหลังจากที่มองดูเวลาในภาพจอโฮโลแกรมซึ่งกำลังฉายบนอากาศ เขาปัดมือไล่แสงนั้นออก แล้วสะบัดมืออีกครั้ง ปรากฎเป็นหน้าต่างให้เลือกช่องคำสั่งต่างๆ นิ้วเรียวเลือกกดเรียกยานพาหนะอย่างว่องไว ในเวลาแค่ไม่กี่นาที รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็พุ่งทะยานจากท้องฟ้าไกลลิบมาหยุดลงตรงหน้าทั้งสองคน
“เยี่ยม! รีบไปกันเถอะ” ไอคารอสพูดขึ้นอย่างรีบร้อนพลางขึ้นขี่บนบิ๊กไบค์อย่างคล่องแคล่ว
บิ๊กไบค์จากที่เด็กหนุ่มหลงยุคเคยรู้จักมาจาก ค.ศ. 2022 นั้น ล้อไม่ใช่อย่างที่เห็นตรงหน้า สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าบิ๊กไบค์ในยุคนี้ ล้อได้กลายเป็นช่องไอพ่นไฟกลมๆไปแล้ว ท่อไอเสียพ่นไฟสีฟ้าออกมาสว่างจ้า และจากการคาดเดา เพราะเพลิงไฟสีฟ้าที่พวยพุ่งออกมาจากช่องนั้น จึงทำให้มันสามารถเคลื่อนไหวบนอากาศได้โดยไวนั่นเอง
“รีบไปกันก่อนเร็ว” ไอคารอสเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน “ถ้าพวกมนุษย์มาเจอเข้าละก็พวกเราเสร็จแน่!”
“เดี๋ยวนะ ทำไมฉันต้องไปกับนาย ถ้าฉันไปกับนาย แบบนี้ต่อให้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยังไงก็ถูกเหมารวมว่าเป็นพวกนายอยู่ดี แล้วถ้านายดันทำอะไรผิดกฎหมายแบบนั้นฉันไม่ซวยไปด้วยเหรอ?”
ไอคารอสกัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิด เมื่อมองดูยานพาหนะของพวกมนุษย์บนท้องฟ้าอันแสนไกลที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก็พาลทำให้ใจเสียเข้าไปใหญ่ ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้ามัวแต่มาอธิบายให้พ่อหนุ่มหลงยุคคนนี้ฟังละก็ไม่ทันการแน่!
“ไปเถอะน่า ค่อยพูดทีหลัง!”
อาศัยจังหวะไม่ทันตั้งตัว และฝ่ายตรงข้ามที่สูงเพียงไหล่ตนเองเท่านั้น ไอคารอสสตาร์ทเครื่องยนตร์แล้วรีบดึงแขนฝ่ายตรงข้าม ทะยานรถขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างทันทีทันใด ความเร็วและความสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาฝ่ายตรงข้ามตกใจจนเกือบปล่อยมือตกลงไป โชคดีที่รวบรวมสติได้ทันรีบปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายบนเบาะหลัง หายใจเข้าออกนับเลขไปครู่หนึ่ง กว่าจะปรับตัวกับความสูงระดับนี้ได้ก็เกือบจะหัวใจวาย
เด็กหนุ่มหลงยุคเมื่อใจเย็นลงแล้วจึงตำหนิเสียงดุ “มารยาทพื้นฐานนี่รู้บ้างไหม จะทำอะไรก็หัดถามบ้าง!”
“ไอ้บ้า กว่าจะถามเสร็จได้ตายก่อนน่ะสิ!”
แม้พยายามขับเร็วเท่าใด แต่เพราะออกตัวช้าเกินไป ทำให้พวกนั้นขี่รถควบตามมาได้ทันในที่สุด ระยะห่างไม่ถึงห้าร้อยเมตร ศักยภาพของเครื่องยนตร์ที่เหนือกว่าของพวกมัน ทำให้ไม่ยากเลย หากจะหยุดไอคารอสจริงๆ
แต่ไอคารอส... ยอมให้กินลงได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน!
“หยุดเดี๋ยวนี้เจ้าพวกมิวแทนต์ พวกครึ่งมนุษย์เลือดโสโครก!” เสียงดังตะโกนขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันหลังมองจึงเห็นรถบิ๊คไบค์สีดำทะมึนสองสามคันกับคนขับที่สวมชุดรัดรูปสีดำทั้งตัว หมวกกันน็อคที่สวมปกปิดใบหน้าทำให้ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นคือใคร เด็กหนุ่มนั่งซ้อนท้ายได้แต่เกาะเบาะเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตนเองปลิวตกจากเบาะ ลมแรงพัดตีปะทะกับหน้าเต็มๆ วิวสูงเช่นนี้ชวนให้รู้สึกหวิวอยู่บ้าง แต่เขาได้ค้นพบว่ามันน่าสนุกดีเหมือนกัน
เส้นไฟแลบเฉี่ยวหน้าเขาไปนิดหนึ่ง เป็นการยิงไล่ล่าจากพวกมนุษย์ ไอคารอสรีบส่งปืนรูปร่างประหลาดๆมาให้ทางด้านหลัง ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้ในทันทีว่าให้หน้าที่ตนเองคืออะไร ในขณะที่รอสเอี้ยวตัวบังคับรถบิ๊กไบค์ให้เอียงตามเพื่อหลบกระสุนจากข้างหลัง เขาก็กระชับปืนในมือเอาไว้แน่น นั่งนิ่งใจเย็นรอจังหวะตอบโต้กลับ
การหลบหนีเป็นไปอย่างผาดโผน รถบินพุ่งขึ้นลงรวดเร็วยิ่งกว่ารถไฟเหาะ ลมพัดแรงจนเสียงหวือดังก้องในหู พวกมนุษย์เองก็ไม่รามือง่ายๆ ยังคงกราดกระสุนยิงและขับรถตามอย่างไม่ลดละ
เด็กหนุ่มถือปืนเล็งไปที่ข้างหลัง เกือบจะล็อกเป้าได้อยู่แล้ว แต่รถที่พุ่งตัวลงสู่ด้านล่างทำให้กระสุนที่ลั่นไกออกไปกลายเป็นยิงพลาดเปล่า แสงไฟฟ้าปลาบเปรี๊ยะพวยพุ่งออกมาจากรังเพลิงตรงดิ่งไปไกลจนสุดสายตา สิ่งที่เห็นทำให้สรุปได้ทันทีว่ามันคือปืนยิงไฟฟ้านั่นเอง
“ปืนนี่บรรจุกระสุนไว้กี่นัด”
“อะไรนะ” ไอคารอสถามอีกครั้งเพราะได้ยินไม่ถนัด เสียงปืนที่ดังลั่นและเสียงลมหวีดหวิวกลางอากาศทำให้หูเขาอื้อไปหมด
“มีกี่นัด!” เด็กหนุ่มตะโกนถามเสียงดัง หากเขารู้จำนวนกระสุนทั้งหมด ก็จะทำให้ตนเองประมาณได้ว่าควรยิงถี่แค่ไหน ตอนนี้เขายิงไปที่ฝ่ายตรงข้ามได้สามนัดแล้ว แต่ไม่ถูกเลยสักนัดเดียวเพราะกะไม่ค่อยถนัด ถึงกระนั้นก็ยังคงยิงต่อไปอีกเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เข้ามาใกล้
“ยิงไปเถอะ นี่มันปืนไฟฟ้า” ไอคารอสตะโกนตอบ “หมดก็ชาร์จเอา!”
เกือบจะยิ้มอยู่แล้ว ที่วิทยาการในสมัยนี้พัฒนาล้ำไปถึงขนาดว่าอาวุธสามารถพัฒนาแรงทำลายล้างไปได้สูงขึ้นมาก แต่กลับสามารถใช้ได้ใหม่เพียงแค่ชาร์จเท่านั้น
แต่...
เดี๋ยวนะ แบบนี้ศัตรูก็สามารถโจมตีเราได้เรื่อยๆตราบที่ยังมีไฟฟ้าให้ใช้น่ะสิ?!
“คราวนี้ขอเหาะหน่อย เกาะฉันแน่นๆ!” ไอคารอสตะโกน ยกแฮนด์รถเชิดขึ้นลอยสูงดิ่งจนร่างคนข้างหลังเกือบร่วงลงไป ถ้าหากคว้าเอวเอาไว้ไม่ทันคงได้ดิ่งพสุธาไปแล้ว มือข้างหนึ่งเกาะ อีกข้างยังคงยกขึ้นยิงสกัดฝ่ายตรงข้ามอยู่
รถพุ่งขึ้นด้านบนต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ในขณะที่พวกไล่ล่าด้านหลังยังคงตามมาเช่นกัน เด็กหนุ่มหลงยุคเลิกกระหน่ำยิง แต่หยุดล็อกเป้าไปที่รถบิ๊กไบค์คันใกล้ที่สุด เขารวมสมาธิ กลั้นหายใจให้มือนิ่ง แล้วยิงออกไป
เปรี๊ยะ... ตูม!
เป้าหมายเสร็จไปหนึ่ง รถบิ๊คไบค์คันนั้นร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างก่อนจะระเบิดกลางอากาศ ควันไฟสีแดงพวยพุ่งเป็นกลุ่มก้อน ทว่าโชคดี หรืออาจจะโชคร้าย คนขับรถคันนั้นกระโดดออกจากรถได้ทันแล้วกางร่มชูชีพ ลอยตัวลงสู่เบื้องล่างอย่างปลอดภัย
เขาจะถือว่าโชคดีก็แล้วกัน
“จะเกินไปหน่อยแล้ว หยุดมอบตัว แล้วเราจะไม่จับตาย!” เสียงประกาศของฝ่ายตรงข้ามดังขึ้นกึกก้อง ไอคารอสร้องชิเบาๆ ก่อนจะตะโกนออกมาผ่านไมโครโฟนข้างหู
“ไม่มีทาง!”
ถามความสมัครใจฉันบ้างเถอะ... เด็กหนุ่มไร้ชื่อคิดในใจ
กระสุนยังคงยิงกราดมาเรื่อยๆ แน่นอน... การหลบที่ดีไม่ว่าจะดีขนาดไหนก็มักจะมีช่องโหว่เสมอ และในที่สุดประกายไฟฟ้าจากฝ่ายตรงข้ามก็ลอยตรงดิ่งเข้ามาที่ล้อหลังพอดี เฉี่ยวกับขาของเด็กหนุ่มไปแค่นิดเดียว ประกายไฟฟ้าราวหมื่นโวลต์ช็อตเผาทำลายจนล้อพังควันดำพุ่ง และแล้ว เรื่องที่ทุกคนไม่อยากจะให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้...
รถทิ้งดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว หากไม่อยากขาหักหรือถึงขั้นตาย พวกเขาจะต้องกระโดดร่มชูชีพ แต่ประเด็นก็คือ ไอคารอสเดินทางคนเดียวมาตลอด ดังนั้นมีร่มชูชีพแค่อันเดียว!
“อันตราย อันตราย เครื่องได้รับความเสียหายห้าสิบเปอร์เซ็นต์” เสียงร้องดังจากเครื่อง ระงมกับเสียงคำพูดขู่คำรามของฝ่ายตรงข้ามที่ตามมาจากด้านหลังอย่างติดๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกแกถูกจับแล้ว”
ไอคารอสเหงื่อแตกพล่าน แม้ล้อไอพ่นข้างหน้าจะยังทำงาน แต่มันคงยื้อเวลาได้ไม่นานนัก เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ร่มชูชีพมีอันเดียว คิดสิคิด ทำยังไงดี!
ในจังหวะนั้นเองที่เด็กหนุ่มไร้ชื่อได้กระซิบขึ้นข้างหู ใช่... เขานึกวิธีแก้ปัญหาออกแล้ว ถึงจะไม่ใช่วิธีที่ดีก็ตาม
“รอส นายกระโดดลงไป”
“อา… ในที่สุดนายก็เรียกชื่อฉันแบบย่อจนได้!”
เป็นมุขตลกที่ผิดเวลามากถึงมากที่สุด แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะตำหนิ “รีบลงไปซะ แล้วฉันจะตามไป”
“แล้วนายล่ะ?” ไอคารอสถามด้วยความเป็นห่วง… ในขณะที่ตนเองเตรียมสวมร่มชูชีพเรียบร้อยแล้ว
“อีกสิบวินาทีจะตามไป ทันแน่นอน ถ้าฉันคำนวณไม่ผิดนะ” เขากล่าวเสียงนิ่ง ไม่แน่ใจว่าสูตรฟิสิกส์มากมายในหัวมาจากไหน แต่เขากลับคิดมันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไอคารอสไม่อยากจะเชื่อใจเด็กหนุ่มไร้ชื่อคนนี้สักเท่าไหร่ แต่สถานการณ์ที่พาไปทำให้ต้องเชื่อไปก่อน เขาพยักหน้า ตะเบ๊ะให้กึ่งล้อเลียนกึ่งเคารพ ก่อนจะโรยตัวลงสู่เบื้องล่างในทันที
“ลงมาให้ทันนะเพื่อน!”
เอ่อ เราเป็นเพื่อนกันตอนไหน...
ไม่มีเวลาให้คิดอะไรไร้สาระแล้ว เขาต้องรีบขับรถบังคับให้มันพุ่งขึ้นสูงกว่านี้เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน น้ำหนักที่หายไปทำให้รถยังพอประคองตัวลอยขึ้นไปได้แม้จะลำบากอยู่บ้าง มันบังคับได้ไม่ยากนัก เหมือนกับระบบได้เชื่อมต่อกับสมองโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเขาจะคิดอยากให้ไปในทิศไหนมันก็ไปตามที่ใจคิด สิ่งที่ต้องทำคือบังคับแฮนด์รถให้มั่นเท่านั้น
และตอนนี้ล่ะ... ได้เวลาแล้ว...
โรยตัว!
ร่างลอยกลางอากาศร่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างอิสระ ไอคารอสอยู่ไม่ไกลจากสายตามากนัก ร่มที่กางแม้จะเป็นจุดล่อสายตา แต่รถบิ๊คไบค์ที่ตกลงมายังเป็นตัวล่อที่ดีได้อยู่ เด็กหนุ่มพยายามกางแขนกางขาออกมาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถอยู่บนชั้นบรรยากาศได้นานที่สุด
ลมหนาวเย็นพัดตีสวนขึ้นมาจนรู้สึกขนลุก ไอคารอสสั่งการเรียกพรรคพวกของตนเองทางหูฟังที่เหน็บข้างหู ก่อนจะแหงนมองขึ้นมาด้านบน เด็กหนุ่มไร้นามคนนั้นกำลังจะตกลงมาหาตนเอง เขาจะต้องคว้าร่างนั้นมาให้ได้ เพื่อจะได้ตกสู่พื้นเบื้องล่างพร้อมๆกันอย่างปลอดภัย แม้ในหลักสูตรจะไม่มีใครบอกให้ใช้ร่มชูชีพหนึ่งอันต่อสองคน แต่ตอนนี้ถ้าอยากรอดทั้งคู่ ก็ต้องยอมทำ
สิบ
เก้า
แปด
เจ็ด
หก
และฉับพลันนั้นเอง...
ปัง!
เสียงปืนดังกึกก้อง ราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง กระสุนนัดหนึ่งยิงทะลุที่กลางอกซ้ายของเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างพอดิบพอดี มันไม่ใช่กระสุนไฟฟ้า แต่เป็นกระสุนปืนจริงๆ …
เลือดไหลทะลักออกมาตามทิศทางกระสุน กระจายไปตามอากาศ เด็กหนุ่มคนนั้นมองตาไอคารอสเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเหมือนกับสติได้หลุดลอยไปเสียแล้ว ไอคารอสแม้ตกใจแต่ก็ยังคุมสติรีบคว้าร่างนั้นกลางอากาศก่อนจะกอดเอาไว้แน่น “เดี๋ยว... ไม่นะ ไม่!”
และในจังหวะนั้นเอง เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์ได้บินผ่านมารับร่างของทั้งสองอย่างพอดิบพอดี มันทะยานหนีพวกมนุษย์ไปได้ด้วยความเร็วเกือบสามร้อยกิโมเมตรต่อชั่วโมง รถบิ๊กไบค์สามารถทำความเร็วได้สูงสุดเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น จึงไม่สามารถไล่ตามต่อไปได้
หลังคารถยนต์ค่อยๆปิดตัวลง ไอคารอสรีบพลิกร่างเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้น หยิบผ้าก็อซในกระเป๋าเสื้อมากดกับบาดแผลเพื่อพยายามจะหยุดเลือด คนขับที่เป็นผู้หญิงค่อยๆถอดแว่นตาสีดำออก เธอเลื่อนมือไปกดเปิดเพลง ลดเสียงลงไม่ให้ดังกระหึ่มเกินไป ก่อนจะพูดขึ้น
“ไปรื้อสุสานมาแล้วได้คนสินะ?”
“อย่าเพิ่งพูดเล่นเลยเฟธ ฉันต้องรีบช่วยเขาก่อน เธอรีบขับรถกลับที่พักเลย เร็วเข้า!”
“อาฮะ…” เฟธรับคำ เธอไม่พูดอะไรต่อไปอีก เพียงแค่เหยียบคันเร่งเพิ่มจนมิดเท่านั้น
เลือดไหลทะลักออกจากปากแผลไม่ยอมหยุด เห็นเจ้าของร่างเริ่มหายใจรวยรินก็ทำให้ไอคารอสตื่นตระหนกยิ่งขึ้นไปอีก ไม่... เขาไม่อยากเห็นคนตาย เขาต้องทำอะไรสักอย่างสิ คิดสิคิด ต้องทำอะไร!
ดูเหมือนสติของเด็กหนุ่มคนนั้นจะยังมีอยู่บ้าง แม้จะเลือนลางเต็มที เขาพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรง เหงื่อแตกพล่าน ตัวเย็นเฉียบเพราะเสียเลือดมาก ไอคารอสพยายามจะตั้งใจฟังเสียงนั้นอย่างเต็มที่ที่สุด
“ฉันชื่อวิคเตอร์...”
ผู้แต่ง : Besty Vivo
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | Chapter 1: Awakening ตื่นขึ้น | 02 ก.พ. 59 |
2 | Chapter 2: Instinct สัญชาตญาณ | 08 มี.ค. 59 |
3 | Chapter 3: The Secret of Metropolis ความลับแห่งมหานครเมโทรโปลิส | 15 มี.ค. 59 |
4 | Chapter 4: Illusion ภาพลวงตา | 21 มี.ค. 59 |
5 | Chapter 5: B.A.D. Squad ภาคีแห่งผู้กล้า | 30 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
อืม ถ้าไม่ใช่ประกวดแบบนี้จะไม่ว่ากัน แต่พอเป็นประกวดเลยรู้สึกว่า ตอนที่เป็นตอนสุดท้ายที่แปะได้สำหรับรอบนี้แล้ว แต่เรื่องกลับยังไม่ผลักไปถึงจุดหัก หรือจุดทิ้งปมสำคัญ ทั้งสองตอนที่ผ่านมาเป็นตอนเดินเรื่อง ยังไม่หย่อนคลูอะไรเพิ่มเลย จริงๆ น่าจะหย่อนสักนิดนะ มัดคนอ่านให้แน่นๆ คือมันจะเป็นจุดเก็บคะแนนที่ดีน่ะ
แต่อื่นๆ นอกจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ คุณเป็นคนมีฝีมืออยู่แล้ว หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปนุ :)
ลวิตร์