EN08 Macaros' Journey เจ้าชายรูปงามกับจอมมารทั้งเจ็ด
บันทึกการเดินทางของเจ้าชายรูปงามคนหนึ่งผู้ซึ่งจับพลัดจับพลูมาเป็นผู้กล้าปราบจอมมารแห่งบาปทั้งเจ็ด แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นจับจอมมารเข้าฮาเร็มแทน
บทนำของบันทึก
คุณสมบัติของผู้กล้า
ตามตำนานที่กล่าวขานมา ‘ผู้กล้า’ ที่จะต้องเดินทางบุกน้ำลุยไฟไปปราบจอมมารเพื่อปกป้องโลกจะต้องตรงตามมาตรฐานดังนี้
ผู้กล้า คือผู้กล้าหาญที่จะต้องต่อสู้กับปิศาจ มารร้าย หรืออะไรก็ตามที่จะทำลายมนุษย์
ผู้กล้า จะต้องกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายเพื่อปกป้องบ้านเมือง
ผู้กล้า จะต้องมีไหวพริบ กล้าหาญชาญฉลาดทันเกมของมารร้าย
ผู้กล้า จะต้องมีจิตใจโอบอ้อมอารี ปรานีแม้กระทั่งปิศาจร้ายที่เคยทำชั่วช้า
และที่สำคัญ ผู้กล้าจะต้อง รูปงาม หน้าตาดี มีมัดกล้าม
รูปงาม…
ฟุ่บ…
มือที่เริ่มมีริ้วรอยให้เห็นวางกระดาษลงและยกมือขึ้นขยี้ตาเผื่อว่าตัวเองจะมองผิดไป ขยี้ได้ครู่หนึ่งก็เลื่อนมือไปเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบแว่นมาสวมลดอาการตาฝ้าฟางก่อนจะก้มลงมองเอกสารที่เพิ่งได้รับมาเมื่อเช้าตรู่อีกครั้ง
‘ผู้กล้าจะต้องรูปงาม หน้าตาดี มีมัดกล้าม’
‘รูปงาม หน้าตาดี มีมัดกล้าม’
‘รูปงาม’
‘หน้าตาดี’
‘มีมัดกล้าม’
ยิ่งสวมแว่นตัวหนังสือก็ยิ่งชัด คมจัดชัดจริงจนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านั่นเป็นการมองพลาดเนื่องจากอาการจอประสาทตาเสื่อมตามวัย
ชายสูงวัยถอดแว่น บีบนวดขมับของตัวเองแล้วนิ่งค้างอยู่แบบนั้น ก่อนจะหยิบเอกสารข้างตัวมากวาดมอง เปลี่ยนไปแผ่นแล้วเผ่นเล่าจนย้อนกลับมาที่กระดาษแผ่นแรก
“ไม่มี…. ไม่มีเลยสักคน! ข้อกำหนดนี่มันตามมาตรฐานผู้กล้าหรือตามใจคนกำหนดกันแน่น่ะหา!?”
หัวหน้าสมาคมผู้กล้ามองรายชื่อผู้กล้าในสมาคมของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความรู้สึกหนักใจ ฝ่ามือหยาบกร้านหยิบประวัติของผู้กล้าขึ้นมาหนึ่งแผ่นแล้วทำใจอ่านมันอีกครั้ง ทว่าเพียงแค่เห็นรูปที่มุมขวาเท่านั้นชายสูงวัยก็ต้องลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะแล้วตะโกนเสียงดังอย่างไม่คิดจะทนอีกต่อไป
"สมัยนี้คนหล่อที่ไหนมันจะมาเป็นผู้กล้ากัน!" เขาขยำกระดาษในมือแล้วปาออกไปกระทบผนังห้อง แต่ด้วยความที่ใส่แรงกับมันมากเกินไป กระดาษที่ว่านั้นจึงกระดอนกลับมาโดนตัวเอง
เมื่อเห็นว่าเพื่อนออกอาการไม่พอใจออกมามากเกินควร ชายที่นั่งอยู่ด้วยกันก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัยแล้วเอื้อมมือไปหยิบประวัติของผู้กล้าคนอื่นขึ้นมาดู สายตาจับจ้องรูปผู้กล้าที่ทำหน้าเคร่งขรึมอย่างพิจารณาก่อนจะพูดออกไป
"ผู้กล้าในสมาคมแกก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไรขนาดนั้นนี่ หน้าตาก็ดูเป็นคนกันดีออก" ผู้พูดขมวดคิ้ว มือขยับเปลี่ยนแผ่นกระดาษอีกครั้งเพื่อดูใบหน้าของผู้กล้าคนถัดไป
หัวหน้าสมาคมผู้กล้าได้ยินดังนั้นก็กระชากประวัติผู้กล้ากลับคืนไปแล้วดึงเอารูปเต็มตัวที่ซ้อนอยู่ด้านล่างออกมาให้อีกฝ่ายดู พร้อมบอกข้อเสียของเจ้าของรูปนั้นออกมายาวเหยียด
"แกดู! แต่ละคนหน้าตายังกับโจรป่า กล้ามงี้เป็นมัดๆ รอยแผลบนหน้านี่มันอะไร ฟันก็ยื่นจนจะเฉาะคนอื่นเขาได้อยู่แล้ว! ส่งพวกมันไปเป็นผู้กล้า แทนที่ชาวบ้านจะสบายใจมันจะกลายเป็นกลัวจนไม่มีใครกล้าสบตากันมากกว่า!"
ชายสูงวัยยกมือขึ้นทึ้งเส้นผมของตัวเอง วันกำหนดส่งตัวผู้กล้าเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที แต่ในตอนนี้เขากลับยังคัดเลือกผู้กล้าที่จะต้องไปร่วมคัดเลือกตัวที่สมาคมใหญ่ไม่ได้สักคน เพื่อนของหัวหน้าสมาคมผู้กล้าเห็นดังนั้นก็พยายามเอ่ยปลอบใจอีกฝ่าย ชี้ให้เห็นข้อดีของผู้กล้าที่มีอยู่ในสมาคม
"คนเราจะมองกันที่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้นะ ที่จริงแล้วผู้กล้าของสมาคมแกออกจะนิสัยดี ตรงตามฉบับผู้กล้าทุกประการ"
สิ่งที่ชายสูงวัยอีกคนพูดมานั้นก็ถูก แต่ถึงอย่างนั้นแล้วหัวหน้าสมาคมผู้กล้าก็กลับรู้สึกขัดใจไม่ได้ เพราะถ้ามองข้ามหน้าตาที่ออกไปทางโจรป่ามากกว่าคนดีไป สมาชิกที่มีตำแหน่งผู้กล้าของเขานั้นก็นับว่าตรงตามคุณสมบัติ แต่บางคนนั้นก็ออกจะตรงจนเกินไปถึงขั้นต้องเอามือกุมขมับกันเป็นแถบ ส่วนบางคนนั้นก็หน้าตาแย่เกินขั้นที่จะมองข้ามได้
"แล้วตอนเห็นหน้าพวกมันครั้งแรกแกกลัวไหมล่ะ ดูหน้าไอ้นี่สิ ยังกับฆาตกรฆ่าร้อยศพ! ใครที่ไหนจะรู้ว่านิสัยมันโคตรซื่อ!"
มือของผู้พูดชี้ไปที่รูปของชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกรงขาม ตาข้างซ้ายมีแผลเป็นเป็นทางยาว มัดกล้ามเต็มไปด้วยรอยแผลต่างๆ มากมาย เป็นการบ่งบอกว่าเขานั้นผ่านประสบการณ์มามากแค่ไหน
"ไอ้นี่ก็พอกัน!"
หัวหน้าสมาคมชี้ไปที่ประวัติของผู้กล้าข้างๆ กัน รูปที่อยู่บนประวัตินั้นทำเอาเขารู้สึกเครียดมากกว่าเดิม เหตุเพราะชายที่อยู่ในรูปนั้นมีรูปร่างใหญ่โต ผมยาวพันกันยุ่งเหยิง หนวดเครารกรุงรัง ตาข้างขวาถูกพาดด้วยผ้าปิดตา อีกทั้งมือข้างเดียวกันก็ยังขาดหายไปและถูกแทนที่ด้วยตะขอเหล็กดูแหลมคม ราวกับว่าเขานั้นเป็นชายหนุ่มผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่บนเรือที่แล่นไปตามท้องทะเล นานๆ ทีถึงจะกลับเข้าฝั่งเพื่อกักตุนเสบียงมากกว่าจะเป็นผู้กล้า
"ตกลงนี่มันเป็นโจรสลัดหรือผู้กล้ากันแน่!?"
เพื่อนของหัวหน้าสมาคมยิ้มเฝื่อน เขาหยิบประวัติของผู้กล้าแผ่นต่อไปขึ้นมาดูคร่าวๆ แล้วยื่นมันส่งให้กับคนที่กำลังจะคลั่งในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า พอได้รับประวัตินั้นมาและมองไปที่รูปผู้กล้าอีกคนนั่นแล้ว หัวหน้าสมาคมก็ยิ่งรู้สึกอยากลงไปดิ้นกับพื้นด้วยความบ้าคลั่ง
"ไอ้นี่บัดซบสุด! ไม่มีส่วนไหนพิการ แต่แกดูหน้ามันสิ! ตาแหลม คิ้วโก่ง แบบนี้มันมาดตัวร้ายชัดๆ หน้าตาแบบนี้ใครเขาจะเชื่อล่ะว่ามันเป็นผู้กล้าน่ะ!"
คนที่อยู่ด้วยกันยิ้มแห้งๆ เขาพลิกดูประวัติผู้กล้าในมือโดยที่พยายามไม่สนใจหน้าตาของผู้กล้าเหล่านั้นและอ่านแค่ประวัติและผลงานของพวกเขาแทน
"แต่พวกเขาก็ฝีมือดีนะ นิสัยก็ดี...ไม่ได้เลวร้ายแบบที่เห็นจากภายนอกสักหน่อย"
“ฮว๊ากกก!!”
หัวหน้าสมาคมผู้กล้าร้องโวยวายออกมาด้วยความไม่พอใจ หยิบประวัติผู้กล้าทั้งหมดขึ้นมาแล้วใช้เวทมนตร์จุดไฟเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
"ดีจนซื่อบื้อน่ะสิ! โดนโจรป่าตัวจริงหลอกปล้นไปตั้งกี่ครั้งกันล่ะ! ให้ไปจับโจรดันโดนโจรปล้นกลับ ทำภารกิจพลาดมากกว่าสำเร็จ แบบนี้ใครจะกล้าส่งไปกันเล่า!"
"..."
ฝ่ายสนับสนุนผู้กล้าเถียงข้อเท็จจริงนี้ไม่ออก เขาจึงนั่งเงียบและล้มเลิกความคิดที่จะแก้ต่างให้บรรดาผู้กล้าไปโดยปริยาย
นั่งเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดหัวหน้าสมาคมผู้กล้าก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเอนตัวพิงกับเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องด้วยความรู้สึกหมดหวังกับผู้กล้าในสมาคมของตัวเอง
"สงสัยคงต้องคัดเลือกผู้กล้ากันใหม่จริงๆ แล้วล่ะ มันจะมีใครกล้ามาสมัครไหมเนี่ย"
อดีตฝ่ายสนับสนุนผู้กล้ายิ้มแห้งๆ เขาตอบกลับเพื่อนที่กำลังหมดอาลัยตายอยากด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่
“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ล่ะนะ”
ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ลองก็ไม่มีผลลัพธ์ แล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันจะรุ่งโรจน์หรือรุ่งริ่งก็คงต้องฝากความหวังเอาไว้กับชายหนุ่มรูปงามหน้าตาดี มีมัดกล้ามประจำอาณาจักรที่ไม่รู้ว่าจะมีมาสมัครกันสักกี่คน และจะได้ตรงตามคุณสมบัติหรือสวนทางก็คงต้องแล้วแต่ดวงชะตาอันน้อยนิดของหัวหน้าสาขาผู้นี้
“ข้าแต่เทพเจ้าผู้คุ้มครองคัลเลอร์ ได้โปรดส่งผู้กล้าที่ตรงตามคุณสมบัติบ้าๆ นี่มาให้ข้าด้วยเถิด!”
เป็นเพราะผู้กล้าในสมาคมต่ำกว่ามาตรฐานเกินไป หัวหน้าสมาคมผู้กล้าสาขาย่อยประจำอาณาจักรคัลเลอร์จึงแปะป้ายประกาศตัวเบ้อเร่อตั้งแต่หน้าสมาคมยันร้านขายของเล่นเด็ก ความใหญ่และโดดเด่นของมันดึงดูดสายตาของผู้คนทุกเพศทุกวัยให้หยุดมองแล้วอ่านรายละเอียด
ประกาศด่วนจากสมาคมผู้กล้า
(สาขาอาณาจักรคัลเลอร์)
ทางสมาคมของเราได้รับคำสั่งให้เฟ้นหาตัวผู้กล้าไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญ แต่ทว่าผู้กล้าของสมาคมเรานั้นไม่มีใครตรงตามมาตรฐานเลยสักคน ทางเราจึงอยากขอความร่วมมือจากผู้มีความกล้าหาญประจำอาณาจักรคัลเลอร์ อยากขอร้องให้ชายหนุ่ม (หรือจะเป็นหญิงสาวก็ไม่ว่ากัน) ผู้มีความสนใจอยากเป็นผู้กล้ามาเข้าร่วมคัดเลือกผู้กล้าประจำอาณาจักร
โดยเกณฑ์การตัดสินมีดังนี้
1. หน้าตาจะต้องอยู่ในขั้นดูดี ไม่มีบาดแผลให้รู้สึกขัดใจ หรือน่ากลัวเกินไปจนชาวบ้านคิดว่าเป็นโจร
2. ฝีมือการต่อสู้ก็เช่นกัน ดาบที่พกติดตัวต้องใช้เป็น ไม่ใช่มีไว้แค่ประดับตำแหน่ง
3. สมองต้องเป็นเลิศ ไหวพริบดี ไม่ตกหลุมพรางใครง่ายๆ
4. ต้องเป็นคนดี และรู้จักแยกแยะว่าอะไรผิดอะไรถูก จะฆ่าดะเพราะเห็นว่าเป็นปิศาจก็ดูจะเกินไป
5. ต้องมีความกล้าสมกับตำแหน่งผู้กล้า
ผู้ใดที่มีคุณสมบัติและสนใจเข้าร่วม สามารถลงชื่อได้ที่สมาคมผู้กล้า การตัดสินจะจัดขึ้นในอีกสามวันหลัวจากติดป้ายประกาศ และที่สำคัญ การคัดเลือกผู้กล้าครั้งนี้จะมีเชื้อพระวงศ์ทั้งสี่พระองค์เข้าร่วมการตัดสิน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลอย่างงามจากเจ้าหญิงเมมโมเรียและเจ้าชายมาคารอสจากอาณาจักรคัลเลอร์ไปครอบครอง
ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ
ซิลฟลิส อาร์กอน่า
หัวหน้าสมาคมผู้กล้าสาขาย่อยประจำอาณาจักรคัลเลอร์
“พ่อ! ผมอยากเป็นผู้กล้า!”
“แม่คะ! หนูขอไปร่วมคัดเลือกค่ะ!”
“รางวัลจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่เจ้าหญิงเจ้าชาย… เฮ้ย! รอกันด้วยสิ!”
“ลาล่า หนูแค่ห้าขวบเองนะลูก!”
ชายหญิงทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชราต่างก็กระตือรือร้นเมื่อได้เห็นตำแหน่งและชื่อในใบประกาศ พวกเขารีบวิ่งกลับบ้านไปปลุกบุตรหลานที่กำลังนอนให้แสงแดดยามบ่ายเลียก้นเล่นให้ตื่นจากนิทรา ลากไปเข้าร่วมการคัดเลือกผู้กล้าแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พ่อ! ผมกำลังฝันดี มาปลุกผมไมเนี่ย!?” เด็กหนุ่มโวยวาย
“ไปคัดเลือกผู้กล้า”
“ผู้กล้าอะไร ไม่เอา ใครจะอยากออกไปตากแดดตากลมถือดาบสู้กับปิศาจเล่นล่ะ! ให้พวกทหารเขาจัดการกันเอาเองสิ”
“ผู้ชนะจะได้รับรางวัลอย่างงามจากเจ้าหญิงและเจ้าช—”
พูดไม่ทันจบประโยค ลูกชายตัวดีก็ดึงตัวเองให้ออกจากฝ่ามือหยาบกร้าน จัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าก่อนจะวิ่งสี่คูณร้อยเมตรตรงไปยังสมาคมผู้กล้าอย่างรวดเร็วจนผู้เป็นพ่อไม่สามารถมองตามได้ทัน
‘รางวัลจากเจ้าหญิงและเจ้าชาย’ เพียงแค่ประโยคนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนในอาณาจักรลุกฮือ ตื่นจากอาการเกียจคร้านและสะบัดมันทิ้งไป จิตใจจดจ่ออยู่เพียงแค่รางวัลจากผู้สูงศักดิ์เท่านั้น
จะคัดเลือกผู้กล้าไปทำอะไรก็ช่าง ขอแค่เพียงได้รับรางวัลจากเจ้าหญิงและเจ้าชาย จะปราบปิศาจหรือจะให้บุกน้ำลุยไฟปีนเขาข้ามแม่น้ำเพื่อไปเด็ดต้นหญ้าเพียงยอดเดียว ประชาชนทั่วทั้งอาณาจักรคัลเลอร์ก็ยอมทำกันโดยไม่สนชีวิต
แล้วเพราะเป็นเช่นนั้น ใบสมัครที่เตรียมมาเพียงน้อยนิดจึงไม่พอสำหรับผู้ต้องการลงแข่งขัน มันได้หมดไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังจากแปะป้ายประกาศ เดือนร้อนผู้กล้าและสมาชิกในสมาคมที่ต้องวิ่งวุ่นคัดลอกกระดาษอีกเป็นร้อยแผ่นเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ต้องการลงสมัคร
“ไม่นึกเลยว่าวิธีที่เพื่อนแกเสนอมันจะได้ผลถึงขนาดนี้”
“มันไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญได้รู้จักกัน”
เพื่อนของคนเสนอวิธีนี้กลืนน้ำลายลงคอหลังจากพูดจบ
ในตอนนั้นเขาและหัวหน้าสาขาย่อยกำลังปรึกษากันว่าจะเขียนป้ายอย่างไรให้คนสนใจและมาร่วมคัดเลือก คิดไปได้สักพักคนแปลกหน้าที่บอกว่าตัวเองเป็นอดีตอาจารย์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็เข้ามาแล้วเสนอวิธีการนี้
‘ลองเอาเจ้าหญิงกับเจ้าชายมาเอี่ยวด้วยสิ ประชาชนต้องรีบมาลงชื่อกันแน่’
ตอนแรกที่ได้ยินหัวหน้าสมาคมก็แทบจะเป็นลม และเมื่อเพื่อนผู้เป็นอดีตหัวหน้าองครักษ์พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้นเขาก็หมดสติไปในทันที พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าป้ายประกาศถูกเขียนเรียบร้อย เหลือเพียงแค่รอให้เขาเซ็นชื่อของตัวเองลงไปเพื่อเป็นการยืนยันเท่านั้น
“ทำแบบนี้ปรึกษาเจ้าหญิงเจ้าชายเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“ปรึกษายันท่านเรฟลิสเลยล่ะ”
เมื่อชื่อของราชาองค์ก่อนถูกเอ่ยออกมา หัวหน้าสาขาย่อยก็กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะลงมือเขียนชื่อของตัวเองลงไปด้วยใจอันสั่นเทา
เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรคัลเลอร์แห่งนี้ต่างก็มีจิตใจโอบอ้อมอารี เป็นมิตรกับคนทุกเพศทุกวัยจนประชาชนทั้งหลายต่างเคารพและเทิดทูน ยอมที่จะสละชีวิตของตัวเองถ้าหากพวกเขาต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นความเป็นผู้สูงศักดิ์ก็ยังทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะอาจเอื้อมหรือตีสนิทจนเกินควร
และการที่เจ้าหญิงกับเจ้าชายผู้เป็นที่รักยิ่งจะมาเป็นผู้มอบรางวัลด้วยตัวเองเช่นนี้จึงทำให้ประชาชนทั้งอาณาจักรต่างกระตือรือร้น บุคคลทั้งสองที่หายหน้าหายตาจากอาณาจักรไปนานเพราะต้องไปศึกษาต่างถิ่นกำลังจะกลับมา และมาพร้อมกับรางวัลที่ไม่รู้ว่าจะมหาศาลหรือน้อยนิด
พวกเขาต่างคิดว่า รางวัลจะเป็นอะไรก็ช่าง ขอแค่ให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับหนึ่งในเชื้อพระวงศ์เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“ไปทำยังไง ทำไมเจ้าหญิงกับเจ้าชายถึงได้ยอมให้ความร่วมมือแบบนี้” หัวหน้าสาขาย่อยถาม
“เค้กกับอมยิ้มฟรีตลอดชีพ”
คำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความทำเอาชายสูงวัยร้องอ๋อ เขาพยักหน้ารับรู้แล้วเซ็นชื่อของตัวเองลงในเอกสารแผ่นถัดไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่ลดน้อยลง และความคิดที่จะเขียนพินัยกรรมหลังงานเสร็จก็เริ่มหายไปด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หัวหมุนเพราะต้องคัดเลือกรายชื่อผู้สมัครเฉียดพันคนไปหลายวัน ในที่สุดวันคัดเลือกผู้กล้าไปร่วมคัดเลือกต่อที่สมาคมใหญ่ก็มาถึง ชายหนุ่มรูปงามหน้าหล่อเหลาและมีคุณสมบัติเพียบพร้อมต่างยืนเรียงแถวและโปรยเสน่ห์เพื่อคะแนนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าชมการคัดเลือก
และผู้ให้คะแนนหลักเองก็กำลังกวาดสายตามองประชาชนและผู้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างปลาบปลื้ม เขาอยากจะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ แต่ก็ติดจะเกรงใจเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่นั่งเรียงแถวอยู่
“ดูท่าหัวหน้าสาขาจะดีใจนะ ถ้าอยากตะโกนล่ะก็เชิญตามสบาย เราไม่คิดอะไรมากหรอก”
บุรุษที่อายุอยู่ในช่วงกลางคน แต่หน้าตากลับหยุดอยู่ในวัยก่อนหน้านั้นสิบปียิ้มบาง คำพูดที่เชื้อเชิญให้คู่สนทนาทำตามสบายใจได้นั้นทำให้ผู้ฟังยิ่งรู้สึกเกรงใจและสงบท่าทีลงอย่างมีมารยาทและละอายใจอยู่ลึกๆ
“พระองค์ไปพูดแบบนั้นเขาคงจะกล้าตะโกนอยู่หรอก” สตรีที่อายุหน้าตาน้อยกว่าอายุที่แท้จริงพูดเสียงเนือย ตาคู่สวยสีดำสนิทมองตรงไปยังลานแข่งแล้วพูดลอยๆ
“ไม่คิดเลยนะว่าเมมโมเรียกับมาคารอสจะมีความนิยมสูงถึงขนาดลากเอาคนมาได้เยอะปานนี้”
คนถูกชมไม่มีปฏิกิริยาอะไร ตาสีแดงราวทับทิมมองลงไปเบื้องล่าง จับจ้องไปยังกลุ่มผู้กล้ารูปงามที่ยืนเรียงแถวและโปรยยิ้มมีเสน่ห์ เด็กสาวจ้องเขม็งไปยังหนึ่งในนั้นค้างจนผู้ให้กำเนิดที่สังเกตถึงท่าทีนั้นต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง
“อะไรน่ะเมมโมเรีย มองผู้กล้าซะน่ากลัวเชียว หรือลูกจะตกหลุมรัก—” ราชินีแห่งอาณาจักรคัลเลอร์หยุดพูดกะทันหัน พระนางรีบกระตุกเสื้อของราชาที่อยู่ข้างกันแล้วชี้ให้เห็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ว่าจะขยี้ตายังไงก็ไม่อาจเปลี่ยนภาพตรงหน้าไปได้
“เอ่อ…” ราชาซิลเวอร์กะพริบตาสีเดียวกันกับบุตรทั้งสองปริบ “หนึ่งในผู้กล้าหน้าตาคุ้นดีนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“อืม คุ้นจริงๆ นั่นแหละนะ” กระทั่งอดีตพระราชานามเรฟลิสก็ยังพยักหน้าขึ้นลง “คุ้นๆ เหมือนเมื่อเช้าเพิ่งกินข้าวด้วยกัน”
เหล่าเชื้อพระวงศ์นิ่งเงียบ องครักษ์คนสนิทเองก็มีอาการไม่ต่างไปจากกัน และผู้ที่ตกใจหนักจนอ้าปากค้างก็ทำตัวไม่ถูก เขาพยายามจะไม่เสียมารยาทในขณะที่เอ่ยประโยคคำถามนี้ออกมา
“ท…ทำไมถึง…..”
“นั่นน่ะสิ”
เพราะตกใจเกินจนทำเสียงหายระหว่างพูด เชื้อพระวงศ์ที่รับรู้ว่าหัวหน้าสาขาจะพูดอะไรจึงตอบพร้อมกันด้วยใบหน้าที่ไม่มีความรู้สึกเป็นห่วงคนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเลยแม้แต่น้อย กลับกันราชา ราชินี เจ้าหญิงเมมโมเรียและท่านเรฟลิสยังยิ้มแย้ม ก่อนที่ผู้สูงวัยที่สุดจะเอ่ยประโยคที่ทำให้องครักษ์ต้องกุมขมับออกมา
“สงสัยไปซื้อขนมแล้วโดนเข้าใจผิดล่ะมั้ง” อดีตราชาหัวเราะ “แต่เขาก็เหมาะเป็นผู้กล้าดีนะ ตรงตามคุณสมบัติทุกข้อเลยด้วยสิ”
รอยยิ้มสดใสและการพยักหน้าพร้อมกันของครอบครัวทำให้แกะดำในหมู่ผู้กล้าต้องอ้าปากค้าง ความต้องการที่อยากจะโบกมือขอความช่วยเหลือจากครอบครัวต้องถูกทำลายทิ้งไปพร้อมกับเสียงของผู้ดำเนินกิจกรรมคัดเลือกผู้กล้าประจำอาณาจักรคัลเลอร์
“สวัสดีครับทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่การคัดเลือกผู้กล้า ขอให้ผู้ชมทุกท่านนั่งที่ให้เรียบร้อย เพราะอีกไม่กี่วินาทีเราจะเข้าสู่กิจกรรมกันแล้วนะครับ! การแข่งที่มีเจ้าหญิงและเจ้าชายเป็นผู้มอบรางวัลให้แบบนี้ ผมล่ะอยากจะเข้าแข่งด้วยจริงๆ” สายตาของพิธีกรเหลือบมองไปยังจุดที่เหล่าผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่ แล้วมันก็ต้องเบิกกว้างเมื่อที่นั่งนั้นขาดบุคคลสำคัญไปหนึ่งพระองค์
“อ่าว เอ๊ะ เอ่อ….จ เจ้าชาย” ชายหนุ่มผู้ไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่อ้ำอึ้ง เจ้าหญิงผู้งดงามจึงได้มองและผายมือไปยังหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเวทมนตร์ขยายเสียง
“ก็อยู่คนเกือบสุดท้ายนั่นไงคะ ที่ในมือถืออมยิ้มรสส้มอยู่นั่นน่ะ”
ทุกสายตามองไปยังผู้กล้าก่อนหน้าคนสุดท้ายทันที
สิ่งที่พวกเขาได้พบก็คือเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาจนถึงขั้นรูปงามคนหนึ่ง ใบหน้าเรียบเนียนไร้ริ้วรอยมีเหงื่อไหลซึมออกมาให้ได้เห็น เส้นผมสีดำสนิทเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับสีตาที่แปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงทับทิมก็ทำให้ผู้พบเห็นเริ่มอ้าปากค้าง
“จ เจ้าชาย!!”
และเมื่อทุกคนตาสว่างพวกเขาก็ต้องร้องออกมา ถอยออกห่างจากเจ้าตัวและคุกเข่าทำความเคารพกันอย่างรักตัวกลัวตาย
“ถ …ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ถึงแม้จะอยากใกล้ชิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากใกล้ชิดและเผลอทำเรื่องเสียมารยาทใส่โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแบบนี้ เรื่องราวก่อนขึ้นเวทีนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย วีรกรรมที่หนึ่งในสมาชิกของสมาคมผู้กล้าและหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ทำกับเจ้าชายเองก็ช่างน่าจดจำจนน่ากลัวว่าครอบครัวจะได้ย้ายที่อยู่กันทั้งตระกูล
เด็กหนุ่มผู้เป็นถึงเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักรจัดแต่งทรงผมที่ปรกหน้าให้เข้าที่ก่อนจะยกสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นมา ใบหน้างดงามมีเสน่ห์และดึงให้ชายหญิงทุกเพศทุกวัยหลงได้ง่ายๆ ฉีกยิ้มพร้อมเอ่ยคำพูดทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“สวัสดีครับทุกคน อมยิ้มรสส้มจำนวนจำกัดหน่อยไหมครับ”
ผู้แต่ง : Macaros.
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | บทนำของบันทึก คุณสมบัติของผู้กล้า | 03 ก.พ. 59 |
2 | บันทึกหน้าที่หนึ่ง เจ้าชายในหมู่ผู้กล้า | 08 มี.ค. 59 |
3 | บันทึกหน้าที่สอง เจ้าชายผู้กล้า มาคารอส | 16 มี.ค. 59 |
4 | บันทึกหน้าที่สาม เพื่อนร่วมทางของผู้กล้า | 21 มี.ค. 59 |
5 | บันทึกหน้าที่สี่ ซาตาน บาปแห่งโทสะผู้? ยากจะอธิบาย | 30 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
อ่านฉากคุณเป็ดแล้วแอบเจ็บ ;w;
บรรยากาศเรื่องอ่านแล้วสบายๆ ดีจ้า หวังว่าจะได้เจอกันในตอนที่หกเน้อ
ลวิตร์