EN04 Timestopable - คนหยุดเวลา

เมื่อ 'โรเบิร์ต ไทมส์' ต้องการย้อนเวลากลับไปเพื่อช่วยภรรยาสุดที่รัก แต่การทดลองผิดพลาดและทำให้กระแสเวลาพุ่งเข้าสู่ตัวลูกชายของเขา 'รีส ไทมส์' ฮีโร่ผู้สามารถหยุดเวลาได้จึงถือกำเนิดขึ้น!!

ผู้แต่ง

Rayndeer

0%

ตอนที่ 1/5 : Chapter 1: วันที่เวลาหยุดเดิน

Chapter 1: วันที่เวลาหยุดเดิน

 

               

“ทุกคนบนโลกไม่ได้มีเวลาเท่ากัน

แต่ใช้เวลาไปพร้อมกัน”

 

-โรเบิร์ต ไทมส์-

 

               

                ในห้องทำงานเล็กๆ ที่มีโต๊ะทำงาน เก้าอี้ กล่องเอกสาร และสิ่งประดิษฐ์ประหลาดตา เครื่องบินกระดาษสามลำบินอยู่เหนือพัดลมเพดานโดยไร้เครื่องยนต์ เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นเพื่อไล่จับพวกมัน จนเกือบวิ่งชนโหลปลาทองที่มุมห้อง กับกระถางต้นกุหลาบเต้นได้ที่กำลังส่งเสียงเพลงคลาสสิกอย่างแผ่วเบา หลอดไฟจำนวนมากให้แสงสว่างแก่ห้อง พวกมันแกว่งไกวอยู่ใต้เพดานโดยไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ผนังห้องสีครีมประดับประดาไปด้วยเกียรติบัตรในกรอบหรูหราจำนวนมาก ทั้งใหญ่และเล็ก มันบ่งบอกถึงรางวัลมากมายที่เจ้าของห้องชิงมาได้อย่างภาคภูมิใจ

                บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอนตัวด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมแก้วไวน์ในมือซ้าย เขาเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนโยนมีหนวดเคราสีดำประปราย รูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อกาวน์ตัวยาวแบบนักวิทยาศาสตร์ ที่อกมีป้ายชื่อเล็กๆ ติดอยู่เขียนว่า ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต ไทมส์ ในมือขวาของเขามีนาฬิกาพกสีเงินดูเก่าแก่ ทว่าเข็มเวลายังคงเดินอย่างสม่ำเสมอ ดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องไปที่มัน โรเบิร์ตรู้ว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว เวลาที่โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป เวลาที่เขาจะได้ทำสิ่งที่ฝันไว้มานานแสนนาน

                โรเบิร์ตเปิดลิ้นชัก ในนั้นมีรูปภาพไร้กรอบอยู่ใบหนึ่ง เขาจ้องมองมันด้วยแววตาเปี่ยมสุข เป็นรูปถ่ายที่มีเขากับเด็กชายที่กำลังวิ่งเล่นอยู่กลางห้องในตอนนี้ และหญิงสาวท่าทางใจดี โรเบิร์ตยิ้มให้เธอคนนั้น ก่อนจะปิดลิ้นชัก ดื่มไวน์จนหมดแก้วแล้วลุกขึ้นยืน      

                “รีส..ลูกพ่อ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกเด็กชายที่กำลังวิ่งไล่เครื่องบินกระดาษ “ได้เวลาแล้วลูกรัก”

                “ต้องไปแล้วเหรอฮะ?” เด็กน้อยหยุดวิ่ง เขาไม่ได้เสียใจที่ต้องเลิกเล่น แต่กลับยิ้มกว้าง “ผมจะได้เจอแม่แล้วใช่ไหมฮะ!

                “ใช่แล้ว!” โรเบิร์ตยิ้มตอบ เขาเดินไปหารีสแล้วย่อตัวลงเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เด็กชาย ก่อนจะลูบเส้นผมสีดำที่ยุ่งเหยิงจากการวิ่งเล่นให้เป็นทรง “เอาล่ะ เท่านี้ก็เรียบร้อย ลูกต้องดูดีที่สุดเวลาเจอแม่ รู้ใช่ไหม?

                “ฮะ ไม่งั้นแม่คงโกรธแย่เลย”

                ทั้งสองหัวเราะเบาๆ โรเบิร์ตจูงมือรีสไปที่ประตูห้อง มีเสียงดังก้องของผู้คนมากมายจากด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาเบาๆ  ฝ่ามือเล็กๆ ของรีสสั่นด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว เหงื่อซึมออกที่มือจนโรเบิร์ตสัมผัสได้ ผู้เป็นพ่อจึงค่อยๆ เอื้อมมืออีกข้างไปลูบศีรษะของลูกชายอย่างแผ่วเบา

                “เป็นอะไรไปรีส” โรเบิร์ตถาม

                “ผมกลัวฮะ...เมื่อคืนผมฝันร้าย” รีสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผมฝันว่าพ่อเดินออกจากประตูแบบนี้ไป...แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย”

                “งั้นเหรอ...แล้วพ่อออกไปคนเดียวหรือว่าไปกับลูกล่ะ?

                “คนเดียว...พ่อทิ้งผมไว้”

                “อ้อ...งั้นคราวนี้ถ้าเราเดินออกไปพร้อมกัน ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วจริงไหม?

                โรเบิร์ตพยายามฉีกยิ้มเพื่อให้กำลังใจลูกชายอย่างเต็มที่ สุดท้ายรีสก็พยักหน้าช้าๆ อย่างไม่แน่ใจนัก แต่ก็เอื้อมมือไปจับลูกบิดด้วยตัวเองอย่างกล้าหาญ ตามด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ของโรเบิร์ต ทั้งสองจ้องตากัน ก่อนจะเปิดประตูออกไปพร้อมๆ กัน

                แล้วแสงสว่างจ้าก็ส่องเข้ามา เผยให้เห็นอาคารทรงกลมขนาดใหญ่สีขาวโพลนสะอาดตา เต็มไปด้วยชั้นลอยมากมายนับไม่ถ้วนที่เชื่อมต่อกันด้วยลิฟท์ทรงกลมตรงกลางและบันไดวนอัตโนมัติทางซ้ายและขวา เสียงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปของนักข่าวนับร้อยดังถี่รัว พวกเขายืนอยู่ที่ชั้นลอยอีกฝั่งหนึ่งของห้องทำงาน และถูกกั้นไว้ด้วยหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยนับสิบ เมื่อมองลงไปข้างล่างซึ่งเป็นชั้นแรก ก็จะพบกับประชาชนชาวเมืองวอทช์ซิตี้นับพันคนที่กำลังส่งเสียงร้องตะโกน บ้างเรียกชื่อโรเบิร์ต บ้างก่นด่าสาบแช่ง บางคนถึงกับมีป้ายสีสเปรย์สีแดงที่เขียนว่า นักวิทยาศาสตร์เฮงซวย’, พวกแกไม่ใช่พระเจ้านะ’, อย่ายุ่งกับช่วงเวลาของพวกเรา และอื่นๆ อีกมากมาย

                “สวัสดีทุกคน” โรเบิร์ตเอ่ยเบาๆ แต่ดังก้องไปทั่วทั้งตึก ทุกเสียงเงียบลงทันที “ผมเข้าใจดีว่าทำไมทุกคนถึงมากันในวันนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะมาชื่นชมหรือแสดงความยินดีเหมือนทุกครั้งที่ผมประดิษฐ์อะไรได้ ผมรู้ตัว ว่าสิ่งที่ผมทำอาจส่งผลร้ายแรง ผมรู้ดีว่ามันอาจจะทำลายความเชื่อของใครหลายๆ คน และมันอาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง...”

                “ถ้ารู้แบบนั้นแล้ว ก็ยกเลิกไปซะสิโว้ย!

                ชายตัวใหญ่ตะโกนมาจากชั้นหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงตะโกนอีกนับร้อยจนดังก้อง โรเบิร์ตพยายามตะโกนแข่งเพื่ออธิบาย แม้เขาจะมีอุปกรณ์ขยายเสียงแต่ก็ยังไม่สามารถสู้กับเสียงจำนวนมากของประชาชนได้ โรเบิร์ตจึงตัดสินใจดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วเสียงนกหวีดอันเสียดหูก็ดังลั่น ทุกคนยกมือขึ้นป้องด้วยความทรมาน มันเป็นอีกอุปกรณ์ที่โรเบิร์ตประดิษฐ์ขึ้นมาเอง เขาดีดนิ้วอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบเสียงแล้ว

                “ผมขอโทษ แต่ผมมาไกลเกินกว่าที่จะยกเลิกได้” โรเบิร์ตพูดต่อ “สิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ พวกคุณไม่อยากรู้เหรอว่าจริงๆ แล้วเวลาคืออะไร? ว่าคนเราสามารถย้อนหรือหยุดเวลาได้หรือไม่ การเปลี่ยนแปลงอดีตจะเป็นไปได้หรือเปล่า การแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดของมวลมนุษยชาติที่ผ่านมาจะเป็นไปได้รึไม่ พวกคุณไม่อยากรู้อย่างนั้นหรือ”

                “แต่ความอยากรู้กับความเสี่ยงมันไม่ใช่สิ่งเดียวกันนะคะศาสตราจารย์” เสียงโทรโข่งดังมาจากนักข่าวสาวคนหนึ่ง “ใช่ พวกเราอาจจะได้รับความรู้และโอกาสทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ จากงานวิจัยของคุณ ทว่า ถ้ามันส่งผลร้ายแรงขึ้นมาล่ะ ถ้าการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จะทำให้โลกทั้งใบที่เรารู้จักไม่เหมือนเดิม...”

                “เรื่องนั้นผมทราบดี” โรเบิร์ตตอบอย่างสุภาพ “ผมจึงตั้งเป้าการทดลองครั้งนี้ไว้แค่การทดสอบเรื่องเวลาเท่านั้น เมื่อเราสามารถรู้ได้ว่าเวลาคืออะไรและมนุษย์สามารถย้อนเวลาได้หรือไม่ พวกเราจะหยุดการทดลองและทำลายงานวิจัยทั้งหมดทิ้งเพื่อไม่ให้ใครสามารถนำไปต่อยอดได้ แน่นอนว่าระหว่างที่ทำการทดลอง พวกเราก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับช่วงเวลาใดๆ เลย เราจะแค่เฝ้ามอง สังเกตการณ์ และจดบันทึกเท่านั้น”

                นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งแย่งโทรโข่งมาจากหญิงสาวเมื่อครู่ “แต่พวกผมสืบทราบมา ว่าจุดประสงค์จริงๆ ของงานวิจัยเรื่องเวลาในครั้งนี้เป็นเพราะคุณต้องการจะย้อนเวลากลับไปช่วยภรรยาที่เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนใช่ไหมครับ เพราะเหตุนั้นคุณถึงได้พยายามสร้างเครื่องย้อนเวลาอย่างลับๆ มาตลอดห้าปีนี้ ถ้าหากหน่วยสืบข่าวของเราไม่ได้เจอเรื่องนี้เข้า คุณก็คงไม่มีแผนที่จะออกมาอธิบายอะไร และคงจะทำมันอย่างลับๆ ใช่ไหมครับ”

                “เรื่องนั้นผม...”

                “แน่นอนว่าไม่จริงเลยสักนิดครับ”

                เสียงชายอีกคนดังขึ้นขัดจังหวะ เขาใช้เครื่องมือแบบเดียวกับของโรเบิร์ต ชายรูปร่างผอมเพรียวในชุดกาวน์ปรากฏตัวขึ้นที่บันไดทางลงชั้นสาม เขาค่อยๆ ก้าวลงมาด้วยท่าทีสง่าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ใบหน้าของเขาดูคล้ายหญิงสาว ผมสีบลอนด์ยาวถึงกลางหลังถูกรวบเอาไว้อย่างดี นัยน์ตาสีเขียวมรกตเต็มไปด้วยความมีเสน่ห์น่าค้นหา ริมฝีปากเรียวบางฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อเดินมาถึงจุดที่โรเบิร์ตและรีสยืนอยู่ เขาเอี้ยวตัวเข้าไปกระซิบข้างหูโรเบิร์ตโดยปิดเครื่องขยายเสียงไว้

                “รีบพาลอเรนกลับบ้านกันเถอะเพื่อนรัก”

                “อืม ขอบใจนะทอร์น”

                โรเบิร์ตยิ้มอย่างดีใจ เขาหันไปมองที่ประชาชนและนักข่าวอย่างมุ่งมั่นอีกครั้ง ทอร์นเองก็เช่นกัน เขาเริ่มพูด

                “สิ่งที่เพื่อนรักของผมทำมาโดยตลอดก็เพื่อประชาชนชาววอทช์ซิตี้และชาวโลกทุกคน สิ่งประดิษฐ์นับร้อยที่ผมและโรเบิร์ตสร้างขึ้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ทุกๆ คน มาวันนี้ วันที่พวกเราแค่ต้องการที่จะไขความลับเกี่ยวกับเวลาให้กระจ่าง ทำไมทุกท่านถึงอยากจะขัดขวางเรานัก ได้โปรดไว้ใจเราเหมือนกับที่ผ่านๆ มา ได้โปรดให้เราช่วยเปิดหนทางสู่สิ่งดีๆ แก่โลกนี้อีกครั้ง”

                ทุกเสียงเงียบสงัด ไม่มีใครคัดค้านอีก ยกเว้นนักข่าวสาวคนเดิมที่แย่งโทรโข่งกลับคืนมาได้ ก่อนจะพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน “ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ให้พวกเราเห็นสิคะ ว่าพวกคุณตั้งใจที่จะทำสิ่งที่พูดไว้จริงๆ ให้เราเป็นพยานว่าพวกคุณจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตของทุกคนในเมืองนี้หรือโลกใบนี้”

                โรเบิร์ตยิ้มกว้าง “ผมก็ตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” เขาหันไปพยักหน้าให้กับทอร์น

                “ขอเชิญทุกท่านรับชม...อดีตและอนาคต”

                ทอร์นพูดพลางกดปุ่มบนรีโมตขนาดเท่าไข่ไก่ในมือ ทันใดนั้นห้องที่สว่างไสวก็มืดลงอย่างช้าๆ แล้วแสงสว่างจ้าก็ค่อยๆ ผุดขึ้นทีละดวงตรงบริเวณโดยรอบลิฟท์ ตามมาด้วยเครื่องจักรทรงกลมที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน ผ่านชั้นหนึ่งที่มีผู้คนส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ จนมาหยุดอยู่ที่ชั้นสอง ที่ซึ่งโรเบิร์ต รีส และทอร์นกำลังยืนรออยู่

                “เฮ้อ...” โรเบิร์ตเป่าปากด้วยความโล่งใจ ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี เขาหันไปพูดกับทอร์น “ทีนี้ส่วนที่ยากที่สุดก็ผ่านไปแล้ว ทอร์น เรื่องห้องควบคุมต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของนายแล้วนะ”

                ชายผมบลอนด์เอื้อมมือไปแตะบ่าเพื่อนรัก “ไว้ใจฉันได้เลย”

                ทอร์นเดินหายขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อควบคุมเครื่องจักรทรงกลมที่อยู่ในลิฟท์จากระยะไกล โรเบิร์ตจูงมือรีสให้เดินเข้าไปใกล้มันอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ทั้งสองก้าวไป เครื่องจักรทรงกลมก็ค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย ส่วนหัวลอยขึ้นสูงจากส่วนท้ายเกือบสองเมตร มันค่อยๆ ปลดปล่อยประจุไฟฟ้าสีสดใสเข้าหากัน ขยายวงกว้างขึ้นจนมีลักษณะคล้ายประตู ทุกสายตาจับจ้องมันด้วยความอัศจรรย์ ไร้เสียงพูดคุยอื้ออึง มีเพียงเสียงเครื่องจักรทำงานและเสียงประจุไฟฟ้าเท่านั้น

                “มันสวยจังฮะ...” รีสบอกพลางจ้องมองจนลืมตัว

                “และสิ่งที่สวยงามนี้ ก็คือสิ่งที่จะพาแม่ของลูกกลับบ้าน”

                โรเบิร์ตบอกด้วยเสียงสั่นเครือ เขาพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยความยากลำบาก มันเป็นเวลาที่เนิ่นนานเหลือเกิน ห้าปีกับการพยายามศึกษาและวิจัย จนในที่สุดสิ่งที่ฝันไว้ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์ หยิบแฟลชไดร์ฟสีดำสนิทออกมา

                “นั่นอะไรฮะ?

                “นี่...คือสิ่งที่จะช่วยแม่ของลูก” โรเบิร์ตยิ้มกว้าง “ในนี้มีข้อมูลทางการแพทย์ของยุคนี้ ข้อมูลที่ถ้าหากวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สามารถรู้ได้เร็วกว่านี้สักห้าปี แม่ของลูกก็คงจะไม่ต้องจากไปด้วยโรคร้ายที่ในตอนนั้นไม่มีทางรักษา แต่ตอนนี้เรามีแล้ว ถ้าเรานำมันกลับไปช่วยแม่ได้...”

                “โรเบิร์ต! ถอยห่างจากเครื่องนั่นเดี๋ยวนี้!

                ทอร์นยื่นหน้าตะโกนลงมาจากระเบียงของชั้นสาม สีหน้าของเขาตื่นตระหนกถึงขีดสุด แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป เสียงประจุไฟฟ้าดังถี่รัวมากผิดปกติ บริเวณที่มีลักษณะคล้ายกับประตูบีบอัดเข้าหากันจนเกิดเป็นทรงกลมขนาดยักษ์ เพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงระเบิดก็ดัง ตูม! ก้อนประจุพลังงานสีฟ้าระเบิดออก ส่งคลื่นรัศมีกว้างออกไปอย่างช้าๆ ทุกคนในที่นั้นพยายามวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เสียงกรีดร้องตกใจดังระงม โรเบิร์ตและรีสออกวิ่งทันทีด้วยสัญชาตญาณ ทว่าพวกเขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่ว่าจะใช้แรงก้าวเท้ามากแค่ไหน ทั้งสองก็รู้สึกเหมือนหยุดอยู่กับที่ ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด

                “ไม่...ทัน...แล้ว...”

                โรเบิร์ตหันกลับไปมอง เขาเห็นลำแสงสีฟ้าสว่างจ้าที่ใกล้จะถึงตัว มันสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าของเขา

                “...ระ...รีส...!

                โรเบิร์ตกรีดร้องสุดเสียง เด็กน้อยได้ยินและค่อยๆ หันกลับไปมอง เขาเห็นเพียงอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อที่เข้ามาบังตัวเขาไว้ ร่างกายอันหนักอึ้งล้มทับเด็กชายจนนอนแผ่อยู่บนพื้นเย็นๆ แต่แล้วน้ำหนักก็ค่อยๆ จางหาย รีสค่อยๆ เปิดดวงตาสีฟ้าสดขึ้นมอง ภาพที่เห็น คือท่อนล่างของพ่อที่ค่อยๆ สลายไปเป็นประจุพลังงานสีฟ้า มันลามขึ้นมาจนถึงช่วงท้อง รีสพูดอะไรไม่ออก เขาเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจอะไรได้ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

                “เข้มแข็งเอาไว้ ลูกพ่อ” คำพูดอ่อนโยนจากชายที่ใกล้ตายเอ่ยทั้งน้ำตา “และจงใช้ทุกวินาทีต่อจากนี้ ให้คุ้มค่า...”

                เสียงของโรเบิร์ตหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของเขา

                “พ่อ...”

                รีสอ้าปากพูด น้ำตาเริ่มปริ่มออกมา เขารู้สึกว่ามีอะไรตกกระทบที่หน้าท้อง เมื่อก้มลงมองก็พบกับนาฬิกาพกสีเงินของพ่อ รีสค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเปิดดู เพื่อพบว่าเข็มเวลาทั้งสามได้หยุดเดินไปแล้วพร้อมๆ กับชีวิตของโรเบิร์ต เด็กชายร้องไห้คร่ำครวญ ความรู้สึกเสียใจเอ่อล้นกาย และโดยที่ไม่รู้ตัว ประจุพลังงานสีฟ้าสดใสที่ลอยอยู่รอบๆ ก็ค่อยๆ ซึบซับเข้าไปในตัวเขา เปลี่ยนสีผมของรีสจากดำสนิทเป็นขาวโพลน เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เอ่อล้น เด็กชายปาดน้ำตา ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เขามองไปรอบๆ เพื่อพบว่าทุกสิ่งนั้นหยุดนิ่ง ทั้งผู้คนบางส่วนที่รอดจากรัศมีระเบิด นักวิทยาศาสตร์จากชั้นอื่นๆ ที่ก้มลงมองลงมา รีสเดินลงบันได เขาอยากไปให้ไกลจากเหตุการณ์ประหลาดนี้ แต่แล้วเขาก็พบว่าฝนที่กำลังตกอยู่ภายนอกอาคารก็หยุดเช่นกัน ต้นไม้หยุดสั่นไหว ผู้คนหยุดเดิน รถหยุดวิ่ง เวลาได้หยุดลงอย่างสมบูรณ์แบบ

                จนกระทั่งเขาเพิ่งรู้ตัวว่ากลั้นหายใจอยู่ เด็กชายสูดลมเข้าเต็มปอด

                แล้วทุกอย่าง...ก็กลับมาดำเนินตามปกติ

                



Timestopable - คนหยุดเวลา

ผู้แต่ง : Rayndeer


Comment จากกรรมการ

#1 Enter Books Editor Team

สวัสดีค่ะ

อืม จบอีเวนท์แรกแล้วเนอะ กะจังหวะปิดและเปิดตัวละครใหม่ได้พอดีๆ เลย ตัวละครใหม่ก็เปิดได้น่าสนใจ :D

ที่จริงยังสงสัยการย้อนเวลาของตัวเอกอยู่นิดหน่อย คือย้อนแล้ว ตัวในอดีต ณ เวลานั้นก็หายไปด้วยใช่ไหม คือจะไม่มีกรณีรีสสองคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน

สู้ๆ เน้อ
ลวิตร์

Comment จากกรรมการ

#2 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

พระเอกมีความสามารถหยุดเวลาได้ถ้ากลั้นหายใจ อย่างเท่! ส่วนตัวร้าย (รึเปล่า?) ก็มีพลังที่เกี่ยวกับเวลา เฮียชอบทริคที่จับเรื่องเวลามาทำให้เป็นพลังหลากหลายแบบนี้นะ ว่าแต่แอบสงสัย กลั้นหายใจไปพูดไปด้วยนี่ทำได้ด้วยเหยอ //ลองทำตาม

นี่เฮียเอง

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 2 of 2 1 2
  • ความคิดเห็นที่ 4

    bodin Intrararujikul
    • Name : bodin Intrararujikul [IP] 171.96.183.146
    • 4 มีนาคม 2559 / 19:37
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^ ก่อนอื่นขอบอกว่า ประโยคเปิด ทุกคนบนโลกไม่ได้มีเวลาเท่ากัน แต่ใช้เวลาไปพร้อมกัน ประโยคเนี้ยโดนใจสุดๆ ยกมือเห็นด้วยเลยคร้าบบ 555 อืม... ส่วนตัวของเรื่อง จะว่ายังไงดี อาจเป็นเพราะยังมีข้อมูลเพียงตอนแรกก็เลยยังมองภาพไม่ค่อยออกว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไรต่อไป แต่ดูจากคำโปรยแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่มีแนวคิดน่าสนใจมาก ยังไงก็จะรอติดตามตอนต่อไปนะครับว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาใจช่วยครับผม สู้ๆ ครับ ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 3

    Besty Vivo
    • Name : Besty Vivo < My.iD > [IP] 64.233.173.160
    • 3 มีนาคม 2559 / 00:01
    โยรวมของเรื่องดำเนินไปมีจังหวะจะโคนลงตัวแล้วค่ะ
    แนะนำว่า บทบรรยายถ้ายาวถึงระดับหนึ่งแล้ว ให้เคาะบรรทัดใหม่ค่ะ เพื่อควสมอ่านง่ายสบายตา และถ้าเคาะบรรทัดจัดจังหวะเรื่องให้ดีๆ จะช่วยกระตุ้นอารมณ์ผู้อ่านได้ดีขึ้นค่ะ
    ความเห็นส่วนตัวนะคะ อย่าโกรธเด้อ
    สู้ๆนะคะ
  • ความคิดเห็นที่ 2

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 49.48.174.153
    • 1 มีนาคม 2559 / 19:42
    รู้สึกกลั้นหายใจไปกับรัสด้วยเลย
    สะเทือนใจมากจริงๆนะเรื่องครอบครัว

    เชื่อแล้วค่ะว่าพล็อคหนักมากกก
  • ความคิดเห็นที่ 1

    Waaa
    • Name : Waaa [IP] 223.24.90.62
    • 1 มีนาคม 2559 / 15:13
    น่าสนใจมากเลยค่ะ ชอบมากๆ
    เชียร์เรื่องนี้นะคะ XD
Page 2 of 2 1 2

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป