ชวนสาวๆ เล่นเว็บบอร์ดอย่างสร้างสรรค์

 

     ชวนสาวๆ เล่นเว็บบอร์ดอย่างสร้างสรรค์

               กิจกรรมออนไลน์ที่สสร้างประโยชน์มากมายให้สาวๆ

 

     … สำหรับสาวๆ อย่างเราแล้ว การอัพเดทข้อมูลข่าวสารและเรื่องราวสาระดีๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ แฟชั่น การศึกษา หนัง ละคร ภาพยนตร์ ความสวยความงาม ฯ ต่างๆ นั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่เกือบจะทุกวัน หรือบางคนเกือบจะตลอดเวลา 

    

 

     และแน่นอนว่าสำหรับวัยรุ่นอย่างพวกเราแล้ว เรื่องของการท่องอินเตอร์เน็ต เล่นเว็บบอร์ด ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ทำกันเกือบจะตลอดเวลา โดยเฉพาะเว็บบอร์ดแล้ว ยิ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเว็บบอร์ดในปัจจุบันก็มีให้สาวๆ ได้เลือกเล่นมากมาย (อย่างใน www.dek-d.com ของเราก็มีเว็บบอร์ดเช่นกัน) ที่ให้สาวๆ ได้เลือกเข้าไปเข้าไปแสดงความคิดเห็น และพูดคุยกันในเรื่องใดก็ได้

     ซึ่งในการใช้เว็บบอร์ดนั้นถ้าหากรู้จักใช้อย่างถูกวิธีก็จะทำให้สาวๆ ได้ประโยชน์การการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องของงานอดิเรกที่ชื่นชอบ เรื่องสัตว์เลี้ยง หรือแม้

 

กระทั่งเรื่องความรัก …      เพราะเราจะได้ทราบถึงความคิดเห็นที่แตกต่างที่อาจก่อให้เกิดมุมมองใหม่ๆ อาจทำให้เรามองเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลายมากขึ้น และอาจทำให้ได้เพื่อนใหม่  

     แต่ในทางกลับกันการเล่นเว็บบอร์ดก็มีข้อควรระวังอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่น การเล่นเว็บบอร์ดนั้นสาวๆ ควรระวังเรื่องของข้อความที่ไม่ควรที่พาดพิง หรือหมิ่นต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

 

     ใช้ถ้อยคำที่สุภาพไม่ใช้ข้อความและรูปภาพที่ส่อไปในทางลามกอนาจาร ท้าทาย หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดการเข้าใจผิด ที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง และไม่เสนอข้อความที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงไม่เสนอข้อความที่ใส่ร้ายผู้อื่น หมิ่นประมาท หรือนำข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นมาเผยแพร่

     อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและสาวๆ ควรระวังก็คือ เวลาที่สาวๆ เล่นเว็บบอร์ดสาวๆ ไม่ควรใส่เบอร์โทรศัพท์ในการติดต่อกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ให้ใส่แค่อีเมลไปก็พอ

 

     นอกจากนี้ในการเล่นเว็บบอร์ดนั้น สาวๆ ยังต้องรู้จักมารยาทที่ดีในการใช้เว็บบอร์ดที่เป็นสื่อกลางสาธารณะด้วย เช่น ต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง เคารพ และยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นของผู้อื่น หากพบข้อความที่ส่อไปในทางชวนทะเลาะ ไม่ควรโต้ตอบ เชื่อเถอะค่ะว่าการโต้ตอบนั้นนอกจากไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้วยังสร้างความหงุดหงิดใจให้กับเราด้วย

     อย่างที่พี่เหมี่ยวบอกไปแล้วตั้งแต่ต้นนะคะว่า เว็บบอร์ดนั้นหากใช้ในทางสร้างสรรค์ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเรามากมายัทั้งในด้านของความรู้และความบันเทิง แต่หากใช้อย่างขาดวิจารณญาณแล้วก็อาจจะนำอันตราย เช่น การล่อลวงต่อร่างกายและทรัพย์สิน หรือการกล่าวให้ร้ายที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสีย มาสู่เราก็ได้ค่ะ

     ดังนั้นถ้าสาวๆ เลือกที่จะเล่นเว็บบอร์ดแล้วล่ะก็ ขอให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวของสาวๆ เองค่ะ 

 

 

     และสุดท้าย พี่เหมี่ยวก็ขอฝากไว้สำหรับสาวๆ สามารถติดตามอ่านเคล็ดลับความงามและข่าวสารกิจกรรมต่างๆ ของ CNC ได้ที่นี่เลยนะคะ http://www.facebook.com/cncgirls?v=wall&ref=ts

 

 

 

พี่เหมี่ยว
พี่เหมี่ยว - Columnist คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ผู้หญิง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

12 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
น้องบีม 30 ธ.ค. 53 10:53 น. 8
อยากให้ทุกคนลองอ่านเรื่องนี้ดูนะ ( ไล่ตงจิ้น )
ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

ตอนที่ 1

เรื่องของผม

22 ธันวาคม ปี 1999 ผมยืนอยู่บนเวทีในพิธีมอบรางวัล 10 เยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี หลังจากที่ผมรับรางวัลแล้วกล่าวคำปราศรัยยาว 40 นาทีสิ้นสุดลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้น ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นปรบมือให้ผม ในนาทีนั้นแม่กับน้องชายคนโตก็นั่งอยู่ในห้องโถงพิธีด้วยเช่นกัน ผมมองพวกเขาที่นั่งอยู่หน้าเวที นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เราได้ฟันฝ่าร่วมกันมาแล้ว ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจริง ๆ

นี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับรางวัลหรือใบประกาศเกียรติคุณหรอกครับ ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยได้รับรางวัลและใบประกาศต่าง ๆ เป็นร้อย ๆ ใบ สิ่งเหล่านี้นับเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับ “ชีวิตสวะ” ของเด็กขอทานอย่างผม ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง แด่ทุกคนทั้งที่เคยเป็นกำลังใจและเคยช่วยเหลือผม มองย้อนกลับไป ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช่างเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายไปตัดมาอย่างรวดเร็วในหัวของผม ช่วงระยะเวลา 40 ปีของผมช่างยาวนานเสมือนเวลา 80 ปีของคนอื่น เพราะแต่ละก้าวนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า แต่ละก้าวที่ย่างไปข้างหน้านั้น ราวกับก้าวเดินบนถนนก้อนกรวด เลือดไหลซิบ ๆ แต่ก็ยังต้องฝืนยกเท้าก้าวต่อไป

ยังดีที่ผมไม่ล้มลง ยังดีที่ผมยืนหยัดมาได้จนถึงวันนี้ ยังดีที่ผมไม่เคยละทิ้งชีวิตนี้ไป

กระผม นายไล่ตงจิ้น เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1959 พ่อเป็นขอทาน แม่เป็นคนปัญญาอ่อน

“บ้าน ฉันช่างน่ารักจริงเอง สะอาด สดใส มีพลานามัย และเปี่ยมสุข” เมื่อได้ยินเด็ก ๆ ร้องเพลงนี้ทีไร ใจผมกลับรู้สึกว่า “บ้านผมช่างแปลกเหลือเกิน” ก็ตอนที่พ่อตาแม่ยายผมห้ามลูกสาวเขาไม่ให้แต่งงานกับผม บ้านนั่นน่ะเป็นบ้านที่โคตรซวย บรมซวยที่สุดในโลกเชียวนะ” แล้วผมจะมีหน้าไปเถียงอะไรเขาได้เล่า ในเมื่อบ้านผมก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อผมไม่ได้เป็นเพียงขอทานธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นขอทานตาบอดอีกด้วย แถมแม่ผมยังเป็นคนปัญญาอ่อนที่มีภาวะอารมณ์ผิดปกติ หมอบันทึกลงในใบวินิจฉัยโรคว่าแม่ไอคิวต่ำเพียงระดับ 58 เท่านั้น

นี่ คือเรื่องราวการเติบโตของผม เป็นบันทึกชีวิตคลุกเลือดเคล้าน้ำตาที่พวกเราทั้งครอบครัวได้ช่วยประคับ ประคองกันมา ผมเลือกที่จะนำเรื่องราวเหล่านี้มาบันทึกเป็นหนังสือในวันนี้ เพื่อระลึกถึงคืนวันในช่วงนั้น

พ่อผมเกิดที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แสนจะยากจนในอำเภออูรื่อ จังหวัดไถจง ปู่ย่ามีอาชีพรับจ้างทำนา เมื่อพ่ออายุได้สี่ขวบ ปู่ก็ป่วยตาย ย่าเลี้ยงดูลูกทั้งสาม (ได้แก่ พ่อผม ลุงและป้า) แต่เพียงลำพัง ในสมัยนั้นแค่การเป็นหญิงม่ายก็ลำบากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีลูกติดอีกถึงสามคน จึงทำให้ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อย ๆ ซ้ำยังต้องโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดด้วยเหตุนี้ อีกสามปีต่อไป ย่าจึงยอมแต่งงานใหม่ไปอยู่หมู่บ้านซิ่วซาน อำเภอต้าหย่า โดยที่ลูกทั้งสามไม่ได้ติดตามไปด้วย ทุกคนยังอยู่ที่อู่เรือ ทำงานรับจ้างทั่วไป เลี้ยงวัว เลี้ยงควายบ้าง พอประทังชีวิตไปวัน ๆ

เมื่อ พ่ออายุได้ 17 ปี ย่าก็เสีย ดังนั้นนอกจากพี่ชายกับพี่สาวแล้ว พ่อจึงไม่มีญาติที่ไหนอีก แต่กระนั้นสวรรค์ก็ยังไม่ปรานี สองปีต่อมา จู่ ๆ ตาของพ่อก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ในตอนนั้นทั้งลุงและป้าต่างก็แต่งงานแยกครอบครัวออกไปแล้ว ครอบครัวของแต่ละคนก็ลำบากมาก ไม่สามารถดูแลน้องชายคนนี้ได้ ประกอบกับแพทย์ในสมัยนั้นก็ยังไม่พัฒนา ตาของพ่อจึงค่อย ๆ บอดลงในที่สุด ที่น่าแปลกก็คือ อีกสิบกว่าปีต่อมา ลุงกับป้าก็ตาบอดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะตั้งฮวงซุ้ยบรรพบุรุษไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะความผิดปกติทางพันธุกรรมกันแน่ คงไม่มีใครตอบได้ สรุปก็คือเมื่อพ่ออายุได้ 22 ปี ตาก็บอดสนิททั้งสองข้าง

จาก นั้นท่านจึงเริ่มใช้ชีวิตวณิพก หากินด้วยการเป็นหมอดูบ้าง หมอนวดบ้าง แต่เนื่องจากกิจการไม่ค่อยดีนัก โดยส่วนใหญ่แล้วพ่อจึงมักจะไปดีดพิณขอทานตามตลาดสดบ้างตลาดโต้รุ่งบ้าง ชีวิตพ่อมีเพียงแค่ไม้เท้าหนึ่งอัน ชามบิ่น ๆ หนึ่งใบกับพิณอีกหนึ่งตัว ระหกระเหินไปทั่ว ค่ำไหนนอนนั่น ในใจพ่อคิดอะไรอยู่นั้น ผมไม่เคยเข้าใจ บางทีชีวิตเร่ร่อนขอทานของชายตาบอด อาจจะมีสิ่งน่าพอใจอยู่บ้างก็ได้

พ่อ ซัดเซพเนจรไปเรื่อยจนอายุ 32 ปี วันหนึ่งพ่อเดินลัดเลาะไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำหมู่บ้านจ้างฮว่าเอ้อหลิน กะว่าจะนั่งพักขาใต้ร่มไม้ให้พอหายเหนื่อยเสียก่อน พอนั่งลงก็ได้ยินเสียงคล้ายกับคนร้องครวญครางดังขึ้นใกล้ ๆ ตัว แม้พ่อจะมองไม่เห็น แต่ฟังจากเสียงก็รู้ว่าเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง เสียงโอดโอยนั้นบอกถึงความทรมานสุดทน พ่อสงสัยว่าเธออาจจะป่วย จึงยื่นมือออกไปแตะดู ตั้งใจจะถามเธอว่าเป็นอะไร แต่เด็กหญิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจถึงจะถามแล้วไม่ได้คำตอบ แต่ในสถานการณ์นั้น พ่อก็ไม่ใจดำพอจะทิ้งเด็กหญิงไว้ตามลำพังได้ จึงนั่งลงที่พื้นใกล้ ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ

ไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าไร พอดีมีชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นเด็กหญิงนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น แกถอนใจยาว เล่าให้พ่อฟังว่า “จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารนะเด็กคนนี้น่ะ บ้านแกอยู่ที่หมู่บ้านหยวนหลิน แต่ฐานะยากจน พอเกิดมาก็ถูกยกให้เป็นลูกบุญธรรมตระกูลเฉิงที่เอ้อหลิน หยวนโต้ง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ พอตระกูลเฉิงรู้ว่าเด็กคนนี้ปัญญาอ่อนแต่กำเนิด แล้วยังเป็นโรคลมบ้าหมูอีก อย่าว่าแต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเลย แค่เลี้ยงดูพ่อแม่บุญธรรมแกยังไม่ใส่ใจดูแล ได้แต่ปล่อยแกตามยถากรรม จะอยู่จะกินอย่างไรก็ช่าง พอเด็กมันหิวก็จับมดจับแมลง ผลไม้ ผักหญ้าใส่ปากไปตามแต่จะเก็บได้ เหนื่อยก็ล้มลงนอนกับพื้นสะเปะสะปะไปทั่ว พอป่วยก็ได้แต่มานอนโอดโอยอย่างที่เห็นนี่แหละ” พอพูดจบ ชาวบ้านคนนั้นก็ถอนใจยาวอีกเฮือกหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเดินจากไป

พ่อ คิดว่า คนเราเกิดมาใต้ฟ้าผืนเดียวกัน พ่อเองก็ไม่มีพ่อแม่ ส่วนเด็กคนนี้ก็ถูกทอดทิ้ง ทำไมในโลกนี้จึงมีคนน่าสงสารมากมายนักนะ แม้ตัวพ่อเองจะตาบอด แต่อวัยวะส่วนอื่นก็สมบูรณ์ดี ยังพาตัวไปขอทานได้ แม้จะต้องทนอดอยู่บ่อย ๆ แต่ลมหายใจก็ยังไม่สิ้น หากว่าพ่อใจดำจากไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าเด็กที่น่าสงสารคนนี้จะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า พอคิดได้อย่างนี้แล้ว พ่อก็ตัดสินใจว่าจะพาเด็กหญิงนี้กลับไปรักษาที่อูรื่อบ้านเกิดตัวเอง

ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่กินกันเป็นสามีภรรยากันมา

ใน สมัยนั้นยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า “พิธีแต่งงาน” เพียงคนสองคนอยู่ด้วยกันก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันได้แล้ว และเด็กผู้หญิงปัญญาอ่อนที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ก็คือแม่ผมเอง ตอนหลัง เวลาพ่อเล่าถึงเรื่องนี้ทีไร จึงมักจะพูดว่าพ่อไป “เก็บ” แม่มา ที่จริงจะว่าอย่างนี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะตอนนั้นพ่ออายุ 32 ปีแล้ว ส่วนแม่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ทั้งคู่อายุห่างกันถึง 19 ปี ก็เหมือนเก็บเด็กมาเลี้ยงจริง ๆ นั่นแหละ

คำพังเพยกล่าวว่า “หงส์คู่หงส์ มังกรคู่มังกร คางคกงี่เง่าคู่กับเต่าเฒ่าหลังตุง คนหลังค่อมคู่กับคนปัญญาอ่อน” ไม่รู้อย่างนี้ควรจะเรียกว่าสวรรค์บันดาลหรือสวรรค์กลั่นแกล้งดี
0
กำลังโหลด
น้องบีม 30 ธ.ค. 53 10:54 น. 9
อยากให้ทุกคนลองอ่านเรื่องนี้ดูนะ ( ไล่ตงจิ้น )
ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

ตอนที่ 1

เรื่องของผม

22 ธันวาคม ปี 1999 ผมยืนอยู่บนเวทีในพิธีมอบรางวัล 10 เยาวชนยอดเยี่ยมแห่งปี หลังจากที่ผมรับรางวัลแล้วกล่าวคำปราศรัยยาว 40 นาทีสิ้นสุดลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้น ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นปรบมือให้ผม ในนาทีนั้นแม่กับน้องชายคนโตก็นั่งอยู่ในห้องโถงพิธีด้วยเช่นกัน ผมมองพวกเขาที่นั่งอยู่หน้าเวที นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เราได้ฟันฝ่าร่วมกันมาแล้ว ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจริง ๆ

นี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับรางวัลหรือใบประกาศเกียรติคุณหรอกครับ ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยได้รับรางวัลและใบประกาศต่าง ๆ เป็นร้อย ๆ ใบ สิ่งเหล่านี้นับเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับ “ชีวิตสวะ” ของเด็กขอทานอย่างผม ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง แด่ทุกคนทั้งที่เคยเป็นกำลังใจและเคยช่วยเหลือผม มองย้อนกลับไป ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นช่างเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายไปตัดมาอย่างรวดเร็วในหัวของผม ช่วงระยะเวลา 40 ปีของผมช่างยาวนานเสมือนเวลา 80 ปีของคนอื่น เพราะแต่ละก้าวนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า แต่ละก้าวที่ย่างไปข้างหน้านั้น ราวกับก้าวเดินบนถนนก้อนกรวด เลือดไหลซิบ ๆ แต่ก็ยังต้องฝืนยกเท้าก้าวต่อไป

ยังดีที่ผมไม่ล้มลง ยังดีที่ผมยืนหยัดมาได้จนถึงวันนี้ ยังดีที่ผมไม่เคยละทิ้งชีวิตนี้ไป

กระผม นายไล่ตงจิ้น เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1959 พ่อเป็นขอทาน แม่เป็นคนปัญญาอ่อน

“บ้าน ฉันช่างน่ารักจริงเอง สะอาด สดใส มีพลานามัย และเปี่ยมสุข” เมื่อได้ยินเด็ก ๆ ร้องเพลงนี้ทีไร ใจผมกลับรู้สึกว่า “บ้านผมช่างแปลกเหลือเกิน” ก็ตอนที่พ่อตาแม่ยายผมห้ามลูกสาวเขาไม่ให้แต่งงานกับผม บ้านนั่นน่ะเป็นบ้านที่โคตรซวย บรมซวยที่สุดในโลกเชียวนะ” แล้วผมจะมีหน้าไปเถียงอะไรเขาได้เล่า ในเมื่อบ้านผมก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อผมไม่ได้เป็นเพียงขอทานธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นขอทานตาบอดอีกด้วย แถมแม่ผมยังเป็นคนปัญญาอ่อนที่มีภาวะอารมณ์ผิดปกติ หมอบันทึกลงในใบวินิจฉัยโรคว่าแม่ไอคิวต่ำเพียงระดับ 58 เท่านั้น

นี่ คือเรื่องราวการเติบโตของผม เป็นบันทึกชีวิตคลุกเลือดเคล้าน้ำตาที่พวกเราทั้งครอบครัวได้ช่วยประคับ ประคองกันมา ผมเลือกที่จะนำเรื่องราวเหล่านี้มาบันทึกเป็นหนังสือในวันนี้ เพื่อระลึกถึงคืนวันในช่วงนั้น

พ่อผมเกิดที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แสนจะยากจนในอำเภออูรื่อ จังหวัดไถจง ปู่ย่ามีอาชีพรับจ้างทำนา เมื่อพ่ออายุได้สี่ขวบ ปู่ก็ป่วยตาย ย่าเลี้ยงดูลูกทั้งสาม (ได้แก่ พ่อผม ลุงและป้า) แต่เพียงลำพัง ในสมัยนั้นแค่การเป็นหญิงม่ายก็ลำบากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีลูกติดอีกถึงสามคน จึงทำให้ทั้งครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อย ๆ ซ้ำยังต้องโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดด้วยเหตุนี้ อีกสามปีต่อไป ย่าจึงยอมแต่งงานใหม่ไปอยู่หมู่บ้านซิ่วซาน อำเภอต้าหย่า โดยที่ลูกทั้งสามไม่ได้ติดตามไปด้วย ทุกคนยังอยู่ที่อู่เรือ ทำงานรับจ้างทั่วไป เลี้ยงวัว เลี้ยงควายบ้าง พอประทังชีวิตไปวัน ๆ

เมื่อ พ่ออายุได้ 17 ปี ย่าก็เสีย ดังนั้นนอกจากพี่ชายกับพี่สาวแล้ว พ่อจึงไม่มีญาติที่ไหนอีก แต่กระนั้นสวรรค์ก็ยังไม่ปรานี สองปีต่อมา จู่ ๆ ตาของพ่อก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ในตอนนั้นทั้งลุงและป้าต่างก็แต่งงานแยกครอบครัวออกไปแล้ว ครอบครัวของแต่ละคนก็ลำบากมาก ไม่สามารถดูแลน้องชายคนนี้ได้ ประกอบกับแพทย์ในสมัยนั้นก็ยังไม่พัฒนา ตาของพ่อจึงค่อย ๆ บอดลงในที่สุด ที่น่าแปลกก็คือ อีกสิบกว่าปีต่อมา ลุงกับป้าก็ตาบอดทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะตั้งฮวงซุ้ยบรรพบุรุษไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะความผิดปกติทางพันธุกรรมกันแน่ คงไม่มีใครตอบได้ สรุปก็คือเมื่อพ่ออายุได้ 22 ปี ตาก็บอดสนิททั้งสองข้าง

จาก นั้นท่านจึงเริ่มใช้ชีวิตวณิพก หากินด้วยการเป็นหมอดูบ้าง หมอนวดบ้าง แต่เนื่องจากกิจการไม่ค่อยดีนัก โดยส่วนใหญ่แล้วพ่อจึงมักจะไปดีดพิณขอทานตามตลาดสดบ้างตลาดโต้รุ่งบ้าง ชีวิตพ่อมีเพียงแค่ไม้เท้าหนึ่งอัน ชามบิ่น ๆ หนึ่งใบกับพิณอีกหนึ่งตัว ระหกระเหินไปทั่ว ค่ำไหนนอนนั่น ในใจพ่อคิดอะไรอยู่นั้น ผมไม่เคยเข้าใจ บางทีชีวิตเร่ร่อนขอทานของชายตาบอด อาจจะมีสิ่งน่าพอใจอยู่บ้างก็ได้

พ่อ ซัดเซพเนจรไปเรื่อยจนอายุ 32 ปี วันหนึ่งพ่อเดินลัดเลาะไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำหมู่บ้านจ้างฮว่าเอ้อหลิน กะว่าจะนั่งพักขาใต้ร่มไม้ให้พอหายเหนื่อยเสียก่อน พอนั่งลงก็ได้ยินเสียงคล้ายกับคนร้องครวญครางดังขึ้นใกล้ ๆ ตัว แม้พ่อจะมองไม่เห็น แต่ฟังจากเสียงก็รู้ว่าเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง เสียงโอดโอยนั้นบอกถึงความทรมานสุดทน พ่อสงสัยว่าเธออาจจะป่วย จึงยื่นมือออกไปแตะดู ตั้งใจจะถามเธอว่าเป็นอะไร แต่เด็กหญิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจถึงจะถามแล้วไม่ได้คำตอบ แต่ในสถานการณ์นั้น พ่อก็ไม่ใจดำพอจะทิ้งเด็กหญิงไว้ตามลำพังได้ จึงนั่งลงที่พื้นใกล้ ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ

ไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าไร พอดีมีชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นเด็กหญิงนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น แกถอนใจยาว เล่าให้พ่อฟังว่า “จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารนะเด็กคนนี้น่ะ บ้านแกอยู่ที่หมู่บ้านหยวนหลิน แต่ฐานะยากจน พอเกิดมาก็ถูกยกให้เป็นลูกบุญธรรมตระกูลเฉิงที่เอ้อหลิน หยวนโต้ง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ พอตระกูลเฉิงรู้ว่าเด็กคนนี้ปัญญาอ่อนแต่กำเนิด แล้วยังเป็นโรคลมบ้าหมูอีก อย่าว่าแต่เรื่องค่ารักษาพยาบาลเลย แค่เลี้ยงดูพ่อแม่บุญธรรมแกยังไม่ใส่ใจดูแล ได้แต่ปล่อยแกตามยถากรรม จะอยู่จะกินอย่างไรก็ช่าง พอเด็กมันหิวก็จับมดจับแมลง ผลไม้ ผักหญ้าใส่ปากไปตามแต่จะเก็บได้ เหนื่อยก็ล้มลงนอนกับพื้นสะเปะสะปะไปทั่ว พอป่วยก็ได้แต่มานอนโอดโอยอย่างที่เห็นนี่แหละ” พอพูดจบ ชาวบ้านคนนั้นก็ถอนใจยาวอีกเฮือกหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเดินจากไป

พ่อ คิดว่า คนเราเกิดมาใต้ฟ้าผืนเดียวกัน พ่อเองก็ไม่มีพ่อแม่ ส่วนเด็กคนนี้ก็ถูกทอดทิ้ง ทำไมในโลกนี้จึงมีคนน่าสงสารมากมายนักนะ แม้ตัวพ่อเองจะตาบอด แต่อวัยวะส่วนอื่นก็สมบูรณ์ดี ยังพาตัวไปขอทานได้ แม้จะต้องทนอดอยู่บ่อย ๆ แต่ลมหายใจก็ยังไม่สิ้น หากว่าพ่อใจดำจากไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าเด็กที่น่าสงสารคนนี้จะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า พอคิดได้อย่างนี้แล้ว พ่อก็ตัดสินใจว่าจะพาเด็กหญิงนี้กลับไปรักษาที่อูรื่อบ้านเกิดตัวเอง

ดังนั้นทั้งสองจึงอยู่กินกันเป็นสามีภรรยากันมา

ใน สมัยนั้นยังไม่มีอะไรที่เรียกว่า “พิธีแต่งงาน” เพียงคนสองคนอยู่ด้วยกันก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันได้แล้ว และเด็กผู้หญิงปัญญาอ่อนที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ก็คือแม่ผมเอง ตอนหลัง เวลาพ่อเล่าถึงเรื่องนี้ทีไร จึงมักจะพูดว่าพ่อไป “เก็บ” แม่มา ที่จริงจะว่าอย่างนี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะตอนนั้นพ่ออายุ 32 ปีแล้ว ส่วนแม่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ทั้งคู่อายุห่างกันถึง 19 ปี ก็เหมือนเก็บเด็กมาเลี้ยงจริง ๆ นั่นแหละ

คำพังเพยกล่าวว่า “หงส์คู่หงส์ มังกรคู่มังกร คางคกงี่เง่าคู่กับเต่าเฒ่าหลังตุง คนหลังค่อมคู่กับคนปัญญาอ่อน” ไม่รู้อย่างนี้ควรจะเรียกว่าสวรรค์บันดาลหรือสวรรค์กลั่นแกล้งดี
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด