เชื่อไหมคะ? ว่ารักของฉันไม่ต้องใช้เสียง
-3-
พี่เลิกกินเนื้อคนมานานแล้ว
‘ไม่จริง’
‘ไม่จริง..ใช่ไหม..?’
ตึกตึกตึก!’
คำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้วนเวียนอยู่ภายในหัว เรื่องเล่าไร้สาระที่ฉันเคยเชื่อว่ามันไม่จริง ทั้งๆที่ควรจะถามอีกฝ่ายว่า ‘ทำอะไรอยู่?’ แต่ตอนนี้ฉันกลับวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต
ฉันหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า เลือดในกายพลันสูบฉีด เม็ดเหงื่อไหลผ่านใบหน้า หัวใจในอกด้านซ้ายเต้นระรัวโดยไม่สามารถควบคุม ถึงกระนั้นสองเท้าของฉันกลับไม่ยอมหยุดวิ่ง ไม่กล้าแม้จะหันกลับไปมอง ไม่กล้าที่จะสบตาคู่นั้น ความหวาดกลัวทำเอาร่างสั่นไปหมด กลิ่นคาวเลือดชวนอาเจียนยังติดที่ปลายจมูก
เคยคิดเสมอว่าจะไม่เชื่อคำพูดหรือข่าวลืออะไรจนกว่าจะได้เห็นด้วยตัวเอง..ทว่าข่าวลือไร้สาระนั้นมันช่างตรงกับภาพที่ฉันมองเห็นจนน่าขนลุก
ภาพที่มองเห็นไม่เคยโกหก เว้นแต่เราเห็นมันทั้งหมดแล้วหรือไม่ต่างหาก
คำพูดปลอบใจที่ผุดขึ้นมาเพื่อพยายามบิดเบือนภาพที่ฉันเห็น แม้ไม่อยากเชื่อขนาดไหนก็ตาม แต่กลับลบภาพของพี่ออกัส ที่มีคราบเลือดเปรอะริมฝีปากออกไปไม่ได้เลย
……………………………..
ฉันกลับมาถึงหอพักในเวลาประมาณห้าโมงเย็น พอเห็นหน้าฉัน คุณป้าเจ้าของหอพักก็ร้องทักทันทีว่า
“อ้าวหนู เกิดอะไรขึ้น? หน้าซีดเชียว”
ฉันชะงักตกใจเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าหน้าของตัวเองขึ้นสีซีดจนคนอื่นมองออก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธกับคำถามนั้น เพื่อไม่ให้คุณป้าต้องเป็นห่วงจนเกินเหตุ
“สายรุ้งเดี๋ยวสิลูก เป็นอะไรรึเปล่า?” ดูท่าคุณป้าจะมองไม่เห็นที่ฉันส่ายหน้า เธอเลยร้องถามออกมาอีกรอบ แต่ฉันสาวเท้าเดินฉับๆขึ้นบันไดโดยไม่หันกลับมามอง แต่ฉันได้ยินเสียงแกบ่นดังตามมา
“ฮัลโหล!! ตอบป้าหน่อยสิ ไม่พูดไม่จา”
ป้าลืมแหงว่าฉันพูดไม่ได้ T_T
ปัง!
แกร๊ก
ฉันกระแทกประตูห้องปิดอย่างแรง พร้อมกดล็อกลูกบิดและลงกลอนซ้ำอีกครั้ง ฉันหอบหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยล้า มือที่กำลังสั่นเลื่อนกดปุ่มสวิตช์เปิดไฟข้างประตู ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นห้อง ริมฝีปากแห้งผาก ฉันกลอกตามองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจ
ฉันวางกระเป๋าลงข้างๆตัว แล้วนั่งชันเข่าขยับมือกอดร่างของตัวเองแน่น พยายามตั้งสติเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง ภาพความทรงจำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ก่อนหน้า มันกำลังไหลย้อนกลับมา
ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่? พี่ออกัสกำลังทำอะไรกับลูกหมาตัวนั้น แล้วทำไม..ทำไมตอนนั้นฉันถึงวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ทำไมฉันถึงไม่ถามเขาไปว่า ‘ทำอะไรอยู่’ ถ้าเป็นแบบนั้น จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากอะไรแบบนี้
ไม่สิ
ความจริง..ฉันก็แค่กลัว.. ตอนนั้นฉันตกใจมาก ในสมองมันก็คิดอะไรไม่ออกเลย รู้ตัวอีกทีฉันก็วิ่งหนีออกมาแล้ว
ถ้ามันกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา..ฉันจะต้องทำยังไง? แล้วพี่เขาจะยังเหมือนเดิมกับฉันไหม?
เอ๊ะ?
คิ้วพลันเลิกขึ้นด้วยความฉงนในความคิดตัวเอง แล้วทำไมฉันต้องมาคิดมากเรื่องนี้ละ หรือฉันกำลังกลัวว่าความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไป ทำไมฉันต้องมาสนใจอะไรพี่ออกัสด้วย
คำถามมากมายที่ประดาเข้ามาในหัวทำเอาฉันเผลอกุมขมับ ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นภายในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยามนึกถึงรอยยิ้มของคนพูดมาก เพียงครู่เดียวฉันก็หยุดตัวสั่นในที่สุด
ฉันเงยหน้ามองหลอดไฟนีออนสีแสบตาในห้องไปพลาง นึกย้อนไปในตอนมัธยมต้น จะว่าไปฉันเองก็เคยโดนคนกุข่าวลือที่ว่าบ้านทำไสยศาสตร์ มีการทำพิธีอาคมทุกคืน เพราะแค่ฉันพกตุ๊กตามัมมี่เลอะสีแดงมาโรงเรียน ซึ่งเพื่อนร่วมชั้นหลายคนก็ดูกลัวฉันไปเพราะข่าวลือนั้น..ทั้งๆที่ไม่ได้เคยรับรู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย คำตอบของความจริงทั้งหมด..ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราเอง
เหรียญมีสองด้านเสมอ จงอย่าตัดสินอะไรจนกว่าคุณจะมองเห็นมันครบทั้งสองด้าน
‘ใจเย็นๆสายรุ้ง เรื่องแบบนั้น มันจะจริงได้ยังไง..’
‘อย่าคิดไปเองคนเดียวได้ไหม ยัยสายรุ้ง’
ความคิดนึกตำหนิตัวเองผุดขึ้นมายามสำนึกได้ ฉันไม่ควรตัดสินอะไรไปเองโดยไม่ถามอีกฝ่ายแบบนี้ ฉันยันตัวกับพื้น ลุกขึ้นแล้วเดินลากกระเป๋าคู่ชีพไปวางไว้บนเตียง หอพักของฉันเป็นห้องโทนสีฟ้าที่เรียบง่าย มีเตียงเดี่ยว มีโต๊ะอ่านหนังสือ มีห้องน้ำและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จำเป็นเพียงแค่นั้น
‘พรุ่งนี้ค่อยไปถามพี่ออกัสตรงๆดีกว่า แล้วก็ขอโทษเรื่องที่วิ่งหนีออกมาด้วย’ ฉันคิดดังนั้นก่อนจะหยิบรีโมตมากดเปิดแอร์ในห้อง
ไลน์ ~
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ เรียกความสนใจให้ฉันหันมอง ใจนึกสงสัยว่าใครส่งข้อความมาในเวลาแบบนี้ เอาตรงๆฉันไม่มีเพื่อนในไลน์ นอกจากมีพ่อแม่ก็มีดูดวงฟรี แต่ปกติไลน์ดูดวงไม่ส่งข้อความมาตอนเย็น ฉันคิดพลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ให้เปิดเข้าโปรแกรมแชท
ข้อความที่ถูกส่งมาจากใครบางคนทำเอาฉันเบิกตากว้าง มันไม่ใช่ไลน์ดูดวงหรือโฆษณาอะไรทั้งสิน ฉันไล่อ่านตัวอักษรอัลฟาเบททีล่ะตัวอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
A U G U S
ออกัส?
พี่ออกัส?
พลันภาพใบหน้าที่เปรอะคราบเลือดลอยเข้ามาในหัว หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ แม้มือจะสั่น แต่ฉันก็พยายามเลื่อนนิ้วกดอ่านข้อความที่ส่งมา ในวินาทีนั้นเสียงหัวใจของฉันอาจจะดังกว่าเสียงเครื่องปรับอากาศเสียด้วยซ้ำ ข้อความที่ส่งมากลับทำให้ฉันขนลุกยิ่งกว่าเดิม
[ A U G U S ] : น้องสายรุ้ง
สายรุ้งเห็นแล้วใช่ไหมครับ?
เห็น..
ฉันได้แต่ตอบคำถามนั้นภายในใจ สองมือและร่างกายของฉันมันสั่น สั่นเสียจนไม่สามารถขยับนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับได้ ฉันขบริมฝีปากแน่น ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถามฉันแบบนี้
ทำไมถึงถาม..เหมือนกับว่าฉันไปเห็นความลับของเขาเข้า?
ไม่จริง..
ฉันยังคงไล่อ่านข้อความนั้น ความคิดในสมองที่ตีกันจนไม่สามารถเรียบเรียงเป็นคำพูด อีกทั้งหัวใจของฉันที่เต้นดังจนแทบจะกระเด็นออกมาจากอก ฉันสูดหายใจเข้าพยายามบอกให้ตัวเองตั้งสติ
ไลน์ ~
“!!” ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงแจ้งเตือน คงเพราะเห็นว่าฉันอ่านนานแล้วไม่ยอมตอบ อีกฝ่ายจึงส่งข้อความเข้ามาอีกครั้ง
[ A U G U S ] : ไม่ตอบพี่แบบนี้
เห็นแล้วจริงๆสินะครับ?
ไม่รู้ทำไมพออ่านถึงประโยคนั้นนัยน์ตามันกลับร้อนผ่าวราวกับอยากจะร้องไห้ มันทั้งกลัวทั้งจุก ความรู้สึกหน่วงในอกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันไล่สายตาอ่านข้อความที่ยังส่งมาเรื่อยๆ
[ A U G U S ] : น้องกลัวพี่ไหม?
มันก็ต้องกลัวอยู่แล้ว..ใช่ไหมครับ
พี่ขอโทษนะ
แต่ว่าช่วยออกมาเจอพี่ตอนนี้ได้ไหม
อะไรนะ?
นัยน์ตาของฉันเบิกกว้าง ภายในอกเต้นระรัวขึ้นไปอีกระดับ
[ A U G U S ] : ที่อาคารAS ตอนนี้
พี่จะบอกทุกอย่างจริงๆ
อย่ากลัวพี่เลยนะครับ
ขอร้อง
ฉันไล่อ่านข้อความที่ส่งมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ตอบอะไรกลับไป สิ้นคำสุดท้ายที่ส่งมาคู่สนทนาก็เงียบหายไป คำอ้อนวอนที่ส่งผ่านตัวอักษร มันทำให้ฉันอดนึกไม่ได้ว่าตอนกำลังพิมพ์ พี่ออกัสกำลังทำสีหน้าแบบไหน ถ้ากำลังเศร้าฉันก็อยากจะบอกเลยว่าคนๆนั้นไม่เหมาะกับใบหน้าเศร้าเลยสักนิด
เอายังไงดี?
“…”
สองมือขยับกำโทรศัพท์มือถือแน่น ความกลัวถาโถมเข้ามาในจิตใจ.. แต่ความสงสัยพร้อมคำถามมากมายที่ฉันต้องการถามให้แน่ชัด คำตอบของคำถามเหล่านั้นมันอยู่ที่พี่ออกัส
ถ้าไป..แม้ว่าจะความจริงเป็นยังไงก็ตาม แต่อย่างน้อยฉันก็จะได้รู้
แต่ถ้าไม่ไป..ฉันก็ไม่ได้รับรู้แม้กระทั่งความจริง
ยืนชั่งใจอยู่หลายนาที ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง เสื้อยืดกางเกงวอร์มขาสั้นที่สามารถขยับได้คล่องแคล่วกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เสียเวลาจึงทำทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุด สองมือกดปิดแอร์ปิดไฟเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้อง
ว่าแต่พี่เขามีไลน์ฉันได้ยังไง?
ขณะก้าวลงบันไดหอพัก ฉันก็อดนึกสงสัยไม่ได้ เพราะค่อนข้างมั่นใจพอควร ว่าไม่เคยให้ช่องทางติดต่อทางไลน์กับใครแน่ๆ นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีไลน์ฉันตอนไหน จึงหยุดความคิดทั้งหมดลง และตั้งสติเพื่อเดินตรงไปยังสถานที่นัดหมาย
…………………………….
ใช้เวลาเพียง 15 นาทีฉันก็เดินมาถึงที่หมาย สองมือดันเปิดประตูกระจกแล้วเดินเข้ามาภายในอาคาร ก่อนจะพบกับบรรยากาศเงียบเหงาไร้ผู้คน อาคารASเป็นอาคารที่มีไว้เรียนวิชาเฉพาะเพราะฉะนั้นในช่วงเวลาเย็นจึงไม่ค่อยมีใครอยู่เสียเท่าไร ฉันหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่พบร่างของคนที่นัดหมาย
พอก้มมองนาฬิกาข้อมือปรากฏเวลาเกือบๆ 6 โมงเย็น ไฟที่ไม่ได้เปิดและบรรยากาศยามเย็นที่ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าทำให้ภายในอาคารค่อนข้างมืด บรรยากาศรอบกายชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
ความเงียบที่เกิดขึ้น เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจของฉันชัดเจน ฉันเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างมองแสงสีส้มที่เริ่มลับหายไปจากสายตา นี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่มอบให้ฉันเตรียมใจให้พร้อมกับสิ่งที่ต้องเผชิญ แม้อะไรจะเกิดขึ้นฉันก็ต้องยอมรับมัน คนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้..แต่มันก็อดคิดไม่ได้.. ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง..ฉันจะทำยังไงดี?
“น้องสายรุ้ง”
“!!”
ตึกตักตึกตัก
เสียงแรกที่เอ่ยทำลายความเงียบ ความคิดทั้งหมดพลันหยุดลงพร้อมหัวใจที่เต้นระรัว เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคย เรียกให้ฉันหันมองอย่างตื่นตระหนก เบื้องหน้าของฉันพบร่างคนที่นัดพบกำลังเข้ามาภายในอาคาร และเดินตรงมาหาฉัน
ใบหน้าหล่อเหลาขยับยิ้มบางเมื่อมองเห็นฉัน ชุดนักศึกษาชายที่เปรอะสีแดงเล็กน้อยบริเวณแขนเสื้อและเนคไท พี่ออกัสขยับสองมือล้วงกระเป๋าเดินมาหยุดตรงหน้า
ฉันเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆ พี่ออกัสกำลังคลี่ยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสเหมือนทุกที มันเป็นยิ้มที่แฝงเลศนัย
ไม่เข้าใจ
ผู้ชายคนนี้ทำเรื่องให้ฉันสับสนได้ทุกครั้ง เสียงหัวใจของฉันยังคงเต้นดัง ลุ้นระทึกไปกับคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย มนุษย์เรายามไม่สามารถรับรู้ความจริง ทุกสิ่งล้วนดูน่ากลัว ในตอนนี้ที่ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะทำอะไรกำลังคิดอะไรอยู่ ความรู้สึกอึดอัดในอกตอนนี้ คงเป็นความกลัวสินะ..
พี่ออกัสเงียบอยู่นานหลายนาที ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาที่จ้องมองมาโดยไม่กะพริบ ทำเอาต้องหลบตาหนี คล้ายกับว่าเขากำลังสนุกที่ได้เฝ้าดูปฏิกิริยาท่าทางของฉัน
“กลัวพี่เหรอครับ?”
“…”
คำถามจี้ใจดำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยของอีกฝ่าย ทำเอาฉันชะงัก แต่ก็ไม่สามารถส่ายหน้าปฏิเสธได้เพราะมันคือความจริง..
“ว้า..พี่เสียใจนะเนี่ย ฮะฮะ..เอาเถอะ..ยังไงน้องก็เห็นแล้วใช่ไหมครับ?” ประโยคแรกเหมือนพี่ออกัสพยายามจะเอ่ยอย่างติดตลก แต่ประโยคต่อมาน้ำเสียงของพี่เขากลับนิ่ง จนรู้สึกหนาวบริเวณสันหลัง
“ในเมื่อเห็นแล้ว ตอนนี้คงกำลังสงสัยใช่ไหม ว่ามันคืออะไร?”
ใช่..ฉันสงสัย..
ฉันนึกตอบแต่ตัวจริงฉันก็ยังคงนิ่ง รอฟังความจริงจากปากของคนตรงหน้า ทุกวินาทีที่ริมฝีปากนั้นขยับเอ่ยฉันก็ได้แต่ภาวนาอยู่ภายในใจ
ขออย่าให้สิ่งที่ฉันกลัวเป็นจริง
ขอให้พี่ออกัสหัวเราะพูดว่าล้อเล่น
“โกหกไปก็คงจะเหนื่อย งั้นพี่ก็จะบอก..”
ขอให้มันไม่จริง..
“ใช่ พี่เป็นปอบ”
นัยน์ตาของฉันเบิกกว้างอย่างตกตะลึง คำตอบนั้นที่ราวกับค้อนทุบโลกทั้งใบของฉันให้แตกสลาย ฉันได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ภายในหัวที่ตอนแรกเป็นสีหม่นตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีขาวโพลน ไม่มีเสียงใดสามารถลอดเข้าโสตประสาทของฉันได้อีก คำตอบของพี่ออกัสคือความจริงที่ตอกหน้าฉันเข้าอย่างแรง
“อ้าวเชื่อพี่ด้วยเหรอ? นึกว่าจะโดนพิมพ์ด่ากลับว่าบ้าบอซะอีก ฮ่าฮ่า” เสียงกลั้วหัวเราะในลำคอที่ไม่ชวนให้ขำสักนิดเอ่ยออกมา ฉันอยากจะหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ตอบอีกฝ่าย แต่ร่างกายมันไม่ยอมขยับเลย
ฉันกลัว..
ยามความกลัวเข้าครอบครองจิตใจ ทุกสิ่งที่จินตนาการย่อมไปในทางเลวร้ายทั้งสิน ความคิดแง่ลบผุดขึ้นมาเต็มไปหมด คิดแม้กระทั่งว่าฉันอาจจะถูก..
“พี่ไม่กินน้องหรอกครับ ตระกูลพี่เลิกกินเนื้อมนุษย์มานานแล้ว”
คำพูดที่ราวกับอ่านใจของฉันออก ทำเอาร่างขนลุกวาบ น้ำเสียงนั้นเอ่ยพร้อมกระตุกยิ้มเย็น ฉันรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิความร้อนบนใบหน้ากำลังค่อยๆลดลง ริมฝีปากเริ่มสั่น คำปลอบโยนของพี่ออกัสไม่ได้ช่วยให้ความกลัวของฉันลดลงแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำมันยังเพิ่มมากขึ้น
ฉันต้องทำยังไงต่อ?
เอาแต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา แต่ร่างกายมันกลับไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว พี่ออกัสคลี่ยิ้มมองท่าทางของฉัน เขาเริ่มขยับเดินวนรอบตัวฉัน
“…” ฉันไม่ได้ขยับหนีแต่ก็ยังคงจ้องร่างที่เดินวนรอบตัวอย่างหวาดระแวง
“ถ้าจะเล่าหมดมันก็คงยาว เอาเป็นว่า..” ท่าทางของเขาต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง รอยยิ้มที่เคยสดใสตอนนี้ฉันกลับมองว่ามันน่าหวาดหวั่น พี่ออกัสเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ
“ตระกูลพี่มันมีสายเลือดของผีนี่อยู่ แล้วพี่ก็ดันได้เชื้อมา..แล้วพี่ก็ต้องกินเนื้อดิบทุกเดือนเพื่อคุมไม่ให้มันออกมาอาละวาด..สั้นๆง่ายๆแค่นี้แหละครับ ” ทุกพยางค์ที่ได้ยินทำเอาร่างชาไปหมด ฉันเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นจนสั่นไปทั้งแขน ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่แสนจะไม่สมเหตุสมผล..แต่ฉัน..
“ตลกดีไหมล่ะครับ? พวกพระเอกนิยายเดี๋ยวนี้ก็มีแต่แวมไพร์ มนุษย์หมาป่าเท่ๆนี่เนอะ ปอบนี่คงพิสดารไปใช่ไหม? ” อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูดพึมพำกับตัวเอง
“อ่า..อย่ากลัวพี่แบบนั้นสิครับ” แม้จะโดนพูดแบบนั้นใส่แต่ร่างกายของฉันมันก็ยังคงสั่นไม่ยอมหยุด พี่ออกัสหรี่ตามองท่าทางไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร ก่อนจะขยับเดินเข้ามาใกล้ฉัน
ไม่นะ..
ฉันพยายามรวบรวมสติทั้งหมดแล้วขยับถอยหนีออกมา ทว่าความกลัวทำเอาความนึกคิดติดขัดไปหมด
“!!”
ถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ยังคงก้าวเข้ามา หัวใจของฉันเต้นแรง ฉันกำลังตัดสินใจจะวิ่งหนีออกมาให้รู้แล้วรู้รอด พริบตานั้นใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
“จะหนีไปไหนเหรอครับ?”
ร่างที่เข้าคุกคามไม่ให้ฉันหนีไปไหน นัยน์ตาของฉันเริ่มร้อนผ่าว ความรู้สึกหวาดกลัวอัดแน่นอยู่ในอก แต่ไม่สามารถหลีกหนีไปไหนได้
“ไม่ต้องกลัวสิครับ พ่อแม่พี่บอกว่าเนื้อมนุษย์มันเหม็นเน่าจะตายไป พี่ไม่อยากกินหรอก” เขาดูน่ากลัวมากเมื่อยิ้มแบบนั้น ฉันพยายามจะขยับกายหนีอีกครั้ง คราวนี้กลับมีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหางตา
ตึง!
นัยน์ตาพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึง หัวใจของฉันแทบหยุดเต้นเมื่อพี่ออกัสกระแทกฝ่ามือมาข้างศีรษะ เขาปิดกั้นเส้นทางหนีของฉันจนหมด
“แต่ว่า..” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเหยียบเย็นลงจนรู้สึกได้ชัด เขาก้มกระซิบข้างหูของฉัน โสตประสาทมันไม่ยอมรับฟัง ในหัวของฉันมีแต่คำว่ากลัวและอยากจะหนีไปให้พ้นๆจากความอึดอัดนี้
“ถ้าเป็นน้องสายรุ้ง..”
ตอนนี้ฉันหวาดกลัวจนฟังคนตรงหน้าไม่รู้เรื่องอีกแล้ว นัยน์ตาร้อนผ่าวที่เริ่มมีน้ำตาใสๆเอ่อล้นค่อยๆไหลริน คำพูดของพี่ออกัสประโยคถัดมาทำเอาฉันหมดสิ้นเรี่ยวแรง
“พี่ก็อยากจะลองกินเนื้อคนดูสักครั้ง”
ฉันทรุดร่างลงกับพื้นแทบในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ความหวาดกลัวแทงทะลุขั้วหัวใจจนไม่สามารถขยับได้ ก้อนเนื้อในอกราวกับหยุดเต้นไปหลายวินาที ฉันหอบหายใจริมฝีปากแห้งาก เหงื่อใสไหลท่วมกาย ทุกอย่างมันสับสนไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
ฉันกำลังจะถูกฆ่างั้นเหรอ?
ยิ่งคิดน้ำตามันยิ่งไหลอาบแก้ม พี่ออกัสกระตุกยิ้มเย็นพร้อมย่อตัวลงตรงหน้าฉัน สายตาที่จ้องมาราวกับเพชฌฆาตที่เตรียมตะครุบเหยื่อ ริมฝีปากที่ขยับเข้ามาใกล้ลำคอของฉันเรื่อยๆ เมื่อไม่หนทางหนีพ้น ฉันได้แต่กรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง
ช่วยด้วย
ช่วยด้วย
ช่วยฉันด้วย !
“พี่ล้อเล่นครับ :P ”
“…”
ห๊ะ?
ว่าอะไรนะ?
ฉันเบิกตาค้างตะลึงไปเกือบนาที อารมณ์ความหวาดกลัวพลันชะงักกึก น้ำตายังคงอาบแก้มใส เมื่อเงยหน้ามาก็เจอพี่ออกัสกำลังคลี่ยิ้มชอบใจ นั้นยิ่งทำให้ฉันงงขั้นสุด ตอนนี้ในหัวมีแต่เครื่องหมายคำถาม ตะกี้ผู้ชายคนนี้พูดอะไร? ล้อเล่นอะไร? เดี๋ยว? แล้วล้อเล่น? ล้อเล่นตั้งแต่ตอนไหน?
ฉันงงไปหมดแล้ว แต่ดูท่าคนตรงหน้าจะชอบใจมากที่เห็นฉันงงเป็นไก่ตาแตก
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! หน้าน้องโคตรจี้เลยอ่ะ พี่ขอโทษๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” เขาระเบิดหัวเราะจนแทบไม่ได้หยุดพักหายใจ บางทีฉันก็คิดว่าคำว่า ขำเกือบตาย คงเหมาะกับพี่ออกัสตอนนี้ที่สุด เมื่อหัวเราะจนพอใจอีกฝ่ายก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“พี่โกหกครับ พี่ไม่ได้เป็นปอบหรอก”
ห๊ะ?
ฉันอ้าปากค้าง
“อุ๊บ!! ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้วนะ จะให้พี่ขำตายรึไง ฮ่าฮ่าฮ่า!!” ขำตบมือหัวเราะพรวดพร้อมกระโดดไปมา ท่าทางถูกใจมากที่แกล้งฉันสำเร็จ ฉันได้แต่นั่งอึ้งก่อนจะคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น
นี่เขาแกล้งฉัน..?
อีกแล้วเหรอ?
ฉันพอเข้าใจแต่ก็ยังงงในหลายๆเรื่อง แล้วข่าวลือ? แล้วศพหมาตัวนั้น? ฉันพยายามดึงสติตัวเองแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความอย่างมึนๆ พร้อมยื่นให้พี่ออกัส
‘ลูกหมาตัวเมื่อเย็นคืออะไร’
พี่ออกัสก้มมาอ่านข้อความของฉัน เขาทำท่านึกแวบหนึ่งก่อนจะตอบ
“ถ้าหมาตัวนั้น พอดีมันถูกรถชนไง ทางตรงนั้นมันรกมากมีแม่หมาชอบไปคลอดลูกไว้ แล้วก็มีคนขับรถชนลูกหมาในนั้นบ่อยๆ พี่ได้ยินเสียงเลยเข้าไปช่วย แต่เลือดมันออกเยอะมาก พอมันดิ้นเลือดก็กระเด็นเลอะเสื้อเลอะหน้าไปหมด” คำอธิบายของพี่ออกัสทำให้ฉันร้องออในใจทันที ก่อนจะพลิกโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความต่อ
‘แล้วเรื่องข่าวลือที่พี่กินหมา?’
พอพี่เขาเห็นข้อความของฉันเขาก็ก้มหน้าหัวเราะพรวด
“ฮะฮะ ความจริงมันเป็นแค่ข่าวลือที่สร้างขึ้นไว้แกล้งพวกเด็กปีหนึ่งน่ะ วันงานกีฬาสีก็จะเฉลยเอง แต่ครั้งแรกมีคนเชื่อว่าพี่เป็นปอบจริงๆนะ ”
เมื่อได้รับฟังฉันก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“หึหึ พี่แสดงเนียนใช่ไหมล่ะ? หนุ่มอักษรสาขานิเทศไม่ได้มีไว้แค่ชื่อนะ” พี่เขาพูดอวดอย่างภูมิใจ บรรยากาศที่สดใสกลับมาเหมือนพี่ออกัสคนเดิมทำให้ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก คล้ายกับโยนก้อนหินยักษ์ที่วางทับหัวใจออกไปได้สำเร็จ ตะกี้ฉันกลัวจนนึกว่าจะช็อกตายไปจริงๆเสียแล้ว
“พี่ขอโทษน้า ว่าแต่น้องไม่โกรธพี่ใช่ไหม?”
ฉันเงยหน้ามองพี่เขาก่อนจะคลี่ยิ้มบาง พอเห็นฉันยิ้ม พี่ออกัสก็ยิ้มกลับมาให้ แม้พี่เขาทำฉันกลับแทบตายแต่เมื่อมันไม่เป็นความจริงฉันก็โล่งอก ฉันพยักหน้าเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารที่อยู่ใกล้ขึ้นมา..
ผัวะ!!!
แล้วฟาดหัวพี่ออกัสเข้าไปเต็มแรง
ไม่โกรธบ้านพี่สิ!!
…………………………………………
พอเอานิตยสารฟาดหัวพี่ออกัสไปที ฉันก็วิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งมึนไปคนเดียว หลังจากตอนนั้นฉันก็หลบหน้าพี่ออกัสมาตลอดสามวันเต็มเลยค่ะ พี่เขาไลน์มาก็ไม่ตอบ ฉันวิ่งหนีทุกครั้งที่เห็นพี่เขา บอกตรงๆว่าฉันโกรธมาก ใครไม่โกรธก็บ้าแล้วสิ โดนแกล้งให้กลัวแทบตายขนาดนั้นแล้วใครมันจะไม่ยกโทษให้ง่ายๆ ถ้าฉันช็อกตายไปจริงๆใครมันจะรับผิดชอบ? เดิมทีฉันก็ไม่ชอบที่พี่เขาเข้าหาอยู่แล้ว ยิ่งพี่เขายังเล่นบ้าๆแบบนี้อีก ทำให้ฉันไม่อยากเจอพี่เขาเลยสักนิด
วันนี้ฉันมีคาบเรียนตอนเช้าและกำลังจะเดินไปอาคารเรียน ฉันหันมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยจาก..
“น้องสายรุ้ง!”
เฮ้ย
ฉันอุทานในใจพร้อมเบิกตากว้าง เมื่อเสียงคนที่ไม่อยากเจอดังมาจากด้านหลัง พี่ออกัสกำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้แล้ว.. ฉันขยับกระเป๋าให้แน่นเตรียมสาวเท้าออกวิ่งหนีให้ไวที่สุด แต่ดูท่าวันนี้ส้นสูงที่ใส่มาจะทำพิษฉันเข้าเสียแล้ว
หมับ
ฉันชะงักเมื่อโดนคว้าแขนเอาไว้ หันมองด้านหลังเห็นพี่ออกัสที่จับแขนของฉันไว้กำลังหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“น้องสายรุ้ง อย่าหลบหน้าพี่แบบนี้สิ พี่ขอโทษนะครับ” น้ำเสียงอ้อนวอนของเขาไม่ได้ทำให้ฉันใจอ่อน ฉันสะบัดหน้าเมินคำพูดของอีกฝ่าย
“พี่จะไม่แกล้งแบบนั้นอีกแล้ว อย่าโกรธพี่เลยนะ นะครับ” พี่เขาตีหน้าหมาหงอยเอ่ยขอโทษออกมาเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าพี่เขาสำนึกผิด แต่ฉันก็ไม่หายโกรธอยู่ดี
“ตอบพี่บ้างสิครับ มองพี่ด้วยสายตาเย็นชาก็ได้ เราหนีพี่แบบนี้ พี่ไม่ชอบเลยอ่ะ” พี่ออกัสเริ่มงอแงเสียงดังจนคนรอบข้างหันมอง ฉันไม่ชอบการเป็นจุดสนใจแบบนี้เลยจริงๆ พออยู่ใกล้คนๆนี้โลกที่สงบสุขของฉันก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มันเริ่มจากอะไรกันนะ?
เริ่มจากผู้ชายชื่อออกัสได้มารู้จักกับฉันงั้นเหรอ?
ฉันถอนหายใจพลางดึงมือของคนตรงหน้าออก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความ
‘ทำไมรุ่นพี่ต้องมายุ่งกับฉันเหรอคะ?’
พี่ออกัสก้มอ่านคำถามของฉันก่อนจะนิ่งไป มันเป็นคำถามที่ตรงแต่ฉันก็สงสัยมันมากที่สุด ตั้งแต่วันแรก มันคือสิ่งที่ฉันอยากรู้ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงชอบมายุ่งกับฉัน เข้าหาคนที่พูดไม่ได้ ทำไมถึงชอบมาแกล้งคนแบบฉันให้หัวหมุน
“เอ่อ..” พี่ออกัสขยับมือเกาแก้มเล็กน้อยท่าทางลังเลใจอะไรบางอย่าง ส่วนฉันก็กอดอกยืนรอฟังคำตอบนั้น
“พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ..แต่ว่า..” พี่เขาเว้นช่วงคำพูดไปเล็กน้อย
“?”
“อาจจะเพราะน้องสายรุ้งเป็นคนเดียวที่ทำให้พี่รู้สึกสนุกได้ โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดอะไร..ล่ะมั้ง..”
คำตอบนั้นทำเอาฉันตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง ภายในสมองพยายามประมวลผลทำความเข้าใจกับคำตอบนั้น
“..” พี่ออกัสก้มหน้าพร้อมเม้มริมฝีปากแน่นคล้ายอยากจะพูดอะไรต่อ
มนุษย์เรามีบางคำในใจที่ไม่สามารถกลั้นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ ตะกอนความรู้สึกที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่เข้าใจ ไม่สามารถเรียบเรียงมันออกมาได้อย่างสวยหรู ฉันเองก็อึ้งไปหลายวิก่อนจะตั้งสติได้ คิดใช้โอกาสนั้นวิ่งหนีพี่เขาออกมาให้ไวที่สุด
“น้องสาย..อ้าว! ไปไหนแล้วอะ!?” ได้ยินเสียงพี่ออกัสโวยวายดังไล่หลังมาแต่ฉันไม่ได้หันไปมอง ตอนนี้ขอหนีให้พ้นก่อน ในขณะที่วิ่งนั้นเองก็ความสงสัยก็พลันก่อตัวขึ้น ฉันไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไรแต่ว่า..
ทำไมหน้าของฉันถึงร้อนขนาดนี้กันนะ?
AUGUS PART
“เฮ้ออ..”
ผมถอนหายใจอย่างอ่อนล้า เมื่อเดินมากลับมาหาเพื่อนที่ร้านกาแฟ วันนี้ปฏิบัติการง้อน้องสายรุ้งของผมก็ไม่สำเร็จอีกแล้วครับ ท่าทางน้องเขาจะโกรธผมมากเลย (T_T)
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอไอ้ออกัส?”
เมื่อเห็นผมเดินมาเพื่อนสนิทหัวเกรียนก็ร้องทักพร้อมยกโกโก้ในมือขึ้นดื่ม ผมเหนื่อยจนไม่อยากตอบคำถามมัน ได้แต่เลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงเงียบๆ ชัชมองท่าทีของผมแล้วเอ่ยถามอีกรอบ
“’ง้อไม่สำเร็จอีกแล้วเหรอ?” คำถามมันทำเอาผมอยากคว้าแก้วโกโก้โยนทิ้ง ชัชมันไม่ได้ถามอะไรผิดหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมหงุดหงิดที่ง้อน้องสายรุ้งไม่สำเร็จไง ผมจะพาล! L
“ฉันทำหน้างี้ คงสำเร็จมั้ง”
“อ้าว กวนซะงั้น เพื่อนเขาถามดีๆ” ชัชเบ้ปากตอบกลับเมื่อเห็นผมทำท่าหงุดหงิดใส่
“ก็มัน..ฮือ..น้องเขาวิ่งหนีฉันอีกแล้วอ่ะ” พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ครับ
“นายก็ไลน์ไปง้อสิ อุตส่าห์คิดแผนแกล้งยืมมือถือน้องเขามาโทรหาฉัน เพื่อให้ได้เบอร์กับไลน์น้องสายรุ้งมาไม่ใช่รึไง?” ผมครางในลำคอตอนนี้รู้สึกเหมือนเด็กที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้เลยครับ ก็อย่างที่ชัชมันพูดแหละครับ ความจริงตอนนั้นโทรศัพท์ผมไม่ได้แบตหมดหรอก ผมอยากได้ไลน์กับเบอร์น้องเขานี่นา ถ้าขอตรงๆสายรุ้งต้องไม่ให้ผมแน่ๆ ผมก็เลยคิดแผนการนี้ขึ้นมา
"เขาไม่อ่านไลน์ฉันเลยอ่ะ ฮือ" ผมอยากจะร้องไห้
“ก็สมควรแล้ว นายดันไปแกล้งน้องเขาขนาดนั้น ถ้าน้องเขาช็อกตายจะทำยังไง? แล้วที่สำคัญน้องเขาเป็นผู้หญิงนะ ทำไมนายไปแกล้งเขาขนาดนั้น หา?” เมื่อโดนความตรงของชัชแทงหัวใจ ผมนี่ก้มหน้าสำนึกผิดแทบไม่ทัน ก็จริงอย่างที่ชัชพูด ผมแกล้งน้องเขาแรงเกินไป..
“ฉันผิดไปแล้ว” เถียงไม่ออกจริงๆครับเพราะจริงของมัน และผมผิดเต็มๆด้วย
“แล้วทำไมนายต้องแกล้งน้องเขาขนาดนั้น? เป็นฉันนี่ แกล้งอำแค่เป็นปอบก็ว่าตกใจพอแล้วนะ” ผมก้มหน้าคิดแวบหนึ่งก่อนจะตอบกลับ
“เอาจริงๆฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ” ผมตอบตามความจริง..
“ไม่เข้าใจอะไรของนาย?” ชัชเลิกคิ้วถาม หน้ามันตอนนี้โคตรเหมือนนักเลงที่พยายามจะแย่งอมยิ้มเด็กเลยครับ น่ากลัวสุดชีวิต ผมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพูดสิ่งที่ใจนึกออกไป
“ตอนแรกฉันก็ว่าจะแกล้งนิดหน่อย แต่พอแกล้งแล้วมันหยุดไม่ได้”
“ห๊ะ?”
“ไม่รู้อ่ะ ยิ่งน้องเขากลัวฉันยิ่งอยากแกล้ง ยิ่งน้องเขากลัวฉันยิ่งรู้สึกว่า น่ารักจังเลย แล้วมันก็หยุดแกล้งไม่ได้” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเรื่อยๆ
“…” แล้วทำไมชัชมันมองผมแปลกๆ…
“ตัวสั่นเหมือนลูกนกเลยนะ น้ำตาก็คลอเบ้า ดูน่าแกล้งเป็นบ้า..”
“พอเลยพอ!!”
ผมกำลังบรรยายอาการของน้องสายรุ้งอย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆชัชมันก็ร้องขัดขึ้นมาเสียงดังลั่น
“ทำไมอ่ะ?” ผมถาม
“นายโคตรน่ากลัว” ชัชมองมาด้วยสายตาหวาดๆก่อนจะชี้หน้าผม อยู่ๆมันผีเข้าอะไรเนี่ย มาบอกว่าผมน่ากลัว ผมก็งงสิครับ
น่ากลัว?
อะไรน่ากลัว?
“ไอ้ออกัส นายมันโรคจิต! นายห้ามเข้าใกล้น้องสายรุ้งอีกนะ ฉันจะพิทักษ์น้องเขาจากนายเอง ออกไป๊!!”
พูดบ้าอะไรของมันเนี่ย? -_-
TBC.
Talk to me Talk to me >w<
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ เตยมาแล้วว รอบนี้ลงซะวันสุดท้ายเลยค่ะ 55555
ขอบคุณทุกโหวตทุกคอมเม้น ขอบคุณพี่เจ้าหญิงด้วยนะคะ
ว่าแต่เป็นไงงง มีใครถูกหลอกเหมือนสายรุ้งบ้าง หึหึ
พี่ออกัสสายS แล้วค่ะ #ชิบหายแล้วสายรุ้ง เรื่องของยัยสายรุ้งเดินมาถึงตอนสี่แล้ว
เหลืออีกแค่สามตอนที่จะเดินไปพร้อมกัน ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
ใครเมตตารบกวนกดโหวต ใครอยากติอยากเมาท์คอมเม้นได้เลยค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ : )
...
เอาห้านาทีแห่งความซีเรียสของพี่คืนมา Orz....
โหยยย นี่นั่งลุ้นจนจะตกเก้าอี้อยู่แล้ววววว
อิพี่ออกัส จงโดนสวรรค์ลงทัณฑ์ซ้าาาา
พี่ชัชสู้ๆ ปกป้องสายรุ้งให้ได้!!!
นี่อ่านแล้วนึกว่าตัวเองเป็นสายรุ้งที่จะโดนพี่ออกัสกินจริงๆ สรุป..ลั่นนน555
พี่ก็หยอกน้องแรงไป๊ สงสารสายรุ้งเลย /กระซิกๆ
รอตอนต่อไปน้าาา