เชื่อไหมคะ? ว่ารักของฉันไม่ต้องใช้เสียง
-4-
ช่วยด้วย
ไลน์〰
ทันทีที่เสียงไลน์เข้าฉันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูในทันที แต่ก็ต้องห่อไหล่ลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อข้อความเข้าเป็นเพียงโฆษณาส่งมา ฉันวางโทรศัพท์มือถือลงอย่างไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง ทำไมฉันต้องมาจดจ่อกับมัน ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หรือว่าฉันกำลังรอข้อความจากใครบางคน?..
บ้าน่า..ไม่ได้ใครสักหน่อย..
ฉันเถียงตัวเองในใจก่อนจะส่ายหน้าไล่อุณหภูมิความร้อนที่อยู่ๆก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ริมฝีปากขยับถอนหายใจก่อนมือขวาจะวางปากกาลงแล้วขยับลุกขึ้นบิดขี้เกียจ วันนี้เป็นวันเสาร์ฉันไม่มีเรียนจึงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง แต่ไม่มีสมาธิแบบนี้ใครมันจะไปนั่งอ่านลงกัน
ฉันเดินไปตรงขอบเตียง สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ในหัวไม่ได้มีเรื่องเนื้อหาที่อ่านเมื่อกี้เลยสักนิด น่าแปลกมันกลับมีแต่เรื่องของรุ่นพี่คนหนึ่งที่ฉันนึกรำคาญเขา
พี่ออกัส..
หลังจากที่ฉันเมินพี่เขามาเป็นเวลาห้าวัน เอาตามตรงฉันก็เกรงใจเพราะพี่เขาเล่นมาขอโทษฉันเสียทุกวัน ตอนที่ฉันนึกว่าควรจะยกโทษให้พี่เขาได้แล้วแต่พอวันที่หก ฉันก็ไม่ได้เจอพี่ออกัสอีกเลย..ทั้งๆที่ปกติฉันเห็นและได้ยินเสียงของคนขี้โวยวายแทบทุกวัน
ฉันถอนหายทางจมูกเฮือกใหญ่ บางทีพี่ออกัสอาจจะเบื่อฉันแล้วก็ได้ คงเพราะฉันโกรธพี่เขานานไป.. มันคงถึงเวลาที่ชายหนุ่มแสนสว่างไสวจะเบื่อคนใบ้ที่มืดมนแล้วสินะ..สุดท้ายพี่ออกัสก็เหมือนกับคนอื่นๆ..
..ทำไมมันเจ็บจัง..?
ฉันนั่งถามตัวเองหลังจากที่คิดว่าพี่ออกัสอาจจะไม่เข้าหาไม่มายุ่งกับฉันอีก ในอกมันเหมือนมีอะไรกดทับอย่างแรงจนขยับไปไหนไม่ได้ เหมือนมีเข็มแหลมคมนับพันกำลังทิ่มแทงหัวใจทั้งเป็น หรือฉันกำลังเสียใจกันนะ แล้วทำไมฉันต้องเสียใจล่ะในเมื่อแบบนี้คือสิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่เหรอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่คำถามพรั่งพรูออกมาไม่รู้จบ
ชีวิตที่เงียบสงบไม่มีใครรบบกวน ฉันอยู่ตามลำพังไม่ต้องสื่อสารกับใคร อยู่อย่างมีความสุขในโลกของฉัน ไม่ต้องมีเสียงโวยวาย เสียงพูดรบกวนให้หนวกหูหรือยุ่งยากใจอีกแล้ว
ฉันก็แค่กลับไปอยู่ในจุดเริ่มต้นที่มันสมควรจะเป็น..ก็เท่านั้น..
.............................................................
@อาคารเรียนรวมคณะอักษร
“วันนี้พอแค่นี้ เลิกคลาสได้ค่ะ”
พออาจารย์ประจำวิชาเอ่ยจบคำ กลุ่มนักศึกษาก็พากันเดินออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว บางคนนี่เก็บกระเป๋าพร้อม เตรียมออกตั้งแต่อาจารย์ยังพูดไม่ทันจบสไลด์แรก ฉันมองกลุ่มคนที่เริ่มทยอยออกไปจากห้องจนหมดแล้วจึงค่อยลุกขึ้นยืน ฉันไม่ค่อยชอบเวลาไปเดินเบียดกับคนอื่นตรงทางเดินเสียเท่าไร
“?”
ฉันแอบเห็นอาจารย์เหลือบมองแต่พอฉันหันไปสบตาเข้า อีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงจัดเอกสารในมือทันที เธอไม่ได้ลุกลี้ลุกลนเธอแค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันเป็นเรื่องปกติใครก็ไม่อยากคุยกับฉัน บอกแล้วว่าการจะสนทนากับฉันมันยุ่งยาก การที่อาจารย์และเพื่อนร่วมคลาสจะไม่ยุ่งกับฉันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นี่แหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็นแล้ว
แต่กลับมีใครบางคนที่ฝืนธรรมชาติของมัน..
ฉันถึงด้านล่างอาคารพอดี ไม่รู้อะไรที่ทำให้ฉันชะงักหยุดยืนแวบหนึ่งก่อนจะออกเดินต่อในทันที นึกตลกตัวเอง ส่วนลึกภายในจิตใจของฉันมันคงกำลังหวังให้ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากใครบางคน เสียงที่แหกปากเรียกชื่อของฉันเหมือนทุกที แต่มันก็ไม่มี..
วันนี้เป็นวันจันทร์ ช่วงบ่ายฉันมาเข้าเรียนตามปกติ รอบตัวสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็น และฉันก็ยังไม่ได้เจอพี่ออกัสแม้เพียงแวบเดียว น่าแปลก ทั้งๆที่เรียนคณะเดียวกัน มันควรจะเห็นบ้างสักนิด..แต่นี่ฉันไม่เห็นแม้แต่เงา..
หรือเขากำลังหลบหน้าฉันกันนะ?
ความคิดแง่ลบพลันผุดขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่เดินกลับหอพัก บางครั้งฉันก็นึกเบื่อตัวเองว่าทำไมต้องมาคิดอะไรมากมาย แต่การคิดหลายมุมมองก็ดีกว่าการมองโลกในแง่ดีจนต้องเจ็บปวด
ฉันเข้าใจความเจ็บปวดนั้นมากที่สุด
ไลน์〰
“?” ฉันชะงักฝีเท้าก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา
โฆษณาอีกแล้วเหรอ?
นึกบ่นในใจ คราวหน้าจะจับบล็อคให้หมดเลยคอยดูสิ ถ้าไม่ติดว่าถ้าแอดเป็นเพื่อนแล้วจะได้สติ๊กเกอร์ไลน์มาฟรี ป่านนี้ฉันลบไลน์โฆษณาพวกนี้ออกไปหมดแล้ว
เอ๊ะ?
ครืน
ฉันเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นชื่อผู้ส่ง ความคิดในหัวทั้งหมดพลันหายไปในพริบตา ก้อนความรู้สึกสีดำเริ่มแผ่ขยายให้ภายในอกเป็นสีขุ่นมัว บนหน้าข้อความปรากฏชื่อของคนที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงเสียยิ่งกว่าพี่ออกัส
คุณแม่
ชื่อที่ทำเอาหายใจไม่เป็นจังหวะ ฉันค่อยๆไล่อ่านข้อความที่ส่งมา
คุณแม่ : สายรุ้ง เป็นยังไงบ้าง?
สบายดีไหม ที่นี้ดีหรือเปล่า
ไม่ได้มีใครแกล้งใช่ไหม
ถ้ามีอะไรไม่สบายเล่าแม่ได้นะ
กลับมาบ้านบ้างนะลูก
ข้อความที่ปรากฏทำเอาในลำไส้ปั่นป่วน คลื่นความรู้สึกที่แสนบิดเบี้ยวกำลังถาโถมทับหัวใจของฉันให้จมลง ฉันอยากจะพิมพ์ตอบกลับไปเป็นร้อยเป็นพันเรื่องแต่นิ้วมันกลับไม่ยอมขยับ ทั้งความเจ็บปวดและทรมานที่ฉันต้องพบเจอ อยากจะพิมพ์กลับไปว่า พวกคุณไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้
ข้อความที่มองเห็นบันดาลให้โทสะที่เก็บไว้ในใจพลันพวยพุ่งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ก้อนความรู้สึกมากมายทะลักเข้าสู่หัวสมอง ช่วงชิงสติสัมปชัญญะไป ฉันกำโทรศัพท์ในมือแน่น
ทำไม
ทำไมถึงเป็นห่วงกันตอนนี้?
ในวันที่ฉันเจ็บปวดที่สุด เจ็บปวดแทบตาย ฉันเรียกทั้งพ่อทั้งแม่แต่พวกท่านไม่คิดจะหันมอง พวกท่านไม่เคยสนใจฉันไม่เคยแม้แต่หันมองในวันที่หัวใจของฉันแตกสลาย จนฉันทิ้งตัวให้น้ำสีแดงสดและน้ำฝนอาบร่างในวันนั้นตัวฉันกระโดดลงไปให้รถชน ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว ตัวฉันที่ยังเด็กต้องการความรักแต่พ่อแม่กลับเอาแต่ทำงาน ไม่หันมามองแม้ว่าฉันกำลังน้ำตาไหลอาบแก้ม
มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ มักจะเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว แต่ตอนมีอยู่กลับไม่คิดสนใจรักษามันไว้ให้ดี
ฉันยื่นนิ่งอยู่หลายนาที ปล่อยให้น้ำตาไหลออกไปเรื่อยๆโดยที่ไม่เช็ดหรืออดกลั้นมัน หวังเพียงสักเล็กน้อยว่าขอให้ความเจ็บปวดทรมานมันไหลออกมาให้มากที่สุด เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและไม่ได้ตอบข้อความ ฉันเดินตรงกลับหอพักโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมา
นี้เป็นอีกสาเหตุที่ฉันไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากเจอหน้าคนสองคนที่ทำให้ฉันเจ็บปวดที่สุด แค่มองหน้าพวกท่านฉันก็แทบอยากจะร้องไห้ มันทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจว่าทำไมถึงพึ่งมาสนใจฉันในตอนนี้
ฉันจำได้ดีว่าตอนที่ตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้มันเป็นยังไง อยากจะให้พ่อแม่ได้รับรู้การที่เรียกแล้วไม่มีเสียงตอบกลับเสียบ้าง และจะไม่มีวันให้ใครได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กสาวขี้แงคนนี้อีก
โศกนาฏกรรมแสนเศร้าน่าเวทนาในสายตาของคนอื่น หารู้ไม่ว่าเป็นตัวฉันเองที่ตัดสินใจกระโดดลงไปหวังจะจบความทรมานทั้งหมดลง น่าตกใจตอนที่ร่างโดนกระแทกจนเลือดไหลทะลักมันกลับไม่เจ็บเท่าตอนโดนเมินเฉย ถึงกระนั้นคุณยมทูตกลับไม่ยอมพอฉันไปด้วย..เพราะแบบนั้นฉันจึงตัดสินใจฆ่าเสียงของตัวเองตายไปซะ และเป็นคนใบ้จอมปลอมมาจนถึงทุกวันนี้.. กลับกัน..ถ้าหาก..
ถ้าหากในวันนั้นฉันตายไปจริงๆ..มันจะเป็นยังไงนะ?
ปิ๊ปป!
“!”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมเงยหน้าขึ้นพรวด มองเห็นสัญญาณไฟจราจรขึ้นสีเขียวสว่าง สองเท้าพลันชะงักหยุดทันก่อนจะก้าวลงถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดทำให้ตัวเองเดินมาถึงริมถนนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันกระพริบตาเล็กน้อย นึกด่าตัวเองที่ใจลอยจนเกือบข้ามถนนไปทั้งๆที่ไฟเขียว
ฉันถอนหายใจ แล้วยืนรอสัญญาณจราจร เรื่องของพ่อแม่มักจะทำให้ฉันเป็นแบบนี้เสมอ พวกท่านอาจจะทำให้ฉันเป็นคนบ้าไปแล้วก็ได้ นึกแล้วมันก็น่าตลก ตัวฉันตอนนี้ก็คล้ายๆเด็กมีปัญหาที่กำลังเรียกร้องความสนใจ
หืม?
ฉันเห็นวัตถุสีน้ำตาลวิ่งผ่านตาแวบๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองก่อนที่ความคิดทั้งหมดจะหยุดลง ภายในหัวถูกแทนที่ด้วยภาพของลูกหมาขนสีน้ำตาลกำลังวิ่งเล่นอยู่อีกฝั่งของถนน ก้อนขนฟูสีน้ำตาลเดินดุ๊กดิ๊กหางกระดิก ทำเอาฉันยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้
ว่าแต่ทำไมถึงอยู่ตัวเดียว? แม่กับพี่น้องไปไหน?
ฉันนึกสงสัยโดยที่สายตายังไม่ละไปจากลูกหมาตัวนั้น ดูท่ามันจะรู้สึกได้ถึงสายตาของฉัน นัยน์ตากลมหันมาจ้องฉันก่อนจะเห่าเสียงน่ารัก
“บ๊อก!”
น่ารัก
ฉันยิ้มเอ็นดูให้กับท่าทางนั้น เดี๋ยวข้ามถนนไปจะขออุ้มเจ้าตัวก้อนสีน้ำตาลเล่นเสียหน่อย
!?
นัยน์ตาพลันเบิกค้างเมื่อลูกหมาตัวนั้นกำลังก้าวสี่เท้าลงมาในถนน ที่ทำเอาใจเต้นดังออกมาก็เพราะสัญญาณไฟจราจรยังคงเป็นสีเขียว รถยนต์นับสิบก็ยังขับผ่านไปมา!
อย่านะ!
เอี๊ยดดด!!!
โครม!!!!
ฉันเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง ทุกอย่างมันผ่านไปในพริบตาเดียว รถคันนั้นที่ขับมาพยายามเบรกอย่างแรงแต่ก็หยุดไม่ทันจนชนลูกหมาตัวนั้นลอยกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาฉัน ร่างของลูกหมาที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูบัดนี้กลับย้อมไปด้วยสีแดงสด ไร้เสียงกรีดร้องไร้การโอดครวญ มีเพียงแต่ร่างของลูกหมาตัวนั้นที่ลอยผ่านสายตาของฉันกระแทกลงพื้นถนน ในวินาทีนั้นฉันได้ยินเสียงก้องในหัว
เจ็บจัง
แม่ไปไหน
เจ็บจังเลย
ราวกับโลกทั้งใบถูกหยุดเวลา ฉันยืนนิ่งมองร่างลูกหมาตัวนั้นที่โดนรถชนสิ่งมีชีวิตแสนน่ารักเมื่อครู่ที่ตอนนี้กลับนอนแน่นิ่ง ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นเข้ามาในอก นัยน์ตาและร่างกายของฉันเริ่มสั่น เพราะฉันมองเห็นภาพของลูกหมาซ้อนทับกับของร่างของฉันในวันนั้น !
ไม่นะ !!!!!!!!!!!!!!!
ฉันกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง ตั้งสติได้ฉันก็พุ่งไปหาลูกหมาตัวนั้นกลางถนน มือของ ฉันสั่นแต่ก็พยายามอุ้มมันขึ้น เลือดสีแดงเปรอดมือและชุดนักศึกษาของฉันแต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาห่วงอะไร ฉันพบว่าลูกหมาในมือยังหายใจรวยริน
ยังไม่ตาย
เด็กคนนี้ยังไม่ตาย
ตอนนี้ฉันสับสนไปหมดน้ำตาไหลพราก ในหัวมีแต่เสียงร้องดังก้องสะท้อนมา
ทำยังไงดี?
ช่วยด้วย
ช่วยเด็กคนนี้ด้วย
“เฮ้ยน้อง! พี่ขอโทษ!! มันเป็นอะไรไหม!?”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นเรียกให้ฉันหันมอง เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบปี เส้นผมสีดำพร้อมใบหน้าที่ดูดี แต่งกายเป็นระเบียบดูมีภูมิฐาน เขามองมาที่ฉันสลับกับลูกหมาด้วยสีหน้าร้อนรน กระแทกรถปิดแล้ววิ่งมาด้วยความรวดเร็ว ร่างนั้นก้มลงสัมผัสลูกหมาที่หายใจรวยรินในมือของฉัน ท่าทางเหมือนกำลังตรวจคลำอะไรบางอย่าง
“ยังไหว!”
ฉันสะดุ้งเมื่ออยู่ๆเขาก็พูดเสียงดัง เขาเงยหน้ามองฉันก็จะเอ่ย
“ไปกับพี่!”
ไปไหน!?
ฉันร้องถามกลับในใจทว่าภายนอกยังอ้าปากค้างด้วยความงงงวย
“ไม่ต้องห่วง ถ้าพาไปรักษาตอนนี้ยังทัน! มาเร็ว!” พี่คนนั้นลุกขึ้นยืนพรวด ก่อนจะกวักมือเรียกให้ฉันอุ้มลูกหมาขึ้นรถของเขา ฉันรู้ดีว่าไม่ควรขึ้นรถคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้ในหัวของฉันไม่คิดอะไรนอกจากให้ลูกหมาตัวนี้รอดอีกแล้ว
ปึง!
พอฉันก้าวขึ้นรถแล้วกระแทกประตูรถปิด พี่คนนั้นก็ออกรถในทันที รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดูท่าจะเหยียบมิด ฉันก้มมองลูกหมาบนหน้าตักมันยังคงหายใจรวยรินท่าทางทรมาน
อย่าตายนะ
…………………………………………………
รถยนต์เคลื่อนมาจอดบริเวณหน้าอาคารพาณิชย์สูงสามชั้น มองออกไปทางหน้าต่างรถ เห็นป้ายประดับตัวโตด้านบนปรากฏคำว่า “PET HOSPITAL”
“โรงพยาบาลสัตว์ของบ้านพี่เอง!” พี่เขาว่าก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกและเปิดประตูลงจากรถ ฉันพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูตามลงไป
“ไม่ต้องห่วงนะ พ่อพี่ต้องช่วยมันได้แน่ๆ”
พี่เขาเดินมาหาฉันพร้อมเอ่ยปลอบโยน ฉันพยักหน้ารับโดยที่มือสั่นและมีน้ำสีใสคาอยู่ที่ดวงตา อีกฝ่ายรับลูกหมาตัวนั้นไปจากมือฉันก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปในโรงพยาบาลสัตว์
ปึง!
เขาผลักประตูกระจกอย่างแรก พริบตาแรกที่ก้าวเข้ามากลิ่นที่ปะทะจมูกของฉันคือกลิ่นสาบของสัตว์เลี้ยงตามบ้าน ฉันสาวเท้าตามไปด้วยความกังวล ในอกเต้นดังระรัว พี่เขาวิ่งนำไปจนมองเห็นร่างของชายสูงอายุในชุดก้าว แล้วจึงร้องเรียกเสียงดังลั่น
“พ่อ!!”
“อ้าว? แกมี—ไปทำอะไรมาเนี่ย!?” ผู้ที่โดนเรียกว่า พ่อ คือชายสูงอายุสวมแว่นสวมชุดกาวน์สีขาว เส้นผมบนศีรษะที่เริ่มเหลือน้อยเต็มที ตอนแรกดูท่าทางแปลกใจที่เจอลูกชายของตน แต่พอเลื่อนสายตาลงมามองเห็นลูกหมาโชกเลือดก็พลันเบิกตากว้างจนหน้าตึง
“ผมไปชนหมาของน้องเขามา พ่อรีบช่วยมันเร็วๆเถอะ!” พี่เขาเร่งเร้าคล้ายจะบอกว่าไม่มีเวลาอธิบายอะไรมาก คุณสัตว์แพทย์มองฉันแวบหนึ่ง แล้วหันไปแว้ดใส่หน้าลูกชายตัวเอง
“ไอ้ลูกเวรเป๋อเหล๋อ! พาไปห้องผ่าตัดเลย เดี๋ยวพ่อตามไป แล้ว..หนูไปนั่งรอก่อนก็ได้นะ” ด่าเสร็จก็ชี้นิ้วสั่งในพลัน ก่อนจะหันมาเอ่ยบอกกับฉัน
ฉันไม่ได้พยักหน้ารับ ตอนนี้ฉันกังวลเสียจนไม่เป็นอะไรแล้ว
ให้ฉันนั่งเฉยๆทำไม่ได้หรอก
“ได้ๆ! หัวสองสีไปไหนอะพ่อ? ไอ้หัวสองสีมาช่วยงานหน่อยโว้ย!” พี่ชายผมสีดำคนนั้นอุ้มลูกหมาตรงไปห้องผ่าตัด ก่อนจะตะโกนเรียกหาใครบางคน
หัวสองสี?
ฉันนึกชะงักกับคำเรียกนั้น เพราะมันชวนให้นึกถึงใครบางคน—
ครืด!
“อยู่นี่! มาถึงก็หนวกหูเลยนะพี่เซบ มีอะ!--!? ”
เสียงเลื่อนเปิดประตูกระจกเรียกให้ฉันหันมอง พริบตานั้นนัยน์ตาพลันเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันถึงอุ่นขึ้นยามได้ยินเสียงคุ้นเคยนั้น เสียงของรุ่นพี่ที่น่ารำคาญ อีกฝ่ายเองก็เบิกตาค้างจ้องมองมาที่ฉัน ในวินาทีนั้นที่สายตาของเราสอดประสานกัน
ความบังเอิญที่ทำเอาทั่วร่างขนลุกชัน
“..น้องสายรุ้ง?”
…พี่ออกัส..?
TBC.
Talk to me
สวัสดีค่ะ เตยเองเด้อ
วันนี้มาวันสุดท้ายมากค่ะ เพราะติดสอบFinal55555555 (ร้องห๊าย)
ตัวละครหนุ่มคนใหม่มาค่ะ คุณพี่เซบ
ตาพี่เซบเท็มจะมีบทบาทยังไงน้า :P
ขอบคุณที่ติดตาม เม้น โหวตนะคะ
ขอบคุณพี่เจ้าหญิงด้วยค่ะ หนูจะรอคอมเม้นนะคะ
ห้าตอนแล้วสิ เหลืออีกสองเนอะที่จะเดินไปด้วยกัน
ทำเต็มที่จะยอมเสียใจแต่ไม่เสียดายเด็ดขาด
ฝากตัวด้วยนะคะ : )
#นี่นิยายรักหรือนิยายโชกเลือดฟะ
#ออกัสและโรงพยาบาลสัตว์ของพ่อนาง #พี่เซบซิ่งแหวกแหกโค้ง
นิดนึงละกัน พี่รู้สึกว่าการบรรยายของน้องสามารถทำให้ไหลลื่นกว่านี้ได้ อาจจะต้องฝึกเรื่องการใช้คำสันธาน คำเชื่อมประโยค เชื่อมให้ประโยคแต่ละอันมันต่อกันลื่นไหลไม่สะดุดจ้า เพราะถ้าไม่เชื่อมให้มันต่อกัน จะกลายเป็นเหมือนเอาประโยคมาวางเรียงๆ ต่อกันเฉยๆ อ่านแล้วไม่สมูทจ้ะ (แต่ตอนนี้ก็โอเคแล้วนะไม่ได้อ่านแล้วขมวดคิ้ว คือถ้าทำให้ตรงนี้มันสมูทขึ้นได้อีกก็จะยิ่งเพอร์เฟกจ้า ^^)
อีกนิดคือ เพราะนางเอกไม่พูด เรื่องจึงต้องดำเนินไปด้วยการบรรยายของนางเอกซะส่วนใหญ่เนาะ พอตอนมันสั้นเลยอาจทำให้เรื่องไม่ค่อยเดิน อันนี้แนะเผื่อไว้สำหรับตอนต่อๆ ไป ต้องกะ timing กับโครงเรื่องแต่ละตอนให้ดี ใส่มาให้เต็ม อย่าให้สั้นไปหรือยาวไป เน้นเนื้อๆ ไปเลย ด้วยความที่พลอตเราไม่ได้มีปมลึกลับอะไร เราต้องเน้นที่ story จ้ะ ^^
สู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้น้า รออ่านตอนต่อไปเลย สนุกๆ~