เชื่อไหมคะ? ว่ารักของฉันไม่ต้องใช้เสียง
-5-
โลกไม่ได้กลมหรอกนะ
“น้องโอเครึยัง?”
พี่ออกัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใยจนรู้สึกได้ ฉันก้มหน้านิ่งและไม่ได้ตอบคำถามนั้น อีกฝ่ายยื่นขวดผ้าขนหนูมาให้ซับคราบเลือดบริเวณเสื้อและกระโปรง ชวนให้นึกถึงภาพในวันแรกที่เราได้พบกัน
“น้องไม่ต้องกลัวนะ เชื่อใจพ่อพี่ได้เลย”
“…”
ฉันกำผ้าขนหนูในมือแน่น ตอนนี้ฉันกับพี่ออกัสนั่งรออยู่ตรงหน้าห้องผ่าตัด ฉันพึ่งรู้ในวันนี้ว่าบ้านพี่ออกัสเป็นโรงพยาบาลสัตว์ ที่พี่เขาอุ้มลูกหมาหายไปบ่อยๆแสดงว่าคงจะมาหาที่นี่ และคนที่ชนลูกหมาตัวนั้นก็คือ พี่เซบเท็ม พี่ชายของพี่ออกัสเอง
บางทีโลกก็กลมไปไหม?
ฉันนึกสงสัยในความบังเอิญระหว่างเรา ก่อนในหัวจะฉายภาพร่างของลูกหมาที่ถูกชนต่อหน้าต่อตาขึ้นมาอีกครั้ง เลือดสีแดงที่หนองเจิ่งไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวเรื่องเตะจมูกชัดเจนเหมือนกับในวันนั้น ยิ่งคิดร่างกายมันก็สั่นอย่างอดไม่ได้ ภาพที่เห็นราวกับสะท้อนภาพอดีตของฉันซ้ำอีกครั้ง ร่างที่ถูกชนจนฉีกขาด อวัยวะภายในที่ถูกกระแทกจนทรมานไปทั้วร่าง มันอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามเลย..ว่าจริงๆแล้ว..
ตัวฉันในตอนนั้น..ไม่กลัวความตายจริงๆเหรอ?
เสียงในหัวที่พร่ำบอกว่า เจ็บจังเลย อาจจะเป็นเสียงของตัวฉันในอดีตรึเปล่านะ เจ็บทั้งโดนเมินเฉย เจ็บจนร้องไห้ เจ็บที่ร่างโดนกระแทกอย่างแรงและลอยเคว้งคว้างในอากาศ เจ็บที่กรีดร้องแทบบ้าแต่ก็ไม่มีใครหันมามอง
ความจริงฉันอาจจะเป็นแค่เด็กขี้ขลาดที่กลัวตาย..ที่อยากตายก็แค่อยากจะประชด ฉันก็เหมือนกับลูกหมาตัวนั้นถ้าวันนั้นไม่มีใครเห็นฉัน คนชนหนีไปโดยไม่รับผิดชอบ ไม่มีใครพามาโรงพยาบาล คงได้แต่นอนจมกองเลือด และตายไปพร้อมความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น มันบ้าบอชัดๆ ทั้งๆที่อยากตายเพราะไม่อยากเจ็บปวด แต่ตอนตายมันก็เจ็บอยู่ดี
เจ็บจังเลย
หมับ
“!?”
ฉันสะดุ้งตัวเมื่อความอบอุ่นเข้าสัมผัสที่มือ หันมองเห็นเจ้าของฝ่ามือที่กำลังคลี่ยิ้มบางส่งให้ฉัน
พี่ออกัส..
“ไม่ต้องกลัวนะ มันต้องไม่เป็นอะไร” คำปลอบโยนที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กลับชวนให้อบอุ่นใจ พี่ออกัสกุมมือของฉันแน่น น่าแปลกที่ความหวาดกลัวในหัวใจมันค่อยๆลดลง เป็นอีกครั้งที่ผู้ชายบ้าบอคนนี้สามารถทำเรื่องให้ฉันประหลาดใจได้
ความอบอุ่นกำลังปลอบประโลมหัวใจที่หนาวเหน็บ
“ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่ตรงนี้”
พร้อมฝ่ามือที่กุมมือของฉันแน่น ฉันไม่ได้โวยวายหรือสะบัดมือของอีกฝ่าย อาจจะเพราะหัวใจที่แสนอ่อนแอในตอนนี้มันกำลังต้องการที่พึ่งพิง พี่ออกัสไมได้เอ่ยอะไรต่อ มีเพียงความอบอุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือ ไม่ต้องมีคำพูด ไม่ต้องมีเสียงอะไร แต่กลับไม่มีความอึดอัดระหว่างเรา ฉันไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะได้มาพบเจอผู้ชายที่แสนดีขนาดนี้ วินาทีนั้นฉันเผลอขยับยิ้มบางด้วยความซาบซึ้งใจ
ขอบคุณนะคะ พี่ออกัส
“!”
“?” ฉันเอียงคออย่าฉงน เพราะอยู่ๆพี่ออกัสก็ทำหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง มองหน้าฉันทำไม? หน้าฉันมีอะไรติดงั้นเหรอ แล้วทำไมหน้าพี่เขาถึงขึ้นสีแดงล่ะ?
ห้องนี้ก็ไม่ร้อนนี่?
ฉันจ้องหน้าเขาพยายามจะสื่อประมาณว่า เป็นอะไรเหรอ? แต่พอฉันจ้องพี่เขาก็ยิ่งหลบตาพร้อมชักมือของตัวเองออก ฉันมองท่าทางนั้นอย่างไม่เข้าใจ หน้าพี่ออกัสแดงจนจะเป็นมะเขือเทศอยู่แล้ว
พี่ออกัสหันหน้าหนีไปอีกทาง ฉันเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ..พี่เขาเป็นอะไรของเขาเนี่ย? ฉันหรี่ตาจ้องคนที่ทำท่าทางมีพิรุธก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความยื่นให้พี่เขา
‘พี่เป็นอะไรคะ? หน้าแดงทำไม’
ฝ่ายตรงข้ามดูท่าจะตกใจกับคำถามที่ตรงประเด็นของฉัน ก็ฉันไม่เข้าใจนี่นาว่าอยู่ๆเขาเป็นอะไรขึ้นมา พี่ออกัสเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาเลิกลั่กเหมือนคนมีความลับ มองพี่เขาชั่งใจอยู่นานแล้วจึงตอบคำถามของฉันด้วยน้ำเสียงสั่น
“ก..ก็..”
ก็?
“ก็..น้องสายรุ้งไม่เคยยิ้มให้พี่เห็นเลยนี่ครับ เมื่อกี้เห็นยิ้มให้..พี่ก็เลยตกใจ…” พี่ออกัสเอ่ยพร้อมใบหน้าสีแดงฉาน มือขวาขยับเกาแก้มท่าทางเก้อเขิน ฉันมองก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
แต่แค่นี้เนี่ยนะ?
“น่ารัก”
หืม?
คำศัพท์ที่ไม่ค่อยคุ้นชินลอยเข้าโสตประสาท ฉันเงยหน้ามองอีกฝ่าย พลันใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยามประสานสายตาเข้ากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตาที่เหมือนหมาป่าจะกลืนกินเหยื่อทำเอาฉันชะงัก
“น่ารักมากเลยนะ ตอนที่น้องยิ้มน่ะ”
ห๊ะ?
ฉันเบิกตากว้างจนแทบถลนออกมา ร่างกายนี่แข็งทื่อขยับไม่ได้ ยิ่งสายตาของพี่ออกัสที่มองตรงมาคล้ายจะสื่อว่าพูดออกมาจากใจจริง ยิ่งทำให้อุณหภูมิบนหน้าของฉันเพิ่มสูงขึ้น
เดี๋ยว..อะไรเนี่ย?
คำพูดของพี่ออกัสทำเอาฉันอยากจะวิ่งหนี แต่ร่างกายมันกลับไม่ยอมขยับตามที่ใจต้องการ ร่างของฉันถูกสายตาของคนตรงหน้าสะกดเอาไว้ ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา แอร์ภายในโรงพยาบาลไม่ได้ช่วยอะไร กลับกันอุณหภูมิในร่างกายกลับเพิ่มขึ้นจนเหงื่อชุ่มที่ฝ่ามือ ตอนนี้ฉันแยกไม่ออก..
ตึก ตัก ตึก ตัก
แยกไม่ออกว่าเสียงหัวใจที่กำลังดังนี้ เป็นของใครกันแน่..หรือว่ามัน..
“….”
จะเป็นเสียงหัวใจของพวกเราที่ดังเป็นจังหวะเดียวกัน
“น้องสายรุ้ง..”
“ผ่าตัดเสร็จแล้ว!!!!”
ครืดดด!!!
เสียงตะโกนดังลั่นโรงพยาบาล ทำลายบรรยากาศชวนใจเต้นให้หายไปในพริบตา ก่อนจะตามมาติดๆด้วยเสียงกระชากประตูเลื่อนให้เปิดอย่างแรง ปรากฏร่างของชายหนุ่มผมสีดำสนิทก้าวออกมา ฉันรีบสะบัดหน้าหนีจากพี่ออกัสในทันที พี่เซบเท็มขยับมือเท้าเอวพร้อมหันมองซ้ายขวา พอเห็นฉันเขาจึงเดินตรงมาหาทันที
“ดีใจด้วยนะ มันปลอดภัยแล้วนะน้อง” พี่เซบเท็มพูดกับฉันพร้อมรอยยิ้มกว้าง คำพูดนั้นทำเอาฉันยิ้มรับด้วยความดีใจ โล่งอกไปที..โชคดีจริงๆที่ลูกหมาตัวนั้นปลอดภัย
“บอกแล้วว่าพ่อพี่เก่ง ฮ่าฮ่า เข้าไปดูมันได้นะ” อีกฝ่ายว่าพร้อมชี้นิ้วไปด้านในห้องผ่าตัด ฉันรีบพยักหน้าขอบคุณก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในห้องนั้น ดูเหมือนว่าฉันจะเผลอมุ่งความสนใจไปที่ลูกหมาตัวนั้นจนลืมใครบางคนไป
“อ้าว ออกัสเป็นไรอ่ะ? ทำหน้าเหมือนโดนใครทุบมาเลย” เซบเท็มมองสายรุ้งที่วิ่งไป ก่อนจะหันมาเจอน้องชายของตัวเองทำหน้านิ้วคิ้วขมวดเหมือนโกรธเขามาสิบชาติสิบปาง
“ขัดจังหวะโคตรอ่ะพี่เซบ”
ออกัสพูดทิ้งท้ายน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะกระทืบเท้าเดินตามสายรุ้งไป เซบเท็มทำหน้างงไปหลายวิกับคำพูดนั้น ก่อนคุณพี่ชายจะเผยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อรู้ทันความคิดน้องชายของตน เซบเท็มพึมพำอย่างนึกสนุก
“หืม..เด็กของออกัสเหรอ?”
ฉันเลื่อนประตูเปิด เดินเข้ามาในห้องผ่าตัด สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นแอลกฮอล์ ตัวฉันพึ่งจะเคยมาโรงพยาบาลสัตว์เป็นครั้งแรกต้องเผลอกลืนน้ำลายเล็กน้อยกับกลิ่นที่ฉุนเตะจมูก พอแหวกม่านเข้าไปถึงเจอลูกหมาตัวนั้นนอนอยู่บนเตียง โดยมีคุณพ่อของพี่ออกัสยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของลูกหมาดูดีขึ้นกว่าตอนแรก รอบตัวของมันเต็มไปด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาด แต่ยังไงก็ดูสบายตากว่าคราบเลือด ฉันเดินเข้าไปหามันใกล้ๆ
“มันโอเคแล้วล่ะ เหลือแค่รอเวลาให้แผลหายสนิท ไม่ต้องห่วงนะหนู” เพราะมีผ้าปิดปากเสียงของคุณสัตวะแพทย์จึงอู้อี้ไปบ้าง แต่ฉันได้ยินมันชัดเจนทุกคำ รอยยิ้มที่ถูกเรียกมาด้วยความรู้สึกยินดี ฉันเอื้อมมือไปลูบลูกหมาตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ด้วยความทะนุถนอม
โชคดีจัง..ที่ไม่เป็นอะไร..
“ค่ารักษาลุงไม่เอานะ ขอไถ่โทษแทนเจ้าลูกชายที่ขับรถซิ่งก็แล้วกัน” ฉันเบิกตากว้างก่อนจะรีบก้มหัวขอบคุณ ความจริงพี่เซบเท็มก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว เพราะลูกหมาตัวนี้เดินลงมาโดยไม่รู้เรื่องเสียมากกว่า
“เห็นตะกี้ หนูรู้จักกับออกัสเหรอ?” อีกฝ่ายถามถึงลูกชายของตัวเองต่อ ฉันนิ่งไปแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ พวกเราถ้าใช้คำว่ารู้จักก็คงถูกต้องแล้วสินะ
“หืม?..อ้าว ออกัสเป็นอะไรแกเนี่ย? ทำหน้าเหมือนฆาตกร” เสียงทักของอีกฝ่ายทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก เพราะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมใครบางคนไป
“เปล่า..” น้ำเสียงของพี่ออกัสแอบดูหงุดหงิดจนน่ากลัว
“เรียกว่าลุงก็ได้นะ ว่าแต่..หนูเป็นแฟนออกัสเหรอ? ลูกชายลุงมันโง่ๆ ดูไม่เหมาะกับคนสวยแบบหนูเลยนะ” คำพูดแสนตรงโดยไม่ไว้หน้าลูกชายสุดหล่อดีกรีเดือนคณะของอีกฝ่ายทำเอาฉันยิ้มขำ ก่อนจะชะงักเพราะประโยคแรกมันมีศัพท์แปลกๆโผล่เข้ามา
แฟน?
ใครแฟนพี่ออกัสนะ?
“พ่อครับ!!”
น้ำเสียงของคนที่มักจะอารมณ์ดีเสมอ ตอนนี้กำลังต่ำลงจนไม่คุ้นชิน ท่าทางกำลังหงุดหงิดกับคำแซวของพ่อตัวเอง คุณพ่อของพี่ออกัสเบ้ปากก่อนจะเอ่ยแซว
“แหม ทำหวง แซวหน่อยไม่ได้”
“พ่อ! น้องเขาไม่ใช่แฟนผมนะ! พูดแบบนี้มันเสียมารยาท!” พี่ออกัสโวยวาย ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งเพราะตอนนี้สติโดนแช่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว
“อ้าวเหรอ? ลุงขอโทษๆ ว่าแล้วคนสวยๆแบบหนูไม่เอาคนแบบออกัสมันหรอก” ไม่มีท่าทีสำนึกผิดแล้วยังไม่ลืมด่าลูกชายตัวเองซ้ำอีกรอบ ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆรับคำ ดูท่าคุณลุงจะเป็นคนตลกไม่น้อย
“ว่าแต่หนูพูดน้อยนะเนี่ย ลุงยังไม่ได้ยินเสียงเลย” นายสัตวะแพทย์เกาแก้มเล็กน้อยก่อนจะดึงหน้ากากอนามัยออก คำถามนั้นทำเอาฉันสะดุ้ง เพราะเหตุการณ์วุ่นวายทำให้ฉันลืมอธิบายไปเลยว่าฉันพูดไม่ได้
“…”
ร่างของคนผมสองสีเงียบลง สายตาเศร้าของพี่ออกัสที่มองมาทำเอาฉันนิ่งอีกครั้ง ดูเหมือนพี่เขาจะไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฉัน อาจจะเพราะกลัวฉันจะรู้สึกไม่ดี..
ฉันรีบพยักหน้า สื่อว่าให้บอกอธิบายเรื่องของฉันได้ พี่ออกัสเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วไปนาน คุณพ่อของพี่ออกัสเองก็มองฉันสลับกับลูกชายของตัวเองอย่างงงงวย สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ประมาณว่า ‘อะไร มีอะไรกันเหรอ? เล่าพ่อบ้างสิ’ เลยล่ะ
ในที่สุดพี่ออกัสก็ถอนหายใจก่อนจะพูด
“คือ…น้องเขาเป็นใบ้น่ะพ่อ..แต่ประสาทรับรู้ด้านการฟังยังปกติ…”
สิ้นคำกล่าวจบคุณลุงก็นิ่งไปสามวิก่อนบริเวณขอบตาเต็มไปด้วยริ้วรอยจะพลันเบิกกว้าง
““จริงป่ะ?””
เสียงนั้นไม่ใช่แค่เสียงของคุณลุงเพียงคนเดียว แต่มีเสียงของใครอีกคนดังมาจากด้านหลังด้วย เอ่ยถามแทบพร้อมกัน หันมองคนที่พึ่งเข้ามาได้ยินเรื่องเชื่อตกตะลึงกำลังยืนอึ้ง พี่เซบเท็มเบิกตากว้างก่อนจะจ้องมาที่ฉัน ฉันกลืนน้ำลายเมื่อได้รับสายตากดดัน แล้วจึงพยักหน้ารับ
เห็นดังนั้นคุณลุงยิ่งทำหน้าเหวอหนักกว่าเดิม
“เอ่อลุงขอโทษนะ..” เสียงของอีกฝ่ายแผ่วอย่างรู้สึกที่ตนถามอะไรมากมายออกไป ฉันรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะก้มหน้าลอบยิ้มเศร้าให้กับความคิดของตัวเอง
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ..ยังไงฉันก็โกหกนี่นา
“งั้นเหรอ..ก็ว่าทำไมตอนมากับพี่ น้องไม่พูดอะไรเลย” พี่เซบเท็มพึมพำเหมือนนึกขึ้นได้
“แล้วทำไมแกไม่สงสัยเลยห๊ะ? เด๋อ!” คุณลุงแทรกขึ้นมา
“ก็ตอนนั้นมันรีบป่ะพ่อ!? ผมก็นึกว่าน้องเขากำลังตกใจจนพูดไม่ออก แถมตอนนั้นไม่ได้มีเวลามาสนใจด้วย!” พี่เซบเท็มหันไปแว้ดกลับในทันทีที่โดนว่า ฉันยิ้มขำกับการตะโกนโหวกเหวกใส่กันที่เป็นสีสันชวนน่าหลงใหล อดเหลือบมองคนข้างกายไม่ได้ว่าที่พี่ออกัสพูดมากคงเป็นกรรมพันธุ์ที่มีกันทั้งบ้านแน่ๆ
“พ่อกับพี่เล่นอะไรเนี่ย? เป็นเด็กไปได้..” ได้ยินเสียงพี่ออกัสบ่นพึมพำพร้อมมองคนที่โตแต่ตัวกำลังเถียงกัน
“โอ๊ย! เถียงกับแกแล้วเหนื่อย พ่อไปตรวจศรีทวารวดีต่อดีกว่า” คนอายุมากสุดดูจะหมดอารมณ์เขาเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะสะบัดเสื้อกาวน์เดินออกจากห้องไป พี่เซบเท็มนิ่งไปก่อนจะหันมาหาพี่ออกัส
“ศรีทวารวดีคือใครฟะ?” พี่เซบเท็มถาม
“แมวสีสวาทของเจ๊ตังเม เจ้าของร้านส้มตำหน้าปากซอย” พี่ออกัสยักคิ้วตอบคำถาม
“ชื่อแบบว่า.. เจ๊แกอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มากไป?”
“ผมก็พึ่งบ่นกับพ่อตะกี้ พ่อบอกว่าเจ๊แกชอบเมามะละกอ พูดเพ้อถึงชาติที่แล้ว”
อุ๊บ
ฉันหลุดหัวเราะในใจให้กับบทสนทนาหน้าตายของสองพี่น้องตรงหน้า ทั้งสองคนก็หน้าตาดีเสียเปล่าดันทำหน้าตลกกันซะทั้งคู่ พี่เซบเท็มเดินไปลูบหัวลูกหมาตัวนั้นสองสามทีก่อนจะหันมาพูดกับพี่ออกัสอีกรอบ
“วันนี้นายกลับบ้านก็ได้นะ เดี๋ยววันนี้พี่อยู่ช่วยพ่อเอง ช่วงนี้พ่อบอกว่านายอยู่ช่วยร้านจนไม่ได้ไปมหาลัยเลยนี่”
คำพูดของที่เซบเท็มทำให้ฉันหันมองคนข้างๆ งั้นที่ฉันไม่เจอพี่เขาก็เพราะ..พี่เขามาช่วยงานที่บ้าน? ฉันนึกเชื่อมต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่ลงล็อคพอดี ไม่รู้ว่าทำไมในอกมันถึงรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
แสดงว่าพี่ออกัสไม่ได้หลบหน้าฉัน..งั้นสินะ..
เดี๋ยว..แล้วฉันดีใจทำไม? (.__. )
เพราะกำลังคิดเองเขินเองเป็นบ้าอยู่คนเดียว ฉันจึงไม่รู้สึกถึงสายตาเจ้าเล่ห์ของใครบางคนที่กำลังมองมาที่ฉัน
“งั้นพี่ไปช่วยงานพ่อก่อนล่ะ นายดูน้องเขาดีๆนะ” พี่เซบเท็มว่าก่อนจะเดินไปทางประตู
“รู้แล้วน่า (-_-) ”
“งั้นไว้เจอกันนะครับ น้องสายรุ้ง”
ปิ๊ง
พี่เซบเท็มเอ่ยลาฉันพร้อมรอยยิ้มทะเล้น คนหล่อเหลาจะขยิบตาให้ฉันหนึ่งที ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆพร้อมก้มศีรษะขอบคุณอีกฝ่าย พอพี่เซบเท็มออกไปทั้งห้องจึงเหลือแค่พวกเรา..สองคน..
“…”
“…”
ไร้ซึ่งบทสนทนาจนได้ยินเสียงแอร์ลอดเข้ามา คราวนี้ความเงียบของพวกเรามันน่าอึดอัด..ฉันล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากระโปรงออกมาก่อนจะพิมพ์อะไรบางอย่างยื่นให้พี่ออกัส
“?”
‘โลกกลมดีนะคะ’
โลกกลม..จนเราบังเอิญเจอกันอีกแล้ว..
“…”
พี่ออกัสนิ่งไปเมื่ออ่านข้อความนั้นจบ ฉันอยากจะพุ่งเอาหัวโขกกำแพงที่พิมพ์อะไรแบบนั้นออกไป มันแปลกมาก ฉันไม่เคยชวนใครคุยแบบนี้มาก่อนและไม่เคยคิดด้วย แต่ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ควรจะพูดอะไรสักอย่างออกมา.. สักพักหลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดพี่ออกัสก็คลี่ยิ้มบางตอบกลับ
“อ่า..พี่ว่าจะโกรธเราสักหน่อย..ร้ายกาจจริงๆน้า แล้วแบบนี้พี่จะโกรธลงได้ยังไง..” พี่เขาพึมพำ ฉันกะพริบตาสื่อว่าไม่ค่อยเข้าใจ
‘โกรธอะไรเหรอคะ?’ พอฉันถามตรงๆพี่ออกัสก็เม้มปากแล้วมองฉันด้วยสายตาประมาณว่า ‘เด็กซื่อบื้อ’
“..ก็เล่นยิ้มให้พี่กับพ่อตั้งเยอะ แล้วกับพี่พึ่งจะยิ้มให้วันนี้เองนะ…” เขาพึมพำเสียงเบาจนฉันต้องขมวดคิ้ว เอาตามตรงฉันฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไร อีกทั้งพี่ออกัสยังทำหน้าเหมือนเด็กโดนแย่งของรักงั้นแหละ
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ลูกหมาของสายรุ้งเหรอ? “ พี่ออกัสถอนหายใจ ก่อนจะดึงประเด็นไปที่ลูกหมาขนสีน้ำตาลที่นอนอยู่บนเตียง
‘ไม่ใช่ของฉันค่ะ ฉันเจอมันที่ข้างถนน’ ฉันพิมพ์ตอบ
“งั้นน้องจะเอายังไงกับมัน จะเลี้ยงมันไหม?” ฉันพยักหน้ารัวๆให้กับคำพูดนั้น ตอนนี้ฉันรู้สึกอยากจะดูแลลูกหมาตัวนั้นจนกว่ามันจะหายดี พี่ออกัสทำท่านึกอยู่ครู่ก่อนจะถามต่อ
“สายรุ้งอยู่หอพักใช่ไหมล่ะ เขาอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้เหรอ?”
ไม่ได้..
ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ ลืมคิดไปเลยว่าหอพักของฉันห้ามเลี้ยงสัตว์ จะให้พามันกลับบ้านพ่อแม่ของฉันก็คงไม่อนุญาตแน่ๆ ฉันเม้มริมฝีปากอย่างคิดหนัก ในตอนนั้นเสียงของพี่ออกัสก็เอ่ยแทรกมา
“งั้นฝากเลี้ยงไว้ที่นี้ไหม น้องจะได้มาหามันเมื่อไหร่ก็ได้ไง”
นัยน์ตาของฉันทอประกายด้วยความหวังยามได้ยินข้อเสนอนั้น ก่อนฉันจะนิ่งไปเมื่อคิดได้ว่าถ้าฝากมันเอาไว้ที่นี้ จะทำเรื่องลำบากให้คนตรงหน้ารึเปล่า?
‘จะไม่เป็นการรบกวนเหรอคะ?’
“ไม่ๆ ไม่รบกวนหรอก ยังไงที่โรงพยาบาลสัตว์ก็มีห้องกรงสำหรับหมาแมวที่มาฝากรักษาอยู่แล้ว ขอยืมเลี้ยงมันสักกรงก็ไม่เป็นไรหรอก” พี่ออกัสรีบส่ายหน้าพอเห็นข้อความบนมือถือ ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการรบกวนเขาแน่ๆ ฉันก้มหน้าอย่างชั่งใจก่อนจะหันมองลูกหมาตัวนั้นอีกครั้ง
แต่ยังไงฉันก็นึกหนทางอื่นไม่ออกแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้ฉันจึงขยับนิ้วพิมพ์ข้อความ
‘ขอรบกวนด้วยนะคะ’
“ยินดีครับ J ”
“เอาล่ะอยู่ในนี้นะ”
พี่ออกัสพึมพำก่อนจะอุ้มลูกหมาตัวนั้นเข้าไปในกรง เจ้าตัวเล็กขยับเท้าเล็กน้อยก่อนจะขดตัวนอนต่อ ท่าทางน่าเอ็นดูจนฉันยิ้มตาม ในห้องนี้เป็นห้องของหมาแมวที่มารักษาแล้วฝากเอาไว้ น่าแปลกที่ในห้องนี้กมีลิ่นค่อนข้างสะอาดจนแทบไม่เหมือนห้องของสัตว์เลี้ยงเลย ดูท่าจะดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี
“ให้มันนอนที่นี้แหละ เดี๋ยวพี่เอาข้าวน้ำมาให้ ยังไงวันไหนน้องว่างๆก็มาหามันได้นะ” ฉันพยักหน้ารับ ภายในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ครอบครัวของพี่ออกัสช่วยเหลือฉันในครั้งนี้มาก ทั้งพี่เซบเท็มทั้งคุณลุง..ทำเอาฉันนึกรู้สึกผิดกับเรื่องที่เคยเมินเฉยพี่ออกัสไปเลย
“เพราะงั้น..” พี่ออกัสเม้มปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ
“?”
“ถ้าอยากมาหามัน สายรุ้งต้องมาที่นี้บ่อยๆรู้ไหม” พูดน้ำเสียงเหมือนสั่งสอน ฉันนิ่งไปก่อนจะพยักหน้างงๆ พอเห็นดังนั้นพี่ออกัสก็ยิ้มกว้าง
“จริงเหรอ!?”
พี่เขาดีใจอะไร?
(คนเขียน : สายรุ้งเขาจะมาหาหมาค่ะคุณพี่ออกัส แหมมม ทัมมาดีใจ(แซว))
“แล้ว..สายรุ้งหายโกรธพี่รึยังครับ?..” ฉันกระพริบตาเมื่อได้ยินคำถามนั้น พี่ออกัสเปลี่ยนสีหน้าเป็นหมาหง่อยฉับพลัน ฉันกลั้นขำกับใบหน้าที่เหมือนเด็กง้องอน
จะให้โกรธต่อมันก็..นะ..
‘ไม่โกรธแล้วล่ะค่ะ’
อีกฝ่ายก้มอ่านข้อความของฉันในทันทีที่พิมพ์เสร็จ พี่เขาดูอึ้งไปก่อนจะหันมามองหน้าฉันเพื่อขอคำยืนยัน ฉันจึง ได้แต่ยิ้มแห้งให้ พี่ออกัสเหมือนตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มเห็นฟันขาวพร้อมกำมือแน่น
“เยส!!” ว่าแล้วคนขี้โวยวายก็ร้องตะโกนอีกครั้ง พี่ออกัสชูมือขึ้นฟ้าพร้อมกระทืบเท้าสองสามที บางครั้งก็นึกสงสัยว่าคนตรงหน้าอายุมากกว่าฉันจริงๆใช่ไหม?
ฉันก้มมองนาฬิกาข้อมือ สมควรแก่เวลาที่ฉันจะกลับหอพักเสียที
‘ฉันขอกลับก่อนนะคะ’
“อ้าว กลับแล้วเหรอ? ให้พี่ไปส่งไหม?” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ แค่นี้ก็รบกวนพี่เขาจะแย่อยู่แล้ว พี่ออกัสยู่ปากเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมแพ้
“งั้นกลับดีๆนะครับ” ฉันพยักหน้ารับและขอบคุณสำหรับคำอวยพรนั้น ก่อนจะหันยิ้มบอกลาลูกหมาที่อยู่นอนอยู่ในกรง ตอนที่กำลังจะก้าวออกไปจากห้องนั้นเองเสียงเรียกของคนข้างหลังก็รั้งเอาไว้
“น้องสายรุ้ง”
ฉันหันมองคนเรียกด้วยความสงสัย น้ำเสียงของพี่ออกัสดูทุ้มต่ำลง
“โลกไม่ได้กลมหรอก”
“...”
“แต่อะไรบางอย่างต่างหาก ที่ดึงเราเข้ามาหากัน J ”
………………………………………………….
ตอนนั้นฉันก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเดินกลับมาถึงหอพักได้ยังไง รู้แค่ว่าตอนได้ยินคำพูดนั้นเหมือนมีอุกกาบาตลูกใหญ่พุ่งชนหัวของฉันจนสติระเบิดไปคนล่ะทาง
คำพูดที่ชวนคิดลึก?
อะไรบางอย่างคืออะไร?
แต่พี่ออกัสเขาก็ทำตัวเหมือนเดิม จนฉันนึกด่าตัวเองว่าไปนั่งคิดมากคนเดียวทำบ้าอะไรและเพื่อใคร
หลังจากวันนั้นเองก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ที่ฉันฝากฟูฟูไว้กับทางโรงพยาบาลสัตว์ของพี่ออกัส อ่อ..ฟูฟูคือชื่อของลูกหมาตัวนั้นที่ฉันกับพี่ออกัสช่วยกันตั้งขึ้นเอง จะให้เรียกลูกหมาไปตลอดมันก็แปลกๆยังไงก็เลี้ยงมันแล้ว พวกเราเลยช่วยกันคิดชื่อ ฉันไปหาฟูฟูที่โรงพยาบาลสัตว์ทุกวันเลยและแน่นอนว่าก็เจอพี่ออกัส มีบางครั้งถึงจะเจอพี่เซบเท็ม
เมื่อเช้าขอเรียกว่าซวยมาก เพราะมีคุณป้าทำความสะอาดที่เทน้ำเสียลงมาเกือบโดนหัวของฉัน โชคดีที่หลบทันเลยไม่ต้องวิ่งกลับหอไปเปลี่ยนชุด วันนี้ทั้งวันฉันไม่มีตารางเรียนจึงมานั่งทบทวนบทเรียนในร้านกาแฟ ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 4โมงกว่าๆ ในขณะที่กำลังจัดเก็บเอกสารเตรียมไปโรงพยาบาลสัตว์เหมือนเคยทุกเย็น หน้าของรุ่นพี่คนเดิมก็ลอยเข้ามาในหัว ไม่รู้ทำไมต้องเผลอใจเต้นทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้านั้น เอาตามตรงฉันเองก็ไม่ได้คิดจะหลีกหนีพี่เขาอีกแล้ว..ทั้งที่มันควรจะจบแค่นั้น..
แต่ในอกมันกลับมีอะไรบางอย่าง..
“อ้าว น้องสายรุ้ง” เสียงหวานของใครบางคนเรียกให้ฉันเงยหน้าจากกระเป๋า พบเจ้าของใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มบาง
พี่เบาหวิว
รุ่นพี่ปี4 คนแรกที่พูดคุยกับฉันในวันแรกของการรับน้อง
“มาอ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ? ขยันจังนะ” พี่เขาเอ่ยต่อ ฉันขยับยิ้มบางรับก่อนจะก้มศีรษะให้ นอกจากพี่ออกัสก็มีแค่พี่เบาหวิวที่มาทักทายฉันบ้าง อาจจะไม่ได้บ่อยเท่าพี่ออกัสแต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่พอดี เวลาฉันไม่เข้าใจอะไร พี่เบาหวิวก็มักจะหาเอกสารอธิบายเสริมมาฝากเสมอ
“แล้วนี่จะไปไหนต่อเหรอ?” เธอถามเมื่อเห็นว่าฉันเก็บของเข้ากระเป๋าจนหมด ฉันหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความตอบคำถามนั้น
‘เดี๋ยวไปหาพี่ออกัสค่ะ’
จะไปหาฟูฟู
ไม่รู้ทำไมพอเห็นคำตอบของฉันพี่เบาหวิวก็หุบยิ้มลง พี่เบาหวิวเงียบอยู่นานเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วอยู่ๆพี่เขาก็ถามฉัน
“สนิทกับออกัสเหรอ?”
ฉันนิ่งไป..ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามแบบนั้น
‘ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้นหรอกค่ะ..’
“เหรอ..” พี่เบาหวิวนิ่งเสียจนฉันเริ่มกังวลใจตาม ทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่ดีงั้นแหละ..
“สายรุ้ง” อยู่ๆพี่เบาหวิวก็เงยหน้าขึ้นมองตาฉัน นัยน์ตาของเธอจริงจังเสียจนฉันนึกหวั่นใจในเรื่องที่เธอกำลังจะเอ่ยต่อไปนี้
“ความจริง..เราไม่ต้องเชื่อพี่ก็ได้นะ..แต่พี่แค่อยากให้รู้..” เธอขมวดคิ้วจนใบหน้าน่ารักดูบูดบึง พี่เบาหวิวเม้มริมฝีปากดูลำบากใจอยู่นานจนสุดท้ายเธอก็ถอนหายใจและเอ่ยออกมาเรื่อยๆ
“ออกัสไม่ใช่คนดีขนาดนั้น..”
ไม่รู้ทำไมคำพูดนั้นทำเอาสมองชาราวหยุดประมวลผลไป
“…. ”
“ออกัสเปลี่ยนแฟนบ่อยมาก และทุกครั้งที่เขาเบื่อผู้หญิงคนไหน เขาก็จะส่งต่อให้พี่ชาย ฉันได้ยินว่าพี่ชายของเขาก็เจ้าชู้ไม่ต่างกัน ” ฉันเบิกตากว้างในหัวนี่คำว่า ไม่จริง ลอยเข้ามาเต็มๆเพราะในหัวของฉันมีแต่ภาพคนที่โตแต่อายุตะโกนโหวกเหวก
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าออกัสเป็นเดือนคณะ?” พี่เบาหวิวถามออกมา ฉันพยักหน้ารับช้าๆ
“เพราะเป็นเดือนคณะ ออกัสจึงมีแฟนคลับจำนวนมาก และมีกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างหัวรุนแรงทำร้าย..” พี่เบาหวิวถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
“พวกเธอจะคอยรุมกลั่นแกล้งทุกคนที่เข้าใกล้ออกัส” คำพูดนั้นทำเอาฉันนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า อยู่ๆก็มีน้ำถูกเทมาจากบนอาคาร ตอนแรกฉันนึกว่าอาจจะเป็นคุณป้าทำความสะอาดคนประจำ..แต่ปกติคุณป้าจะเทน้ำทิ้งช่วงเย็นๆที่ไม่มีคนไม่ใช่เหรอ?
ไม่จริงน่า..
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม คนเรามีหน้ากากกันทุกคนนั้นแหละ ทั้งคนที่ยิ้มเสมอตลอดเนื้อแท้อาจจะเป็นคนที่ขี้แงร้องไห้ตลอดเวลา แม้แต่ตัวพี่เองก็มีหน้ากากที่ต้องใช้ในยามจำเป็น”
“…”
“มันแล้วแต่ว่าคนเราเลือกจะถอดหน้ากากของมาตอนไหน..” สีหน้าของพี่เบาหวิวเต็มไปด้วยความลำบากใจกับเรื่องที่เอ่ยออกมา
“พี่ขอโทษนะที่มาพูดแบบนี้..สายรุ้งไม่ต้องเชื่อพี่ก็ได้นะ แต่พี่เป็นห่วงเราเพราะเห็นช่วงนี้เราสนิทกับออกัส..” สิ้นคำกล่าวพี่เบาหวิวพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อาจจะฟังดูแย่..แต่พระเอกในนิยายมันหาได้ยากในโลกจริงนะ”
……………………………………………
สมองของฉันชาหนึบไปหมดหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของพี่เบาหวิว ฉันคิดว่าฉันเข้าใจเรื่องที่เธอพูด แน่นอนว่าคนเราทุกคนย่อมมีหน้ากากเป็นของตนเอง เพราะฉันก็มีเหมือนกัน แต่เรื่องที่เชื่อยากก็คือเรื่องบอกว่าพี่ออกัสเป็นผู้ชายร้ายกาจ ฉันรู้จักกับพี่เขามาได้เกือบเดือนแล้ว ฉันไม่เห็นถึงความชั่วร้ายอะไรนั้นของเขาเลยสักนิด มีแต่เขาดีเกินไปจนฉันรู้สึกผิดเองเสียมากกว่า พี่เซบเท็มเองก็ดูไม่ใช่คนแบบนั้นเหมือนกัน
การที่ฉันหาเหตุผลทั้งหมดมาโต้แย้งกับคำพูดนั้น ก็เท่ากับว่าในใจของฉัน ไม่เชื่อในคำพูดของพี่เบาหวิว..เธอก็อาจจะไม่ได้ประสงค์ร้ายกับฉัน แต่ที่เธอเล่ามามันอาจจะเป็นข่าวลือก็ได้ใครจะรู้
ครืด
สมองที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงโรงพยาบาลสัตว์ เมื่อครู่พี่ออกัสไลน์มาบอกว่าวันนี้มีธุระด่วนให้เลยให้ฉันมาหาฟูฟูเองได้ตามสะดวก ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องของพวกสัตว์เลี้ยง ก่อนสายตาจะมองเห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่ที่หน้ากรงของฟูฟู เจ้าของเส้นผมสีดำสนิทลุกขึ้นยืนเมื่อมองเห็นฉัน
“อ้าวสายรุ้ง มาหาฟูฟูเหรอ?”
พี่เซบเท็ม
ฉันโค้งศีรษะทักทายพี่เขาก่อนจะหันมองฟูฟูที่กระดิกหางพร้อมแลบลิ้น
“ท่าทางมันดีใจที่เจอสายรุ้งนะเนี่ย” พี่เซบเท็มว่าพลางมองลูกหมาสีน้ำตาลที่ดูร่าเริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉันย่อตัวลงพร้อมเอื้อมมือไปลูบขนนุ่มของฟูฟู
“ผมสองสีไปไหนอะ? วันนี้ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?” พี่เซบเท็มถามขึ้นเมื่อมองเห็นไม่น้องชายตัวดีของตัวเองที่ปกติจะตามติดเป็นตังเมมาพร้อมกับฉัน
‘พี่ออกัสมีธุระด่วนค่ะ จะตามมาทีหลัง’
พี่เซบเท็มหรี่ตาลงเมื่ออ่านข้อความของฉันจบ ก่อนริมฝีปากของเขาจะขยับพึมพำเสียงเรียบ
“เหรอ..”
ฉันหันไปสนใจกับลูกหมาในกรงต่อ ฟูฟูเห่าตอบหลายครั้ง ฉันดีใจมากเวลามาโรงพยาบาลแล้วเห็นเด็กคนนี้แข็งแรงมากกว่าเดิม ฟูฟูน่ารักมากเสียจนฉันอยากจะอุ้มขึ้นฟ้าแล้วหมุนไปมาเลยค่ะ
แกร๊ก
“?”
ฉันหันมองตามเสียงที่เกิดขึ้น ฉันจะไม่ตกใจเลยถ้าอีกฝ่ายไม่อยู่ๆก็เดินไปล็อคประตูห้อง ความคิดแง่ลบเริ่มเกิดขึ้นในหัว เพราะไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของเจ้าของเส้นผมสีดำสนิทที่กำลังยืนคลี่ยิ้มเย็นมอบให้
ล็อคประตู..ทำไม?
ฉันเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี พี่เซบเท็มคลี่ยิ้มเย็นที่ฉันรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ในหัวพยายามจะปลอบใจตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก..แต่เสียงของพี่เบาหวิวมันก็ดังอยู่ในหัว
‘คนเรามีหน้ากากกันทุกคนนั้นแหละ’
“ไหนๆก็อยู่กันสองต่อสองแล้วเนอะ” เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขยับกายเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันยืนขึ้น ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นี่พี่เซบเท็มจริงๆเหรอ?
ฉันพยายามนึกถึงภาพผู้ชายอายุ 28 ปีที่มักจะทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม มักเข้าไปเถียงไร้สาระเป็นเด็กกับน้องชายตัวเอง พยายามเอาภาพเหล่านั้นมาขับไล่ความกลัวในหัวใจ
“ไหนๆน้องก็ไม่ใช่แฟนออกัสอยู่แล้ว อย่าไปยุ่งกับออกัสมันเลย มันร้ายจะตาย พอเบื่อๆเดี๋ยวก็ทิ้งน้องแล้วล่ะ..เพราะงั้น..” ฉันเหมือนคำพูดของพี่เซบเท็มตบจนชาไปทั้งหน้า น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจเอ่ยพูดกับฉันราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ใบหน้าของพี่เบาหวิวลอยเข้ามาในหัวครา
‘มันแล้วแต่ว่าคนเราเลือกจะถอดหน้ากากของมาตอนไหน’
“สนใจมาคบกับพี่ไหมครับ?”
TBC.
Talk to me : )
สวัสดีค่าา เตยเองค่ะทุกคน หึหึ : P
พี่ออกัสรีบมาเร็วววววว!!!! สายรุ้งจะโดนพี่แกกินแล้วว
อุ๊บบ ตาพี่เซมเท็ม ทูนหัวของบ่าวเป็นคนร้ายกาจ??
อะไรอะไร ต่อไปจะเป็นยังไงน่อ?
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายที่ทุกคนเดินไปพร้อมกันแล้วค่ะ
ถึงผลจะเป็นยังไงก็สัญญาว่าจะแต่งเรื่องของตาพี่กับยัยสายรุ้งให้จบแน่นอนค่ะ
ขอบอกว่าเดี๋ยวเปลี่ยนนางเอกนะคะ
สายรุ้งจะไม่มีบทแล้วเพราะเตยจะเป็นนางเอกเองค่ะ อิอิ
ล้อเล่นนนนโว๊ยยยย 5555555555555
ตอนหน้าตอนสุดท้ายจริงๆน้า ฝากติดตามยัยสายรุ้งด้วยนะคะ
รอบนี้อัพเร็วค่ะ วันเสาร์สอบ Orz
ขอบคุณคอมเม้นทุกคนมากนะคะ ขอบคุณเม้นที่อายด้วยค่ะ
เตยพยายามแก้ตามแล้วนะคะไม่รู้มันดีขึ้นบ้างไหม TT_TT;;;
ขวัญเอ๋ยขวัญมา ทำไมนางเอกฉันต้องมาตกใจฉันทุกตอน
เป็นอีนี่ช้อกตายไปตั้งกะตาพี่หลอกเป็นปอบแล้ว
#อ้าวอีพี่เซบมึง #พี่ออกัสคนขี้หึง #ขวัญเอ๋ยขวัญมานะสายรุ้งลูก
ตอนนี้การบรรยายดีขึ้นเยอะมากเลยค่า ไหลลื่นไม่สะดุดแล้ว เก่งมากๆ เลยน้า
มีการเปิดปมเพิ่มเข้ามาอีก และมีตัวละครใหม่อย่างพี่กันยามาสร้างสีสันให้เรื่องด้วย
ตรงนี้จุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือความสมจริงแล้วค่ะ
ต้องคิดถึงคาแรกเตอร์ของตัวละคร กับสถานการณ์ในเรื่อง
ว่าตัวละครทำแบบนี้พูดแบบน้ีแล้วมันเกิดขึ้นได้จริงมั้ย
เพราะต่อให้เป็นนิยายก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงค่ะ
เทคนิคง่ายๆ คือให้ลองคิดว่า ถ้าเป็นเรา เจอแบบนี้เราจะทำยังไง
แสดงออกยังไง เราจะได้เขียนให้มันเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ
แล้วก็ระวังเรื่องคำผิดนิดนึง ทั้งสะกดผิดและพิมพ์ตกเลย
ถ้าดูตรงนี้ด้วยเรื่องของเราก็จะเนี้ยบขึ้นนะคะ ^^
เหลืออีกตอนเดียว มีของอะไรจัดมาให้เต็มที่เลยน้า
เป็นกำลังใจให้และรออ่านเสมอจ้า