สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง... แต่ฉันไม่ได้มีสี่ขา แล้วฉันก็ไม่ใช่นักปราชญ์ แล้วทำไมฉันถึงพลาดท่าให้ไอ้หมอนั่นล่ะ!?!
3
โจ๊กหมูเด้งใส่ตับเยอะๆ
TT_________________TT
มันจะมีสักกี่เหตุผลที่ทำให้ตุ๊ดเพื่อนแก้วซึ่งควรจะอยู่ที่ห้องกิจกรรม ณ เวลานี้มายืนจังก้าอยู่หน้าห้องเรียนด้วยจริต ‘องค์แม่’ ลงเต็มร้อย สองมือที่ท้าวสะเอว สายตาจิกยิ่งกว่าไก่ฟ้า เข้าใจได้ว่าหล่อนพร้อมแล้วที่จะ ‘ออกงิ้ว’
“มีอะไรจะอธิบายมั้ยยะ -*-” ชอลลี่ยื่นไอโฟนเจ็ดพลัสมาใกล้จนเกือบกระแทกหน้าฉัน และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เทพเจ้าแห่งความโชคดีไม่เข้าข้าง มือถือราคาแพงหูฉี่กำลังแพร่ภาพบันทึกเหตุการณ์อันน่าขายหน้าที่สุดในชีวิตของไปเปอร์ผู้นี้อย่างไร้ความปราณี ใบหน้าบานๆ ที่หราอยู่ในคลิปคือฉันไม่ผิดแน่ จะแกล้งเมินโนสน โนแคร์ โยแยแส หรือแถไปเรื่อยก็คงทำไม่ได้ มีแต่ต้องยอมรับชะตากรรมสถานเดียว
เปิดการ์ดออดอ้อน ณ บัดนี้!
“แง้งงงง ฉันถูกคนใจร้ายรังแกอ่า TOT” ฉันถลาไปข้างหน้าหมายจะซบอกชอลลี่ แต่อีกฝ่ายกระเถิบหนีอย่างหวงเนื้อหวงตัว
“จะตอแลน่าก็ให้มันน้อยๆ หน่อย อย่างแกน่ะเหรอถูกจะรังแก มีแต่จะหาเรื่องชาวบ้านเค้าก่อนสิไม่ว่า”
“บู้ ( - 3-)“
“ไม่ต้องมาบงมาบู้ แล้วไม่ต้องทำปากจู๋ด้วย ฉันไม่ใช่เฮียตงที่จะยอมให้แกอ้อนได้ทุกเรื่องนะยะ” มันทำร้ายฉันด้วยการจิ้มหน้าผากจนหน้าหงาย “แกรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ายังไปท้าคนอื่นเป่ายิ้งฉุบ แต่ก็ยังรั้นจะทำ เท่ากับท้าทายอำนาจมืดฉันชัดๆ เตรียมตัวไส้แห้งได้เลยยัยไปป์!”
“แง~ ขุ่นแม่ชอลลี่คนสวยขา ลูกสาวผิดไปแล้วววว Y_Y” โอ้โห งานเสียงสองก็มา เล่นใหญ่อะไรเบอร์นี้ ขนแขนฉันนี่สแตนด์อัพทุกเส้น จะไม่ทำก็ไม่ได้ นี่อาจเป็นหนทางสุดท้ายในการเอาตัวรอดจากเงื้อมมือมาร >_< “ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาทำตัวไม่ดี แต่แกก็เห็นว่าฉันปรับปรุงตัว ไม่ไปท้าดวลกับใครมานานแล้ว เรื่องคราวนี้มันไม่ไหวจะทนจริงๆ ถ้าไม่โดนล้อเลียนเสียๆ หายๆ ฉันก็คงไม่โมโหจนหน้ามืดไปท้าใครดวลเป่ายิ้งฉุบหรอก...”
“L”
“น้า...แกอย่าฟ้องเฮียเต๋อเลยน้า สาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” ฉันเกาะแขนชอลลี่พลางทำตาปริบๆ อ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่นัยนตาสีนิลของนางก็หาได้มีแววแห่งความเมตตาไม่ เห็นทีต้องเปลี่ยนแผน
อ้อนดีๆ ไม่ได้ก็ดราม่าแม่ง!
“ฮือออออ T^T ฉันถูกย่ำยีจิตใจอย่างร้ายกาจนะแก พวกมันว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิง มีแหนมตุ้มอยู่กลางหว่างขา ชาตินี้คงหาแฟนไม่ได้ เป็น อสูรกายเพศเมียที่เสียชาติเกิด คิดดูสิว่าหัวใจดวงน้อยๆ ของฉันจะรวดร้าวขนาดไหน...” ใส่สีตีไข่จนแซบนัว ฉันแกล้งทำหน้าสลด ซึ่งมันยากมากๆ เลยล่ะ แหงสิ ฉันจะไปรู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของตัวเองกัน แต่ที่ต้องพูดอย่างนั้นเพราะมันอ่อนไหวต่อชอลลี่ต่างหาก
นางเพ้อให้ฉันฟังอยู่ตลอดล่ะว่า ‘ทุกคนคู่ควรกับความรัก’ และมักเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันเสมอ ทั้งที่ฉันไม่สนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ สักนิด แค่เรียนหนังสือให้รอดก็รากเลือดแล้ว แฟนเฟินนี่ไม่ต้องพูดถึง เสียดายเวลาเล่นเกม -*-
“...” ได้ผล! ชอลลี่ลดมือที่ท้าวสะเอวลงข้างหนึ่งเป็นสัญญาณว่านางเริ่มใจอ่อนแล้ว เห็นมั้ยล่ะ...ต่อให้ปั้นหน้ายักษ์ใส่ฉันยังไง สุดท้ายชอลลี่ก็ยังเป็นตุ๊ดน้อยกลอยใจที่รักฉันกว่าใครอยู่ดี
รีบอ้อนให้มันเปลี่ยนใจเร็วเข้า!
“แค่นี้ฉันก็เละเป็นโจ๊กแล้วน้า แกยังจะซ้ำเติมฉันด้วยการฟ้องเฮียเต๋ออีกเหรอ แกไม่รักฉันแล้วเหรอชอลลี่...” ฉันครางเสียงสั่นพลางบีบน้ำตา อะไรที่มีค่าขนมเป็นเดิมพันฉันยอมไม่ด้ายย! “...ฉันไม่ใช่ยัยลูกสาวของแกแล้วเหรอ”
ชอลลี่ขมวดคิ้วเป็นปมแน่นยิ่งกว่าเจอข้อสอบอนุกรม ให้ฉันเดา...ตอนนี้จรรยาบรรณในตัวนางคงกำลังตีกันยุ่งเหยิงอยู่แน่ๆ คนหนึ่งก็เพื่อนสนิท อีกคนก็ชายหนุ่มที่หมายปอง...ชอลลี่จะเลือกใคร จะเห็นผู้ดีกว่าเพื่อนหรือไม่ วัดใจกันตรงนี้แหละ!
“ก็ได้...แกจะฟ้องเฮียเต๋อก็ได้ แต่อย่ามาบ่นที่หลังนะว่าฉันผอม หน้าตอบ ไม่ร่าเริง ไม่สดใส ปล่อยฉันหิวตายข้างกองขยะไปเลย โฮฮฮฮฮ TOT”
“โอ๊ยยยยย รู้แล้วๆ ไม่ฟ้องเฮียเต๋อแล้วก็ได้!!”
สำเร็จ!
“เย้! \(^O^)/” ฉันโผเข้ากอดร่างผอมเพรียวตรงหน้าด้วยความดีใจขั้นสุด ต่างจากอีกฝ่ายซึ่งสะบัดหน้าหนีอย่างเกี่ยงงอน “ฉันรักแกที่สู้ดดดดดดเยยยยยย >3<”
“ไม่ต้องมาตอแหล บาร์บีก้อนคราวก่อนแกพล่ามว่าเกลียดฉันไม่หยุด”
ผ่านไปเป็นเดือนแล้วยังจำได้อีกเหรอ -0- เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ
“ตอนนั้นฉันประชดหรอกน่า แบบว่ารักม๊ากมาก รักจนเกลียดไรงี้” คราวนี้งานเสียงสามค่ะ “แต่จริงๆ รักแกนะคะขุ่นแม่ชอลลี่ โอ๋น้า~”
“ย่ะ! แม่อภิชาตบุตร คบกับแกฉันมีแต่ขาดทุน ดูสิเนี่ย! ฉันอดเจ๊าะแจ๊ะกับเฮียเต๋อสุดหล่ออีกแล้ว ไม่รู้ล่ะ แกต้องจ่ายค่าเสียโอกาสให้ฉันด้วย -*-”
“ได้สิจ๊ะนางฟ้าแม่ทูนหัว จะเอาอะไรบอกมาเลยยยย”
“อืม...ที่จริงฉันก็มีของที่อยากได้อยู่นะ แต่ไม่ดีกว่า เอาเป็นว่าเลี้ยง After You ก็พอ”
“ง่ะ...แพงไปป่ะ” ไม่ว่าจะยอมให้เฮียเต๋อหักค่าขนม หรือจะเลี้ยง After You ยัยชอลลี่ก็มีแต่จะบ่อนทำลายสุขภาพทางการเงินของฉันทั้งนั้นเลยนี่หว่า
“หรือแกจะถ่ายรูปเฮียตาวในชุดนักศึกษามาเซ่นฉันแทนล่ะหือ?” นี่อ่ะนะของที่นางอยากได้
นังตุ๊ดหื่น!
“ After You เหอะ” เสียเงินให้ชอลลี่ยังดีกว่าเสียสายตาให้อิเฮียตาว! “ไปเดี๋ยวนี้เลยป่ะ ฉันหิวจนล้มควายได้ทั้งตัวแล้ว ฮือ”
“ช่างน่าสงสารแต่ยังค่ะลูกสาว เดี๋ยวขุ่นแม่ต้องกลับไปคุยงานต่อ”
“อ้าว ก็นึกว่าแกเสร็จงานแล้วซะอีก” ถึงได้มายืนเฉ่งฉันปาวๆ เนี่ย -0-
“โอ๊ย ถ้ามันเสร็จง่ายๆ ก็ดีน่ะสิ นี่คุยมาจะครบอาทิตย์ละยังหาข้อสรุปไม่ได้ แอลลินตันก็ผีบ้า โปรเจ็กก็ผีบอ!” ว่าแล้วนางก็กลอกตารัวๆ ท่าจะปวดหัวน่าดู
อ้อ! แอลลินตันที่ชอลลี่พูดถึงคือโรงเรียนพี่น้องของเซนต์ไมเคิลเองแหละ เร็วๆ นี้จะมีการแข่งทักษะระหว่างโรงเรียนน่ะ โดยเฉพาะหมวดศิลปะกับดนตรีซึ่งดุเดือดกันมาหลายปีแล้ว ประธานชมรมขับร้องพ่วงตำแหน่งกรรมการนักเรียนอย่างชอลลี่ก็เลยต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นไปโดยปริยาย แถมฝ่ายแอลลินตันก็ใช่ย่อยซะที่ไหน ไม่แปลกเลยที่การดีลงานจะมีความผี
แต่ก็อดคิดไม่ได้นะว่า...ถ้ามันเอาเวลาจับผิดฉันไปตั้งใจทำงาน ป่านนี้อาจจะเสร็จแล้วก็ได้ :/
Ring Ringgg~
“โอ๊ย อีพวกนี้นี่ แวบมาฉี่แปบเดียวก็ไม่ได้!” ยัยตุ๊ดน้อยกลอยใจหวีดขึ้นเมื่อไอโฟนในมือส่งเสียงร้อง แต่ชอลลี่ก็ยังเป็นชอลลี่ ต่อให้รีบยังไงก็มีเวลาให้ชายที่หมายปองเสมอ “ฉันต้องกลับไปรบกับพวกแอลลินตันแล้ว ส่วนแกก็กลับบ้านซะ อย่าเถลไถล ฝากบอกเฮียเต๋อด้วยว่าฉันคิดถึงแทบขาดใจ ไปนะ บาย~”
“บาย~”
ฉันโบกมือไล่หลังยัยตุ๊ดเพื่อนแก้วซึ่งใส่เกียร์หมาวิ่งสี่คูณร้อยกลับไปทำงานต่อ ก่อนจะหันไปเก็บกระเป๋าและไล่ปิดไฟเพราะเป็นคนสุดท้ายของห้อง แล้วในวินาทีที่ก้าวขาพ้นเขตห้องเรียนนั่นเอง เสียงหนึ่งก็เรียกให้หันไปมอง
“เฮ้” เอเธนส์ยืนเต๊ะจุ๊ยอยู่หน้าห้อง หมอนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย “จะกลับแล้วเหรอ”
ถามเหมือนไม่เห็นกระเป๋าบนไหล่ ตาบอดเหรอ -_-*?
“นายมีอะไร” ฉันถามเสียงห้วน
เราคุยกันตั้งแต่ที่ดาดฟ้าแล้วนะว่าจะเริ่มเงื่อนไข ‘ผู้แพ้ต้องทำตามที่ผู้ชนะสั่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน’ ในวันพรุ่งนี้ แล้วไอ้ขี้เก๊กนี่ยังจะมีอะไรกับฉันอีก รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนไม่ได้รึไง หิวโว้ยยยย
“นึกขึ้นได้ว่าไม่มีช่องทางติดต่อเธอเลย ก็เลยจะมาขอน่ะ ^^”
“จะเอาอะไรล่ะ เฟซบุ๊กหรือไลน์ ยกเว้นเบอร์โทร พี่ฉันหวงให้ไม่ได้” ฉันกวนตีน แต่ไม่ได้ล้อเล่น ไล่เตะปากเด็กแว้นแถวบ้านเฮียตงก็ทำมาแล้ว
“เข้าใจล่ะ งั้นฉันขอไลน์แล้วกัน” เขาบอกพลางทำอะไรสักอย่างกับมือถือของตัวเอง “บอกไอดีของเธอมาสิ”
ฉันเบะปาก แต่ก็บอกไอดีไลน์ของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานมือถือฉันก็สั่น มีข้อความเด้งขึ้นมาว่า ‘Mr. Athens added you by ID’
Mr. Athens: ได้ส่งสติ๊กเกอร์ถึงคุณ
สติ๊กเกอร์โคนี่ที่แสนน่ารักดูน่าเตะขึ้นมาได้ภายพริบตา... หมั่นไส้เว่อร์!
“เสร็จธุระแล้วฉันกลับล่ะ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้อย่างที่ต้องการแล้ว ก็มีไม่ความจำเป็นที่ฉันต้องอยู่ต่อ ไอ้อยากกลับบ้านไวๆ น่ะก็ใช่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือฉันไม่โอเค T^T การอยู่ใกล้หมอนี่ทำให้หัวใจฉันเจ็บจี๊ด ความรู้สึกของผู้แพ้ช่างนั้นอ่อนแอ ไร้อำนาจ ราวกับไส้เดือนที่มุดดินหนีนักล่าเอาชีวิตรอดไปวันๆ
จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารเป็นแบบนี้นี่เอง T.T
“เดี๋ยวก่อนไปเปอร์” เอเธนส์ตะโกนตามหลัง นั่นทำให้ฉันต้องหยุดฝีเท้าแล้วกลับไปมองไอ้คนขี้เก๊กอีกครั้ง “เธอ...คุยกับใครอยู่หรือเปล่า”
คุย? หมายถึงคุยเล่นเม้าท์มอยทั่วไปน่ะเหรอ นอกจากชอลลี่แล้วฉันก็ไม่คบใครทั้งนั้นแหละ “ก็เปล่า ถามทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอก” ร่างสูงไหวไหล่และปรายยิ้ม “กลับบ้านดีๆ นะ”
หน็อย... กวนประสาทเสร็จก็ไล่กลับบ้านเหรอ -_-* ฉันกัดฟันกรอดๆ แล้วสะบัดหน้าหนี พอกันทีกับคนขี้เก๊ก วันนี้ฉันจะกิน กิน แล้วก็กินให้สาแก่ใจ ให้ลืมว่าแพ้ใคร ลืมความอับอายทะ...!
ไลน์~
Mr. Athens: พรุ่งนี้ที่โรงอาหาร
Mr. Athens: เจ็ดโมง
Mr. Athens: เจอกันนะ :)
ไอ้...$%)H)@$%A$*&#$*$%!!!
ไปลงนรกเลยว้อยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
วันต่อมา…
@St. Michael’s canteen
07.12 น.
มันคือเช้าแห่งความวินาศสันตะโรโดยแท้...
“-______-*****” ฉันกอดอกมองหน้าตัวต้นเหตุ เพราะตาบ้านี่แท้ๆ ฉันถึงต้องรีบแหกขี้ตามาโรงเรียนแต่เช้าตรู่ ดูสารรูปฉันสิ ผมกระเซิงเพราะไม่ทันได้หวี ท้องร้องโครกครากเพราะข้าวเช้าไม่ได้กิน อนาถกว่าสัมพเวสีก็ภีรณีนี่แหละ (ปล. ภีรณี=ชื่อจริงฉันเอง)
*ซุบซิบ*
เสียงซุบซิบเหมือนนกกระจอกแตกรังดังไม่หยุด แม้จะเป็นตอนเช้าตรู่ แต่โรงอาหารซึ่งเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของจักรวาลเซนต์ไมเคิลก็มีคนมานั่งจับกลุ่มเม้าท์มอยแล้ว สายตาหลายคู่กำลังมองมาทางเราอย่างใคร่รู้ ต้องเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อวานแหงๆ เชื่อมั้ยว่าไลฟ์บ้าบอนั่นถูกแชร์ต่อกันเป็นทอดๆ ยอดวิวเป็นร้อย คอมเมนต์อีกเกือบพัน ถึงส่วนใหญ่จะเข้ามากรี๊ดอีตาเอเธนส์ แต่ก็มีบ้างที่รู้ว่าหมายถึงฉันแม้จะไม่เอ่ยชื่อ…
‘แพ้ว่ะ 55555 สมน้ำหน้า’
‘ก็นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ไม่เท่าไหร่’
‘จะรอดูเลยล่ะว่ายัยนั่นจะถูกแกล้งยังไง อ้อ...แต่ไม่ได้อยากรู้หรอกว่ายัยนั่นใส่กกน.สีอะไรพอดีว่าไม่ใช่โรคจิต’
‘ฮ่าๆ ฝากแก้แค้นแทนผมด้วยนะครับแชมป์ใหม่ เล่นให้หนัก เอาให้หายซ่าไปเลย ^0^’
บอกเลยงานนี้ภีรณีเสียหมาอย่างแรงค่ะ U_U
“#^%YU&...ราดหน้า...(*OOG*I&%.฿^%R@E^8$*2 ^_^” คนตรงข้ามฉีกยิ้มเจิดจ้าพร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง แต่โทษทีนะ ฉันยังเมาขี้หูขี้ตาอยู่ เลยได้ยินไม่ถนัด
“นายว่าไงนะ”
“ฉันอยากกินราดหน้าน่ะ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าไหนดี เธอไปซื้อให้หน่อยสิ” ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ตาสว่างขึ้นมาทันที
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ...นัดฉันมาแต่เช้าเพื่อใช้ไปซื้อราดหน้าเนี่ยนะ
บักผีปอบ!
อยากจะเอาม้านั่งทุ่มใส่อีตาเอเธนส์ให้หัวแบะ และถ้าทำได้ฉันจะเอาอีโต้มาสับอีตานี่เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงหม้อตุ๋นกินไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูกด้วย! จะไร้สาระก็ให้มันน้อยๆ แค่ราดหน้ายังไปซื้อให้ แล้วถ้าปวดขี้นี่ฉันไม่ต้องตามไปเช็ดก้นให้เหรอห๊า!
สั่งให้ฉันเต้นตุ๊ดตู่กลางโรงอาหารยังฟังดูเข้าท่ากว่าอีกว้อยย!!
“ราดหน้าทะเลค่ะป้า”
แต่สุดท้ายฉันก็ต้องมาซื้อราดหน้าให้อีตาเอเธนส์จนได้ =__= โชคดีที่ตอนเช้าคนไม่มาก คิวร้านป้าสุขใจก็เลยไม่ยาวเท่าไหร่ รอไม่นานก็ได้ราดหน้าไปฟาดหัวคนแล้ว แต่ฉันพอกลับมาที่โต๊ะก็พบกับความว่างเปล่า ไร้เงาคนขี้เก๊ก อีตาเอเธนส์หายไปไหน กล้าดียังไงถึงวางกระเป๋าล่อตาโจรแบบนี้ เอ๊ะ...หรือหมอนั่นจะถูกกลุ่มขุ่นแม่ตรงโน้นตีหัวลากเข้าถ้ำไปย่ำยีซะแล้ว...?
เยี่ยมไปเลย! ฉันจะได้หลุดพ้นจากสถานะผู้แพ้ ไม่ต้องทำตามหมอนั่นสั่งอีกต่อไป เย้!
“มีอะไรน่าดีใจเหรอ ^__^”
ว่ากันว่าความสุขมักอยู่กับเราได้ไม่นาน ภาพจินตนาการที่เต็มไปด้วยโซ่ แส้ กุญแจมือถูกเสียงนุ่มของหมอนั่นถีบกระเด็นไปไกลหมื่นลี้ คนอะไรตายยากชะมัด นินทาอยู่หลัดๆ ก็โผล่หน้ามาเฉยเลย ผิดหวังมากเลยนะที่อีตาขี้เก๊กนี่ยังคงสภาพหล่อเนี้ยบและเรียบร้อย (แหวะ) ไร้ซึ่งร่องรอยการถูกกระทำชำเราอย่างที่ฉันคาดหวังไว้ แล้วนั่น...ถืออะไรมาอีกล่ะ
ร่างสูงวางสิ่งที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ ชัดเจนว่ามันคือโจ๊กหมูเด้งใส่ตับ หน็อยแน่ ใช้ฉันไปซื้อราดหน้าแล้วยังจะไปซื้อโจ๊กมากินอีกงั้นเหรอ ไอ้คนหลายใจ ไอ้เหยียบเรือสองแคม!
“อ่ะ” เขาเลื่อนชามมาตรงหน้าฉันอย่างมีนัยยะสำคัญ
“อะไร”
“โจ๊กหมูเด้งใส่ตับเยอะๆ ไง (‘ ‘)”
“รู้แล้ว!” ไอ้ข้าวเละๆ นั่นไม่มีทางเป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ไปได้หรอกว้อยย! “ฉันหมายถึงนายเอามาให้ฉันทำไม” ต่างหากล่ะไอ้บ้า!
“เดาว่าเธอน่าจะยังไม่ได้กินข้าวเช้าฉันเลยซื้อมาให้ ตอบแทนที่เธอไปซื้อราดหน้าให้ฉันไง ^__^”
ใช้ฉันไปซื้อราดหน้า...ส่วนตัวเองก็ไปซื้อโจ๊กให้ฉันเป็นการตอบแทน ฟังดูทะแม่งๆ แต่แบบนี้ก็ได้เหรอ แปลกๆ นะฉันว่า
ฉันหรี่ตามองโจ๊กสลับกับมองคนตรงหน้า จงใจหรือบังเอิญกันแน่ที่หมอนี่ซื้อของโปรดมาให้ โจ๊กหมูเด้งใส่ตับเยอะๆ นี่เป็นจานเด็ดของฉันเลยนะ วันไหนเฮียเต๋อไม่ทำอาหารเช้าฉันก็จะชวน (แกมบังคับ) ชอลลี่ออกจากบ้านแต่เช้ามากินเจ้านี่แหละ
เอเธนส์ฉีกยิ้มโดยไม่พูดอะไร นั่นทำให้ฉันไม่สามารถตีความรอยยิ้มนั้นได้เลยว่าหมายถึงอะไรกันแน่ระหว่าง...
A. ไม่ต้องรู้หรอก
B. อย่าถามมาก
C. กินๆ เข้าไปเหอะน่า
D. ถูกทุกข้อ
แต่เอ๊ะ...หรือจะไม่ถูกสักข้อ?
ครูวิทยาศาสตร์สอนให้ตั้งสมมติฐาน...ถ้าจะซื้อข้าวให้ศัตรูคู่อาฆาต ฉันคงไม่ซื้อแล้วยื่นให้เฉยๆ แน่ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น อะไรที่มันสาแก่ใจ อะไรที่มันคุ้มค่ากับการเสียสละเงินทองอันน้อยนิด...
ก็ความเดือดร้อนของอีกฝ่ายไงล่ะ!
คิดได้อย่างนั้นฉันก็พลันใช้ช้อนคนเขี่ยในชาม นอกจากเนื้อโจ๊ก หมูเด้ง ตับ และบรรดาต้นหอมผักชีแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก ไหนล่ะพริกป่น ไหนล่ะพริกไทย ไหนล่ะสิ่งแปลกปลอมที่หมอนี่แอบใส่ลงมา!?
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้แอบใส่อะไรแปลกๆ อย่างที่เธอคิดหรอกน่า” เอเธนส์ขำเมื่อเห็นว่าฉันคุ้ยชามโจ็กอย่างเอาเป็นเอาตาย เกลียดคนรู้ทันวุ้ย “รีบกินเถอะ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อยนะ”
อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นเด็กห้าขวบนะเฟ้ย -^-*
เพราะท้องไส้ที่กำลังประท้วงด้วยความหิวโหยหรอกนะ ฉันถึงยอมกินโจ๊กที่เอเธนส์ซื้อมาให้ และทันทีที่ได้สัมผัสกับความหวานลึกล้ำของตับลวก จิตวิญญาณของฉันก็ล่องลอยเข้าสู่โลกแห่งความอร่อยจนลืมทุกสิ่ง หมูเด้งคำโตรสชาติกลมกล่อมเข้ากับโจ๊กเนื้อเนียนอย่างหาคำอธิบายไม่ได้ ต้นหอมกับผักชีก็ช่วยตัดรสเลี่ยนได้เป็นอย่างดี ความหิวโหยของภีรณีได้รับการเยียวยา กว่าจะรู้ตัวว่าทำหน้าฟินเหมือนหมาถูกเกาพุงก็ตอนได้ยินเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้านั่นแหละ
“คิก...”
บ้าจริง! กินตับทีไรเคลิ้มจนลืมตัวทุกที! >_<
“เธอนี่ท่าจะชอบกินตับเอามากเลยเนอะ”
“หนวกหู” ฉันแหว ในใจนึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะตาย แม้อีกฝ่ายไม่ได้พูดหรือล้อเลียนอะไรต่อจากนั้น แต่แค่รอยยิ้มนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันมุดโต๊ะหนี ฮือ ดันทำโก๊ะต่อหน้าหมอนี่ซะได้นะยัยไปป์ มาดที่วางไว้ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแล้วววว T.T
“เย็นนี้ว่างมั้ย” อยู่ๆ เอเธนส์ก็เปลี่ยนเรื่อง เล่นเอาเกือบตามไม่ทันแน่ะ
“ยังไม่รู้” ตอบตามจริง
ชีวิตฉันแปรผันไปตามความว่างของชอลลี่ วันไหนนางว่างฉันจะไม่ว่าง แต่ถ้าวันไหนนางไม่ว่างฉันจะว่างเพราะไม่มีใครเล่นด้วย แต่ช่วงนี้นางดูยุ่งๆ นะ ไม่แน่ว่าเย็นนี้ฉันอาจจะว่างก็ได้
“ฉันมีแข่งบาสฯ ภายใน ถ้าเธอว่างก็อยากให้ไปดู”
“ทำไมต้องอยากให้ฉันไปดู”
“ก็...” เสียงเขาแผ่วลง “ไม่รู้สิ แค่อยากให้ไป” เป็นคำตอบที่ไม่ได้เรื่องเลย
“ฉันไม่ได้ชอบดูบาสฯ” ถ้าเป็นฟุตบอลล่ะไม่แน่
“อา...เข้าใจล่ะ”
แล้วเขาก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไรต่อ ทว่ารอยยิ้มไม่ได้จางหายจากใบหน้าเขา แม้จะเป็นแค่ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ไม่ใช่ยิ้มเจิดจ้าอันเป็นซิกเนเจอร์ หมอนี่ก็บ้าแฮะ เอาแต่ท้าวคางมองฉันอยู่ได้ ไม่เคยเห็นคนเจริญอาหารรึไง เอาแป้งมาโรยแล้วถูหาหวยเลยมั้ยล่ะ
ฉันเลิกสนใจคนขี้เก๊กแล้วก้มหน้าก้มตากินโจ๊กให้หมด จะได้หลุดพ้นไปทำอย่างอื่นเสียที มีการบ้านอีกเป็นโหลรอให้ฉันไปลอก แต่รู้อะไรมั้ย พอฉันกินเสร็จจะเอาชามไปเก็บหมอนี่ก็คว้ามันไปเฉยเลย
“เดี๋ยวฉันเอง ^__^”
“O_O” ฉันมองตามแผ่นหลังของเอเธนส์ที่เอาชามไปเก็บด้วยความงุนงงขั้นสุด กระทั่งเขากลับมาพร้อมกับน้ำดื่มสองขวดก็ยังงงไม่หาย ข้าวก็ซื้อให้กิน กินเสร็จก็เอาชานไปเก็บให้ แถมยัง...
แกร๊ก...
“อ่ะ” ...เปิดฝาขวดน้ำให้อีกต่างหาก
“ขอบใจ” ฉันรับน้ำดื่มจากเอเธนส์ด้วยความรู้สึกแปลกๆ หากเป็นการดวลเป่ายิ้งฉุบที่ฉันคุ้นเคย สิ่งที่ผู้แพ้จะได้รับคือการกลั่นแกล้งให้อับอาย แต่นี่อะไร...หมอนั่นจะมาทำดีกับฉันทำไม เขาชนะดวลเป่ายิ้งฉุบนะ ต้องกลั่นแกล้งฉันสิถึงจะถูก
“ตกลงนายนัดฉันมาทำไมแต่เช้ากันแน่ฮะ” ฉันไม่ใช่คนช่างจับผิดหรือสงสัยอะไรหรอกนะ แต่คราวนี้มันผิดปกติเกินไป ในวงการเป่ายิ้งฉุบไม่มีใครใจดีกับคนแพ้อย่างที่เขาปฏิบัติกับฉันหรอก
เอเธนส์ที่กำลังกระดกขวดน้ำดื่มเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางเหมือนนายแบบแมกกาซีนที่ชอลลี่ชอบไปยืนอ่านฟรีในเซเว่นฯ ไม่มีผิด ฉันรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ กระทั่งเขาดื่มน้ำหมดขวดนั่นล่ะถึงตอบกลับมา
“ก็กินข้าวเช้าไง”
“แค่นี้?”
“อือฮึ (‘ ‘) (._.) (‘ ‘)”
ฉันได้แต่กุมขมับอย่างจนคำพูด รู้สึกเหมือนเส้นอะไรสักอย่างในหัวเต้นตุบๆ คล้ายจะระเบิดออกมาให้ได้ สูดหายเข้าลึกๆ เลยนะยัยไปป์ ให้หมอนี่รู้ว่าความกวนประสาทแค่นี้น่ะทำอะไรฉันไม่ได้...
“ต่อจากนี้ไปเธอต้องมากินข้าวเช้ากับฉันทุกวันนะ ^^”
ซะที่ไหนกันละโว้ยยยย!
“นายจะบ้ารึไง ข้าวเช้าก็ต้องกินที่บ้านมั้ยล่ะ”
ให้กินข้าวเช้านอกบ้านทุกวันฉันก็ถังแตกตายพอดีสิยะ! ค่าขนมก็ได้น้อย ไหนจะต้องผ่อนบัตรเฮียตงที่ยืมไปรูดซื้อไฟนอลแฟนตาซีภาคใหม่ ไม่นับไอเท็มในเกมกับสติ๊กเกอร์ไลน์ที่ขยันออกมาล่อลวงเงินฉันอยู่เป็นนิจ ชีวิตติดเกมอย่างฉันต้องเปย์ ซึ่งเงินเปย์คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากค่าขนม โอ๊ยยยย
“ฉันไม่ได้อยู่บ้าน ไม่มีใครทำให้กินนี่”
“แต่บ้านฉันมี อร่อยด้วย!” ฝีมือเฮียเต๋งไม่เป็นสองรองใครในปฐพีเลยนะเฟ้ย
“งั้นฉันไปกินด้วยคนสิ”
“ไม่มีทาง!” กร๊าซซซซซซซซซซซ ไอ้คนหน้าทน!
“ชวนมากินก็ไม่มา ขอไปกินด้วยก็ไม่ให้ไป” หมอนั่นส่ายหน้า นับว่าเป็นอะไรที่กวนโอ๊ยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเชียวล่ะ “ก็ไม่เป็นไร ถ้าเธอไม่มาฉันก็แค่ไม่ได้กินข้าวเช้าเท่านั้นเอง”
ฉันถึงกับถลึงตาตี่ๆ ของตัวเองใส่คนตรงหน้า ไอ้ที่บอกว่าไม่ได้กินข้าวนั่นก็เพราะนายเลือกจะไม่กินเองมากกว่ามั้ย กระเพาะอาหารไม่ได้ติดกันนะเว้ย! “นายจะกินหรือไม่กินมันเกี่ยวกับฉันตรงไหน อย่ามาไร้สาระ”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากเลยด้วย” ร่างสูงยิ้มปราย “กินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อย เธอก็รู้นี่”
“...” ฉันที่อ้าปากเตรียมโวยวายมีอันต้องกลืนคำพูดลงไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะฉันเองก็เป็นอีกคนที่ไม่ชอบกินข้าวคนเดียว ถ้าที่บ้านน่ะพอไหว แต่พอออกข้างนอกเมื่อไหร่ฉันจะเปลี่ยวทันที อย่างที่โรงเรียนฉันจะกินข้าวกลางวันกับชอลลี่ แต่ถ้าวันไหนนางไม่มาฉันก็จะซื้อขนมไปกินโต๊ะแทน
ไม่ว่าจะมองมุมไหน การกินข้าวคนเดียวก็เป็นอะไรที่เปล่าเปลี่ยวหัวใจและไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ T^T
“นายก็ไปกินกับเพื่อนสิ” เพื่อนน่ะเพื่อน ไม่มีใครคบรึไงฮะ
“พวกมันมาสาย ไม่ทันกินหรอก”
“แล้วสาวๆ ของนายล่ะ” หมอนั่นทำหน้าสงสัย ฉันเลยต้องพูดต่อ “ก็พวกที่ตามกรี๊ดนายนั่นไง ไม่ไปกินกับพวกเธอล่ะ”
“อ๋อ...” ในที่สุดก็เก็ตสักทีนะ “คิดเหรอว่าถ้าอยู่กับพวกนั้นแล้วฉันจะได้กินข้าวน่ะ”
หมายความว่าไง ทำไมจะกินข้าวไม่ได้ -*- “พวกนั้นจะแย่งข้าวนายเหรอ”
ฉันทำหน้าแขยง นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงสวยๆ พวกนั้นจะมีรสนิยมการกินที่แปลกประหลาด แย่งข้าวคนอื่นกินเนี่ยนะ ลัทธิบูชาความงามหรือไร แล้วคนขี้เก๊กที่กลั้นขำจนตัวสั่นนี่ล่ะ กับคำพูดแค่นี้จำเป็นต้องขำเบอร์นั้นมั้ย วางถุงกาวแล้วถามใจดูหน่อยซิ
“เธอนี่...ตลกดีนะ” ในที่สุดอีตาเอเธนส์ก็ขืนตัวเองจากการหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังได้สำเร็จ “กินข้าวกับเธอน่ะดีที่สุดแล้วเชื่อสิ”
ฉันส่ายหน้าไม่ยอมรับและไม่เข้าใจ มีฉันอยู่แล้วมันดียังไง ฉันไม่ใช่เทพธิดาอูมามิที่จะเสกให้ขี้อร่อยเหมือนเค้กได้นะว้อยย!
“ว่าแต่คนเป่ายิ้งฉุบแพ้จะต้องทำตามที่คนชนะบอกเป็นเวลาหนึ่งเดือนใช่มะ งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่นี่ เวลาเดิมนะ ^^”
ไอ้ปีศาจ!!!!!
@ Classroom 5/6
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าแกไปกะหนุงกะหนิงกินข้าวกับหนุ่มที่ไหนมา -_-**” พอฉันวางตูดลงเก้าอี้ปุ๊ป ยัยชอลลี่ก็ถลามาชิดปั๊บ เริ่มการรีดข้อมูล ณ บัดนี้!
“กะหนุงกะหนิงอัลไล ไม่มีว้อยยย”
“แน๊ เดี๋ยวนี้หัดตอแหลเหรอจ๊ะยัยไขมันท่อน้ำทิ้ง” ดูมันเปรียบเทียบสิ เอาซะฉันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเลย “ฉันเห็นหรอกย่ะว่าเมื่อกี้แกอยู่กับใครที่โรงอาหาร”
“หมายถึงอีตาเอเธนส์น่ะเหรอ?”
“ก็เออสิยะ! เขาเป็นหนุ่มฮอตของชั้นปีเราเลยนะ แค่วีคแรกที่เข้ามาก็กวาดหัวใจชะนีน้อยใหญ่ไปตรึม จักรวาลโคจรอีท่าไหนถึงเหวี่ยงยัยเพิ้งอย่างแกให้ไปเจอกับเขาได้อ่ะ”
“ก็ดวลเป่ายิ้งฉุบเมื่อวานไงจะอะไรอีก Y.Y”
ชอลลี่ห่อปากเป็นรูปตัวโอเหมือนจะบอกว่า ‘โอ้ว’ “เมื่อวานฉันมัวแต่โมโหแกเลยไม่ได้ดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ไหนเล่ารายละเอียดให้ฟังซิ” แล้วมันก็ขู่เข็ญให้ฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันฟัง ซึ่ง...มันก็เป็นไปตามนั้นแหละ “สรุปว่าต่อจากนี้ไปแกต้องทำตามที่เอเธนส์สั่ง เริ่มจากไปกินข้าวเช้ากับเขา”
“...เป็นเวลาหนึ่งเดือน” ฉันต่อให้ “ไม่ต้องน้อยใจนะแก ช่วงพักกลางวันยังเป็นของแกเหมือนเดิม ฉันไม่ให้ยอมใครมาไปหรอกน่ะ รักแกน้า~ แม่ตุ๊ดน้อยกลอยใจ > 3<”
“เลิกทำปากยื่นแบบนี้ซะทีเหอะ ดูกี่ทีก็ขนลุก” ชอลลี่กอดตัวเองแน่น ทำไมถึงชอบรังเกียจวิธีแสดงความรักของฉันนักนะ “ฉันว่าแกไปกินกลางวันกับเขาก็ดีนะ เผื่อวันไหนฉันไม่มาแกจะได้มีเพื่อนกินข้าว แต่อย่าไปทำอะไรให้แฟนคลับเอเธนส์หมั่นไส้เข้าล่ะ ไม่งั้นพวกนั้นเอาแกตายแน่”
“ไม่เอาอ่ะ -0- ฉันจะไปกับคนอื่นทำไมในเมื่อมีแกอยู่ทั้งคน” ฉันเอียงหัวซบไหล่คนข้างๆ เป็นการออดอ้อน ดีจริงๆ ที่ชอลลี่มันเป็นตุ๊ด ขืนมันเป็นผู้ชายฉันคงโดนตบหน้าแหกโทษฐานทำตัวน่าหมั่นไส้ มันหล่อนะเอาจริงๆ
“กลิ่นตุๆ นะยะ สระผมมาป่ะเนี่ย”
“เอ่อ...ลืมอ่ะเมื่อคืน”
“ไปให้พ้นเลยย่ะ ยี้!” มันเฉดหัวฉันทิ้งในตอนที่อาจารย์เข้าห้องมาพอดี
แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งเลิกเรียน…
ไลน์~
Mr. Athens: 9697
Mr. Athens: ล็อคเกอร์หมายเลข 431
Mr. Athens: ไปที่นั่นแล้วหยิบกระเป๋าข้างในมาให้ที
Mr. Athens: P.S. ฉันอยู่ที่โรงยิม
=_______=
หลังจากต่อสู้กับความคับเคืองใจอยู่นานฉันก็ลากสารร่างมายืนมึนหน้าล็อคเกอร์ตามที่อีตาเอเธนส์สั่งได้สำเร็จ เออ...แล้วไงต่อล่ะ ฉันเปิดล็อคเกอร์ได้ที่ไหนกัน มันล็อคอยู่ คิดสะระตะแล้วก็พบว่าลำพังตัวเองคงไม่มีปัญญาเปิดล็อคเกอร์ 431 นี้ได้ ฉันก็ตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาหมายจะไลน์ไปถามเขา แต่พอเห็นข้อความเก่าแล้วก็ฉุกขึ้นมาได้...
‘Mr. Athens: 9697’
ฉันลองหมุนกุญแจตามจนมีเสียงแกร๊ก...!
เปิดได้เฉย =__= ฉันหยิบกระเป๋าสะพายข้างสไตล์นักกีฬาออกมาแล้วจึงปิดล็อกเกอร์ไว้ตามเดิม ให้ตายเถอะไอ้หมอนั่น นอกจากขี้เก๊กแล้วยังขี้ลืมอีกรึไง ของสำคัญอย่างนี้ลืมได้ที่ไหน ซ้ำยังให้รหัสล็อคเกอร์กับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างฉันด้วย บางทีฉันน่าจะหาแมลงสาบสักครอบครัวไปใส่ไว้ ล็อคเกอร์หมอนั่นจะได้ไม่เหงาจนเกินไปไงล่ะ
@St. Michael’s Gymnasium
“กรี๊ดดดด เอเธนส์สู้เค้าค่า!!~”
“วี๊ดดดดดดด อย่าแพ้เค้านะคะ!!”
ฟังเสียงกรี๊ดนั่นสิ...ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าใครกำลังแข่ง
ฉันขึ้นไปนั่งที่ชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ซึ่งไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ที่สำคัญมันอยู่เหนือเสียงกรี๊ดของแม่นกหวีดพวกนี้ด้วย จากนั้นก็วางกระเป๋าของคนที่กำลังวาดลีลาจับลูกบอลยัดห่วงอยู่กลางสนามไว้ข้างกาย หยิบมือถือออกมาเล่นเกมปลูกผักฆ่าเวลาระหว่างรอเจ้าตัวมา แม้ภาพที่เห็นตรงหน้าจะเป็นการแข่งขันบาสเกตบอลอันดุเดือดเลือดพล่าน แต่ฉันหาได้แคร์ไม่ นาทีนี้จะมีอะไรสำคัญกว่าการเก็บสตรอเบอร์รี่ใน Hay Day อีกล่ะ
ปรี๊ด--------------!
จากนั้นไม่ถึงสิบนาทีเสียงนกหวีด (จริงๆ) ก็บอกให้รู้ว่าควอเตอร์เมื่อครู่ได้จบลงแล้วพร้อมกับเสียงกรี๊ดของสาวๆ เดาว่าพวกเธอคงเก็บเสียงไว้ใช้ในแมตช์ต่อไป เหมือนอย่างที่ฉันระดมปลูกข้าวสาลีไว้ผลิตอาหารไก่อยู่นี่แน่ๆ
ฟุบ...
ฉันเงยหน้าจากเกมเมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวข้างกาย อีตาไมค์ในชุดพละสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเขียวสะท้อนแสงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวถัดไปโดยไม่รอให้ใครอนุญาต
“ว่างายยย” ทักทายด้วยน้ำเสียงชวนหงุดหงิด
“มีไร” ฉันตอบกลับไปโดยไม่ละสายตาจากเกมมือถือ เราไม่ได้สนิทอะไรขนาดนั้น นอกจากดวลเป่ายิ้งฉุบแล้วก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันหรอก อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าฉันไม่ค่อยคบใครและไม่มีใครคบ แฮ่
“ทักทายไม่ได้ไง?”
“เมาแอร์เหรอนาย ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยชวนคุย” อุ๊ย! ข้าวสาลีงอกแล้ว ต้องรีบเกี่ยวๆๆๆ
“เคยสิ แต่เธอไม่สนใจเองต่างหาก เป็นไง หมอนั่นแกล้งอะไรเธอบ้าง?”
ฉันตวัดสายตาไปมองคนมาใหม่เมื่อถูกจี้ใจดำ อย่าหาว่าพานเลยนะ แต่หมอนี่มันน่าเตะปากจริงๆ “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็เงียบไปเลย”
“ไม่เอาน่า อย่าอารมณ์เสียสิ กีฬามันก็มีแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา” พิธีกรจอมจ้อในไลฟ์เมื่อวานตบไหล่ฉันปุๆ “รู้มั้ย เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโรงเรียนเลยนะ”
“แพ้ดวลเป่ายิ้งฉุบเนี่ยนะ บ้านนายเรียกว่าโชคดีเหรอ”
“อย่างน้อยก็ดีกว่าแพ้ให้ฉัน หรือคนอื่นในชมรมปะล่ะ พนันได้เลยว่าเธอคงไม่ได้มานั่งเลี้ยงหมูอยู่ตรงนี้หรอก” ก็จริงของเขานะ บางทีตอนนี้ฉันอาจต้องทำอะไรประหลาดๆ อยู่ก็ได้ถ้าแพ้คนอื่นที่ไม่ใช่เอเธนส์
ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าการแพ้หมอนั่นเป็นเรื่องดีหรอกนะ สำหรับฉันแพ้ก็คือแพ้ เสียใจไม่ต่างกัน
มาถึงตรงนี้ฉันก็มีข้าวสาลีมากพอจะใช้ผลิตอาหารไก่ได้ทั้งวันแล้วล่ะ ตั้งใจว่าแบ่งไปทำเป็นขนมปังเก็บไว้ขาย หรือไม่ก็ทำแซนด์วิชด้วย ถ้ามันติดว่ามีไอ้ตัวข้างๆ คอยก่อกวนตลอดเวลา
“นี่ฉันต้องเรียกเธอว่าเจ้าหญิงด้วยป่ะ”
“เจ้าหญิงบ้าบออะไรของนายฮะ” พูดมากอยู่ได้ นี่ฉันเริ่มรำคาญแล้วนะ
“เธอนี่มัน...เฮ้อ” อีตาไมค์ส่ายหน้าราวกับฉันเป็นเด็กน้อยพูดจาอ้อแอ้ไม่รู้เรื่อง “คันปากอยากพูดขึ้นมาเลยว่ะ เอางี้แล้วกัน ฉันจะบอกให้รู้สักหน่อยก็ได้ว่าจริงๆ แล้ว...”
“ไมค์” เสียงทุ้มของคนมาใหม่ขัดจังหวะไอ้ตัวพูดมาก “อะตอมเรียก” เอเธนส์ในชุดพละสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกับไมค์ใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางสนาม ผู้ชายในชุดแบบเดียวกับทั้งคู่กำลังมองมาที่นี้ด้วยสีหน้าถมึงทึง อารมณ์ของเขาแสดงผ่านเสียงตะโกน
“ไมค์โว้ยยยยยย!”
“เออๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” คนถูกเรียกกุลีกุจอลงสนาม แล้วก็ถูกอะตอมกินหัวไปตามระเบียบ
สมน้ำหน้า!
“ขอกระเป๋าหน่อย”
ตัดภาพมาที่ฉัน จ้ากรรมนายเวรยังคงเรียงหน้ามาไม่จบไม่สิ้น -*- เอเธนส์นั่งลงแทนที่ไมค์ ฉันถอนหายใจและกด Pause เกมก่อน แล้วจึงหันไปหยิบกระเป๋าซึ่งอยู่อีกฝั่งมาให้เขา จากนั้นก็ก้มหน้ารีดนมวัวในเกมต่อไป ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดแบบนั้นนะ
“นั่นเกมอะไรน่ะ” อีตาเอเธนส์ชะโงกหน้ามาถามอย่างสนอกสนใจ ไปมุดรูที่ไหนมาถึงไม่รู้จักเกมนี้ฮะ
“Hay Day”
“อ๋อ...” พยักหน้าเหมือนรู้ แต่จริงๆ ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะไอ้ขี้เก๊ก “สนุกมั้ย”
“ก็พอฆ่าเวลาได้” ฉันยักไหล่ ที่ต้องมานั่งปลูกผักอยู่แบบนี้เพราะเน็ตหมดน่ะ อยากกลับไปต่อ WiFi ที่บ้านจังงง
“ขอลองหน่อยสิ^^”
“-___-***”
ฉันพ่นลมหายใจพรืดๆ แล้วจำใจส่งมือถือให้เขา ปฏิเสธไปก็เสียน้ำลายเปล่า เพราะท้ายที่สุดฉันก็ต้องทำตามที่เขาสั่งอยู่ดี เอเธนส์ในชุดนักบาสฯ รับมือถือฉันไปถือไว้ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน
“พี่เอเธนส์คะ...” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมร่างอรชรของสาวน้อยนางหนึ่ง หน้าตาน่ารักเชียวล่ะ ใบหน้าที่แดงก่ำบ่งบอกว่าเธอคงเขินหมอนี่น่าดู “เอ่อ...คือ...ถ้าพี่ไม่รังเกียจ...นี่ค่ะ” เธอพูดตะกุกตะกักขณะยื่นน้ำดื่มเย็นๆ มาให้เขา
“ขอบคุณนะ ^___^” เอเธนส์ยิ้มให้เด็กคนนั้น ทว่า... “แต่พี่มีแล้วล่ะ เราเก็บไว้เถอะ เชียร์บาสจนเสียงแห้งหมดแล้ว” ปฏิเสธอย่างนิ่มนวล
ไอ้หมอนี่มันร้ายยยยยยย!
“คะ...คะ...ค่ะ” นอกจากจะไม่โกรธแล้ว เด็กคนนั้นยังเคลิ้มตามอีกต่างหาก ดูสิ ลอยกลับที่นั่งไปกรี๊ดกับเพื่อนใหญ่เชียว
ฉันเหลมองคนข้างๆ ด้วยความสะพรึง ร่างสูงเพียงแค่ยิ้มให้นิดๆ แล้วหันไปง่วนกับการหาของในกระเป๋า ความจริงที่ว่าเราอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดทำให้ฉันมองเขาได้เต็มตากว่าครั้งไหนๆ แล้วก็เข้าใจในทันทีเลยล่ะว่าทำไมสาวๆ ถึงกรี๊ดกันนัก
...ใบหน้าคมคาย สายตาดุดัน กระนั้นกลับไม่น่ากลัวเลยสักนิด เอเธนส์ทำให้ฉันนึกถึงนักรบสปาร์ต้า...หรืออะไรสักอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและเป็นชาย เขาไม่ใช่คนแข็งกระด้าง...โคโลญจน์กลิ่นละมุนราวกับแสงแดดยามเช้าบอกอย่างนั้น และวิธีปฏิเสธเมื่อครู่ก็ถือเป็นตัวอย่างชั้นดี...
บ้าจริง ฉันไม่ใช่คนคิด วิเคราะห์ แยกแยะเก่งอะไรหรอกนะ แค่รู้สึกว่าหมอนี่เหมือนตัวละครในเกมไหนสักเกมนี่แหละ
“น้ำฉันล่ะ(‘ ‘)” คำถามของเอเธนส์ดึงกายละเอียดที่เอาแค่คิดฟุ้งซ่านให้กลับเข้าร่าง
“น้ำอะไร”
“น้ำดื่มน่ะ ไม่ได้ซื้อมาเหรอ”
“นายไม่สั่งจะไปมีได้ไง” สรุปไอ้ที่บอกว่ามีแล้วนั่นตอแหลสินะ “แล้วเมื่อกี้ไม่รับของคนเด็กคนนั้นไว้แต่แรก”
“ฉันอยากได้จากเธอมากกว่า”
“ที่พูดนี่คือจะให้ฉันไปซื้อถูกมะ -_-*”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันไปขอข้างล่างก็ได้” เขาบอกพลางใช้ผ้าขนหนูที่หยิบมาจากในกระเป๋าซับเหงื่อที่ผุดตามไรผม โรงยิมแอร์เย็นขนาดนี้ เหงื่อยังไหลเป็นก็อกแตก ดูท่าว่าการแข่งบาสฯ จะระห่ำน่าดู “แต่พรุ่งนี้ห้ามลืมนะ”
พรุ่งนี้ห้ามลืมนะ...พรุ่งนี้ห้ามลืมนะ...พรุ่งนี้ห้ามลืมนะ!!
หมายความว่าพรุ่งนี้ฉันก็ต้องมาอีกเหรอ ไม่โว้ยยยยย!!
เอเธนส์ไม่รอให้ฉันได้แย้งอะไรทั้งนั้น เขาก้าวฉับๆ ลงอัฒจันทร์ไปแล้ว เดี๋ยววว กลับมาก่อนนนน นายจะทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย หลังเลิกเรียนฉันควรได้กลับบ้านเล่นเกมมั้ย?! พูดถึงเกมแล้วก็...เฮ้ย! มือถือฉันล่ะ?
สัญชาตญาณสั่งให้มองไปที่สนาม พอทำตามก็แทบกรีดร้อง
“^____^” อีตาเอเธนส์ชูมือถือฉันขึ้นสูงราวกับจะอวดสายตาคนทั้งฮอลล์
Hay Day ของช้านนนนนนนน! T[]T
จนกระทั่งจบการแข่งขันนั่นล่ะ ฉันถึงได้มือถือคืน
“เอ้า” ไอโฟนหกตกรุ่นใส่เคสลายคุมะมงกินแอ๊ปเปิ้ลยื่นมาตรงหน้า
ฉันยื่นมืออันสั่นเทาไปหามือถือของตัวเอง หลังจากตกไปอยู่ในมือคนชั่ว (?) ร่วมชั่วโมง ในที่สุดหนูมง (ชื่อโทรศัพท์) ก็กลับสู่อ้อมกอดฉันแล้ว ฮือออออ
“ไม่ขอบคุณฉันหน่อยเหรอ”
ยังจะมีหน้ามาทวงคำขอบคุณอีกเหรอ “ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะ!”
โทรศัพท์มือถือนับว่าเป็นปัจจัยห้าซึ่งสำคัญพอๆ กับสมอง หากไม่มีมัน ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากก้อนเนื้อที่รอวันเน่า ดังนั้นการพรากฉันกับหนูมงเป็นการกระทำที่แสนโหดร้ายและไม่น่าให้อภัย แต่หมอนี่ก็ทำไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรด้วย
ตลอดการแข่งขัน (ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นการคัดนักกีฬาเพื่อไปแข่งกับแอลลินตัน) ฉันได้แต่นั่งหงุดหงิด อยากกลับก็กลับไม่ได้ จะหลับก็หลับไม่ลง (เสียงเชียร์ดังเว่อร์) สุดท้ายเลยต้องมองตามลูกบอลที่ถูกยื้อแย่งไปมาระหว่างนักกีฬาทั้งสองทีม ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับบาสฯ แต่ก็พอดูออกว่าใครเล่นเป็นยังไง น่าเจ็บใจที่ต้องยอมรับว่าอีตาขี้เก๊กฝีมือไม่ธรรมดา และชัยชนะในวันนี้ก็เป็นเพราะเขา
บอกแล้วว่าไอ้หมอนี่มันร้ายยยย!
“เล่นมือถือในที่มืด สายตาจะเสียเอานะรู้มั้ย” ร่างสูงบอกเสียงเข้ม นี่ดุฉันเหรอ -0-;;
“ช่างฉันเหอะน่า ว่าแต่นายน่ะเอานี่ไปเลย” ฉันทุ่มกระเป๋าสะพายใส่เขา ของตัวเองแท้ๆ ไม่สนใจ ยุ่งแต่เรื่องของคนอื่น
ร่างสูงที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนแล้วรับกระเป๋าได้อย่างทันท่วงที
“ทีหลังอย่าลืมอีกนะ”
“อ่า...ไม่ลืมหรอก เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเธอจะเป็นคนเอามาให้ฉันไง ^^”
ไอ้...
“อย่าลืมน้ำดื่มนะ ถ้าได้เกลือแร่ด้วยฉันจะดีใจมากเลย”
แต่ฉันไม่ว้อยยยยย!
ถ้าตัวสูงกว่านี้สักสิบเซ็นต์ฉันจะกระชากเสื้อหมอนั่นแล้วต่อยๆๆๆ จนเลือดกบปาก ต่อด้วยจับขึงพืดแล้วเอาแส้ฟาดเทียนลนจนต้องร้องขอชีวิต ทว่าในชีวิตจริงที่ฉันสูงแค่ไหล่หมอนี่ ลำพังแค่เงยหน้าคุยด้วยก็เมื่อยคอแล้ว ดังนั้น...ที่สุดแล้ว...ฉันจึงทำได้แค่…
“กลับล่ะ” เดินหนีอย่างสงบ T.T
“เดี๋ยวก่อน” เขารั้งฉันไว้ด้วยการจับที่แขนเสื้อ “เมื่อกี้...” นัยน์ตาสีเข้มฉายแววลังเล แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “หมอนั่น...หมายถึงไมค์น่ะ เขาพูดอะไรกับเธอรึเปล่า”
เดี๋ยวนะ...ขอคิดก่อน ถ้าจำไม่ผิด นอกจากกวนประสาทแล้ว หมอนั่นก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดเพราะถูกขัดจังหวะซะก่อน งั้นก็สรุปได้ว่า...
“ก็ไม่นะ” ฉันตอบเขา อดสงสัยไม่ได้ว่าอีตาขี้เก๊กนี่จะอยากรู้ไปทำไม แต่ช่างเหอะ ไม่เกี่ยวกับฉัน
เอเธนส์พยักหน้ารับรู้ น้ำเสียงยานคางกับปลายนิ้วที่จับตรงแขนเสื้อปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ ทว่า... “...ไปเปอร์”
“อะไรอีก”
คำพูดหลังจากนั้นกลับผูกมัดฉันให้ติดอยู่กับเขายิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ก่อนนอนส่งไลน์ราตรีสวัสดิ์ฉันด้วยล่ะ”
กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ //พ่นไฟ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Let’s talk (again)
ดีค่าาาาา
เจอกันอีกแล้วโน๊ะ สำหรับวีคที่ 3 นี้ เกมรักกั๊กหัวใจยัยตัวดีก็ร้อนเหมือนเคยค่ะ 5555
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่อาย @เจ้าหญิงผู้เลอโฉม มากๆ สำหรับคอมเมนต์ยาวสะใจ โดนไตทุกดอกจริงๆ ค่ะ ก่อนหน้านี้แต่งเองอ่านเองก็ไม่ค่อยมั่นใจอะไรมาก เหมือนพายเรือในอ่าง มองไม่เห็นจุดบอด/ช่องโหว่ ถึงจะเขียนได้ไม่ดี แต่จะหน้าด้านอยู่จนครบเจ็ดตอนแน่นอนค่ะ (ฮา)
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร อยากเมนต์แบบไหน จัดเลยค่ะ ไม่โกรธแน่นวลลลล
การประกวดนักเขียนหน้าใสเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับคนที่เพิ่งผ่านเข้ารอบมาครั้งแรก
จริงๆ ด้วยอายุอานามแล้วก็ไม่น่ามาประกวดหน้าใสหรอก 5555
ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยกำลังที่มี
พูดถึงอิมเมจตัวละคร บอกกงๆ ว่ามี แต่ไม่กล้าแปะค่ะ กลัวโดนฟ้อง
เอเธนส์น่ะไม่เท่าไหร่ ไปเปอร์นี่สิคะ นิสัยรุงรังออกปานนี้ใครจะอยากมาเป็นอิมเมจให้นาง 555
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกโหวต และทุกกำลังใจมากๆ เลยค่ะ
ไปก่อนนะคะ เดี๋ยวจะหมดมุขเขียน 5555

นี่บทที่สามแล้ว แต่เนื้อเรื่องยังเรื่อยๆ ยังไม่เดินไปไหน แต่ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องยังไม่เดิน เนื้อหาในตอนกลับยาวมากเลย เหมือนกลัวว่ามันจะยาวไม่พอหรืออย่างไรก็ตาม ตอนต่อไปอยากให้เข้าเนื้อเรื่องได้แล้วนะคะ เพราะเรื่องเราเป็นแนวเดินเรื่องแบบ ฉับ ฉับ ฉับ เราก็ควรจะตบเข้าเรื่องให้ไว เพราะไม่ใช่เรื่องที่มีปมดราม่าซับซ้อนอะไร ดังนั้นเราควรเล่นกับสถานการณ์ เขียนฉากให้มันสนุก กระชับ ฉับไว และให้เนื้อเรื่องมันเดินไปทุกตอน เนื่องจากเราแข่งกันเป็นตอนๆ เนาะ ควรให้มันมีจุดพีคในตอนของตัวเองทุกตอน (และพีคขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละตอน) แนะนำให้เขียนโครงเรื่องของแต่ละตอนเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เปิดปมไหนบ้าง ปิดปมไหนบ้าง แอบแง้มปริศนาอะไรบ้าง ฯลฯ
สู้ๆ ค่ะ ไว้เจอกันใหม่ตอนต่อไปน้าาาาาา~