สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง... แต่ฉันไม่ได้มีสี่ขา แล้วฉันก็ไม่ใช่นักปราชญ์ แล้วทำไมฉันถึงพลาดท่าให้ไอ้หมอนั่นล่ะ!?!
บทที่ 6
Fairy God Mother: นางฟ้าแม่ทูนหัว
มันเป็นเวลาแค่พริบตาเดียว...
จุ๊บ...!
ความรู้สึกเย็นปลาบเกิดขึ้นเมื่อ ‘ตรงนั้น’ สัมผัสอากาศหลังจากริมฝีปากนุ่มหยุ่นผละออกไป
ตุ้บ...
หมวกแก๊ปนิวยอร์กแยงกี้ที่ฉันสวมอยู่ตกลงพื้น ในหัวเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าล้านโวลต์ เราเงียบใส่กันอยู่นาน จนกระทั่งเอเธนส์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“โทษที คือ... ฉันมีมือแค่ข้างเดียวและมันสกปรก”
“...”
“ฟังดูเหมือนแก้ตัว” เขาก้มลงเก็บหมวกแก็ปขึ้นมาสวมลงที่เดิมขณะพูดต่อ “แต่ฉันไม่อยากเอามือสกปรกไปจับเธอเลย มันอาจทำให้เธอเป็นสิว”
ใช่...เป็นสิว
“อะ...อ่า...” ฉันขยับปาก แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา ทำได้แค่มองอีกฝ่ายด้วยความอึ้ง กระทั่งรู้สึกถึงบางอย่างที่แล่นปร่าคล้ายว่าจะเป็นไข้ ฉันจึงก้มหน้าลงเพื่อซ่อนเร้นใบหน้าอันร้อนฉ่าไว้ ฉันเป็นสิวไม่บ่อย แต่เป็นแล้วไม่ค่อยหาย ยัยชอลลี่ก็จ้องแต่จะบีบ แต่แบบนี้มัน...
แบบนี้มัน...
“ฉันว่าฉัน...กลับดีกว่า”
วันต่อมา...
“สามสิบเก้าองศาอ่ะเฮีย”
“ไข้สูงขนาดนี้คงไปเรียนไม่ได้แล้วล่ะ”
อาการวิงเวียนเข้าจู่โจมทันทีที่ฉันรู้สึกตัว ร่างกายรู้สึกเหมือนถูกไฟคลอกสลับกับถูกราดด้วยน้ำเย็น บอกได้คำเดียวว่ามันเป็นความรู้สึกที่แย่...แย่โคตรๆ
“ตาวดูน้องไปก่อนนะ เฮียจะโทรบอกชอลลี่ก่อน”
“ได้เฮีย”
ฉันฝืนสังขารลืมตาขึ้นมาดูความเป็นไปรอบตัวในเวลานี้ เฮียเต๋อเพิ่งเดินออกไปโทรศัพท์ ส่วนเฮียตาวก็นั่งกอดพนักเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสืออยู่ข้างเตียง เขาถือปรอทวัดไข้ไว้ในมือ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองฉันด้วยสายตาที่ดูไม่ออกว่าตกลงเขาสงสารหรือสมเพชฉันกันแน่ แต่ก็นั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าเฮียตาวแล้ว คงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
“ไงล่ะไอ้น้องกาก” เห็นมะ ฉันว่าผิดที่ไหนกัน “ถึงลื้อจะป่วยแต่อั้วก็ไม่สงสารหรอกนะ ระหว่างที่ลื้อนอนแบ็บเป็นซากหมาถูกรถทับอย่างนี้ อั้วจะกินช็อคโกแลตที่ลื้อซ่อนไว้ตู้เย็นให้หมด แผ่นเกมที่ลื้อหวงหนักหนา อั้วก็จะเล่นให้พังยับ ชุดจานชามคุมะมงของลื้อ อั้วก็จะเอาไปใส่ข้าวให้หมาจรจัดกิน”
กรรซซซซซซซ์
ทนไม่ไหวแล้วโว้ยยย!!
“เฮ้ย!!” อิเฮียตาวสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ ฉันก็เด้งตัวขึ้นมาประจันหน้ากับนางในระยะประชิดด้วยความโมโห ก่อนที่ฉันจะหงายหลังลงไปนอนแบ็บอย่างเดิม นี่มีใครเอาก้อนหินมายัดใส่ในหัวฉันแทนขี้เลื่อยรึเปล่า ทำไมมันถึงได้หนักแบบนี้ T^T
โอยยยย มึนหัวไปหมดแหล่ววว @_@
“เอะอะเสียงดังอะไรตาว เดี๋ยวน้องก็ตื่นหรอก”
“มันตื่นแล้วเฮีย เฮ้ย ตื่นแล้วก็ลุกมากินข้าวกินยา อย่าสำออยให้มากนัก อั้วกับเฮียเต๋อไม่ได้มีเวลาเฝ้าทั้งวันนะเว้ย” ว่าแล้วเฮียตาวก็หันมาเขย่าตัวฉันจนหัวสั่นหัวคลอน โว้ย! เขย่าแรงขนาดนี้ กะให้ฉันคอหักตายเลยใช่มั้ย พูดด!
“พอๆ” เฮียเต๋อที่คงไม่อยากเห็นน้องนุชสุดท้องถูกฆ่าตายคาเตียงออกปากห้ามปราม ฮือออ พ่อยอดขมองอิ่มของน้องงง “ลงไปเอากะละมังใส่น้ำอุ่นกับผ้าขนหนูแล้วก็กล่องยามา ทางนี้เดี๋ยวเฮียจัดการเอง” เมื่อเป็นคำสั่งจากเฮียเต๋อ อิเฮียตาวก็ต้องลุกไปปฏิบัติตามสั่งอย่างเสียไม่ได้
ฟุบ...
เตียงนอนยวบลงเมื่อเฮียเต๋อเดินมาทิ้งนั่งข้างๆ ฉัน มือใหญ่ทาบลงที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ โอยยย ทรมานเบอร์สุด
“ปวดหัวอ่า...”
“งี้แหละไข้สูง เดี๋ยวเช็ดตัวแล้วกินยานอนสักตื่นก่อนค่อยลุกมากินข้าวก็ได้ เฮียทำข้าวต้มกุ้งไว้ ไปป์คงพอกินไหว” พี่ชายคนรองว่าพลางจัดท่านอนฉันให้พร้อมสำหรับการเช็ดตัว คิดถูกแล้วล่ะที่หยิบเสื้อกับกางเกงบอลมาใส่นอน เฮียเต๋อจะได้เช็ดตัวง่ายๆ
“ได้แล้วเฮีย” เฮียตาวกลับมาด้วยสภาพทุลักทุเลสุด มือหนึ่งถือกะละมัง อีกมือถือกล่องยา และหนีบขวดน้ำไว้ที่รักแร้ด้านขวา ถึงเฮียเต๋อจะไม่ได้สั่งแต่เขาก็หยิบน้ำดื่มมาด้วย นับว่าฉลาดสมกับที่เลี้ยงด้วยข้าวคน
แหมะ...
ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ ถูกโปะลงที่หน้าผาก สัมผัสอุ่นๆ ลูบไล้ไปทั่วใบหน้า ลำคอ และแขนขา เมื่อขั้นตอนแผ่นเจลลดไข้จึงถูกแปะลงมา สัมผัสเย็นวาบซาบซ่านช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ในเวลาแบบนี้ฉันคิดถึงเฮียตงชะมัด เขามักจะคอยโอ๋อยู่ข้างๆ เวลาที่ฉันป่วย
“เฮียตงอ่า...”
“กำลังกลับจากไซต์งาน น่าจะถึงตอนบ่ายๆ” เฮียตาวตอบ ฉันทำได้แค่ส่งเสียง ‘อื้อ’ ในลำคอ
หากใครกำลังสงสัยว่าพ่อแม่ฉันไปไหน ไยจึงมีแต่บรรดาพี่ชายมาคอยดูแล ก็จะขอเล่าแจ้งแถลงไขตรงนี้ว่า ณ ทาวน์เฮ้าส์สี่ชั้นแห่งนี้ มีแค่พวกเราสี่พี่น้องอาศัยอยู่ ป๊ากับแม่หนีกรุงเทพฯ ไปอยู่บ้านสวนที่ต่างจังหวัดได้หลายปีแล้ว เฮียตงกับเฮียเต๋อจึงทำหน้าที่ดูแลน้องๆ แทนท่านทั้งสองไปโดยปริยาย ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็...
เฮียตง = พ่อ
เฮียเต๋อ = แม่
ฉัน = ลูกสาว
เฮียตาว = สัตว์เลี้ยง
ถ้าไม่นับเรื่องที่ฉันกับเฮียตาวตีกันเป็นว่าเล่น บ้านหลังนี้ก็ถือว่าอบอวลไปด้วยความสุขนะ
“ทีนี้ก็ลุกมากินยานะ”
ฉันยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีเฮียเต๋อคอยให้ความช่วยเหลือ เฮียตาวส่งยาลดไข้และน้ำดื่มมาให้ด้วยสีหน้าล้อเลียน ฉันรับน้ำและยามากินโดยไม่สนใจความกวนประสาทของอีกฝ่าย ไอ้หมั่นไส้น่ะก็ใช่ แต่ตอนนี้สังขารไม่เอื้ออำนวย U.U
“แล้วเรื่องคนเฝ้าเอาไงดีเฮีย ตาวมีเรียนเลิกค่ำเลยวันนี้”
“เฮียก็ต้องไปออฟฟิศลูกค้าทั้งวันเหมือนกัน” ความกังวลแฝงอยู่ในน้ำเสียงของพี่ชายคนรอง ด้วยความที่ไม่อยากเป็นภาระให้ใคร ฉันจึงยกมือขึ้นมาทำท่าโอเค
“ไปป์อยู่คนเดียวได้ เฮียไปทำงานเถอะ”
“ให้มันจริงเหอะ ไม่ใช่ว่ากลับมาเจอลื้อขึ้นอืดเต็มเตียงนะ” ดูมัน...ดูอีพี่บังเกิดเกล้ามันอวยพรสิ -*- นี่ฉันกำลังทำตัวเป็นน้องที่ดี ดูแลตัวเองได้อยู่นะเว้ย! ถึงใจจะอยากงอแงให้เฮียเต๋ออยู่เฝ้าไข้แทบตาย แต่ฉันก็จะอดทนไม่เอาแต่ใจ จนกว่าเฮียตงจะมา ฮึบ! “ถ้าจะตายก็ออกไปตายข้างนอกบ้านโน้นนะ ข้างในเก็บกวาดลำบาก”
หน็อยยย...
ถ้าไม่ได้กำลังถูกพิษไข้เล่นงานฉันคงกระโดดเตะยอดหน้าอีเฮียตาวไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละ โบราณว่าสิบปีล้างแค้นยังไม่สาย ฉันจึงทดความอัปยศนี้ไว้ในใจ และตอบกลับด้วยอวัจนะภาษาที่สั้น ง่าย และได้ใจความ
…………………./´¯/)
………………..,/¯../
………………./…./
…………./´¯/’…’/´¯¯`·¸
………./’/…/…./……./¨¯\
……..(‘(…´…´…. ¯~/’…’)
………\……………..’…../
……….”…\………. _.·´
…………\…………..(
…………..\………….\…
“ฮ่อ แรงดีแบบนี้ไม่ต้องเสียเวลาเป็นห่วงมันหรอกเฮีย ไปกันเถอะ เดี๋ยวรถติด”
“อื้ม ถ้าไม่ไหวยังไงก็โทรมานะ เดี๋ยวเฮียจะลองขอลูกค้าออกมาดู”
ฉันพยักหน้ารับรู้ แล้วเตียงก็ที่ยุบยวบก็กลับสู่สภาพเดิมขึ้นเมื่อเฮียเต๋อลุกขึ้น ความเป็นห่วงระคนกังวลฉายชัดบนนัยน์ตาสีอ่อน ฉันชูกำปั้นเป็นเชิงว่า ‘สบายมาก!’ ให้พี่ชายคนรอง เฮียเต๋อยิ้มรับก่อนจะยอมออกไปทำงานในที่สุด ฉันห่อตัวเองด้วยผ้าห่ม พยายามไม่นึกถึงสาเหตุที่ทำให้ป่วยไข้ นิ่งฟังเสียงลมหายใจ ภาวนาให้เฮียตงกลับถึงบ้านไวๆ แล้วจมลงสู้ห้วงนิทรา
Athens’s Story#2
‘ฉันว่าฉัน...กลับดีกว่า’
มันเกิดจากความใจร้อนของผมเอง...
ใบหน้าขึ้นสีจัด น้ำเสียงสั่นครือ...วนเวียนในห้วงความคิดผมมาตั้งแต่วินาทีนั้น ไม่มีไลน์ราตรีสวัสดิ์ โจ๊กหมูเด้งพิเศษตับเมื่อตอนเช้าก็เป็นหมัน เธอไม่ได้ติดต่ออะไรมา ไปเปอร์หายไป...
“ไปเปอร์ลาน่ะ” เด็กผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าห้องบอกอย่างนั้นเมื่อผมมาตามหาเจ้าตัวที่ห้องเรียนในช่วงพักเที่ยง “ถ้าอยากรู้รายละเอียดแนะนำให้ถามคนข้างหลังจะดีกว่านะ”
ผมหันหลังตามที่เธอบอกก็พบกับร่างสูงโปร่งในชุดนักเรียนชาย แต่สีหน้าและท่าทางกลับสวนทางกับเครื่องแบบ ชอลลี่ทำให้ผมนึกถึงบียอนเซ่ เลดี้กาก้า และรีอานน่าในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญบรรดาศิลปินที่ว่านั่นกำลงเท้าสะเอวมองผมอย่างเอาเรื่อง
“ขอเคลียร์ด้วยหน่อยซิ”
@ห้องเก็บของหลังอาคารสาม
เพราะเห็นตรงกันว่าควรหาที่ลับตาคนในการคุย ห้องเก็บของหลังอาคารสามซึ่งเล่าลือกันว่าผีดุจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“อย่างแรกเลยนะ จะให้ชอลลี่เรียกว่าไงดีคะ ‘พี่’ หรือ ‘ไอ้’” ประโยคแรกมาก็แรงเลยครับ
“ก็แล้วแต่เราพอใจนั่นล่ะ ตอนนี้เรารุ่นเดียวกันแล้ว ^__^”
“งั้นก็เรียกไอ้แล้วกันค่ะ ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี -*-” สาวน้อยในคราบชายหนุ่มสะบัดหน้า แสดงออกชัดเจนว่าไม่มีความไว้วางใจใดๆ ให้ผมทั้งนั้น เธอมองผมอย่างจับผิด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ “เข้าเรื่องเลยนะคะ เมื่อวานพี่ทำอะไรยัยไปป์”
“เธอหมายถึงอะไร?” ผมชี้หน้าตัวเองอย่างไม่เข้าใจคำถาม นั่นทำให้คนตรงหน้าตวัดสายตามามองอย่างเกรี้ยวกราด
“ไม่ต้องมาทำไขสือ ตีหน้าซื่อไปก็เท่านั้น ยัยไปป์น่ะสกปรกยิ่งกว่าเชื้อโรค โรคอะไรก็เอามันไม่ได้ เว้นแต่จะตกใจมากๆ มันถึงจะเป็นไข้จนต้องหยุดเรียน”
“เธอกำลังจะบอกว่า...ไปเปอร์ป่วย?”
“ใช่ มันป่วย และฉันกำลังสงสัยว่าพี่เป็นต้นเหตุ”
“...!” ถ้อยคำของชอลลี่ทำให้ผมชะงักอย่างรู้สึกผิด เรื่องราวของเมื่อวานประเดประดังเข้ามาในห้วงความคิด ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่พอเอาเข้าจริงมันคนละเรื่องกันเลย ผมถูกสอนให้เป็นสุภาพบุรุษมาตั้งแต่เด็ก และผมก็เคยทำได้ แต่กับไปเปอร์...นัยน์ตาสีน้ำตาลเปล่งประกาย รอยยิ้ม กับเสียงหัวเราะบ้าบอพวกนั้นทำให้ทุกอย่างยากขึ้นเป็นกอง
“เมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่สิ ต้องถามว่าทั้งหมดนี่มันเรื่องอะไร ทำไมเจ้าชายอย่างพี่ต้องเข้ามาวุ่นวายกับยัยซื่อบื้อไม่รู้สี่รู้แปดอย่างไปเปอร์ด้วย”
‘เจ้าชาย’ ฉายาที่ชาวแอลลินตันตั้งให้ไม่ได้เหมาะกับตัวผมในตอนนี้เลยสักนิด ความจริงแล้วผมก็เป็นแค่ไอ้บ้าที่ควบคุมตัวเองไม่ได้และทำให้เธอป่วย ผมไม่ได้ตั้งใจ...สถานการณ์ที่ดำเนินอยู่นี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่ายังไม่รู้จักไปเปอร์ดีพอ
ผมต้องการตัวช่วย
“ใช่...ฉันทำให้ไปเปอร์ป่วย” มันเหมือนกับการทอยลูกเต๋านั่นล่ะครับ เราไม่มีทางรู้เลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร แต่ผมก็ยอมวัดใจบอกทุกอย่างให้ชอลลี่รู้ ทั้งเรื่องร้ายๆ ที่ผมทำกับเพื่อนของเธอเมื่อวาน และเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมด ร่างเพรียวตรงหน้ายกมือทาบอกพลางเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ทะ...ที่พูดนี่จริงป่ะเนี่ย O_O”
“ก็ไม่ได้ล้อเล่นนะ ^^”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ >_<!!!”
“งานแข่งทักษะเมื่อปีที่แล้ว ก่อนฉันไปแลกเปลี่ยน”
“กรี๊ดดดดดด ดีอ้ะ!!! >///<” จากเดิมที่เอาแต่จ้องจับผิดก็กลายเป็นปิดปากกรี๊ด รีแอ็คชั่นของชอลลี่ทำให้ผมมีความหวัง ดูเหมือนว่าผมจะทอยลูกเต๋าได้แต้มสุงสุดนะ^^
“ฉันสารภาพความจริงทุกอย่างแล้ว เธอจะช่วยไว้ใจฉันได้มั้ย”
“แน่นอนสิคะ” ร่างเพรียวตรงหน้าบอกด้วยแววตาเป็นประกาย “พี่รู้อยู่แล้วใช่ป่ะว่ายัยไปป์มันโง่ เอ้ย! มันใส ต่อให้พี่อ่อยมันไปก็ใช่ว่ามันจะรู้เรื่อง เอางี้แล้วกัน ในฐานะนางฟ้าแม่ทูนหัว ฉันจะช่วยอีกแรง ดีมั้ย?”
“นั่นเยี่ยมไปเลย ^__^”
“แต่...ฉันไม่ได้ช่วยฟรีๆ หรอกนะ ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยน” ชอลลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย นั่นทำให้ผมนึกถึงข้อตกลงที่ทำกับไมค์ก่อนหน้านี้ สองคนนี้มาแนวเดียวกันเลยครับ ^-^;; “เอาหูมาสิคะ”
ผมยื่นหูไปใกล้ๆ ตามที่เธอสั่ง ชอลลี่จึงเริ่มกระซิบอย่างอย่างในความเงียบ...บางอย่างที่จะเป็นความลับระหว่างเราสองคน
“ดีลมั้ยคะ”
“ดีลครับ^__^”
“ดีค่ะ” เมื่อได้ข้อสรุปชอลลี่ก็ผละออกไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ แล้วในตอนที่เรากำลังจะออกจากห้องเก็บของ เธอก็หยุดชะงักและหันมาพูดกับผมราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ไปเปอร์เป็นลูกสาวคนสำคัญของฉัน ถ้าพี่จะมาเล่นๆ หรือทำให้มันเสียใจ...” ร่างเพรียวเว้นวรรค นัยน์ตาพราวระยับเหล่มองบั้นท้ายผมอย่างสื่อความหมาย “...บานแน่ค่ะ^^”
นั่นเป็นคำขู่ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะเคยเจอเลยครับ
เอี๊ยด...
เสียงเปิดประตูปลุกฉันให้ตื่น...
“นอนอยู่แฮะ อืม...ขวัญอ่อนน่ะ” เสียงนี้...เฮียตงกลับมาแล้วสินะ “ตกใจมากๆ แล้วจะเป็นไข้ เป็นมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว” ช่าย...พูดอีกก็ถูกอีก ว่าแต่เฮียตงคุยอยู่กับใครน่ะ โทรศัพท์เหรอ “ก็เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กนั้นล่ะ อย่างกับมีลูกสาวแน่ะ”
อา...ใช่
เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ เหมือนภาพยนตร์ยุค80s เพราะป๊ากับแม่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจุนเจือครอบครัวที่มีลูกถึงสี่คน เฮียตงกับเฮียเต๋อจึงต้องเสียสละชีวิตวัยเด็กเพื่อมาดูแลน้องๆ แทนท่านทั้งสอง (นี่ก็เว่อร์ไป) เฮียเต๋อมีหน้าที่ดูแลเฮียตาวที่โตกว่า ส่วนเฮียตงก็ดูแลฉันมาตั้งแต่ยังไม่หย่านมดี ทุกช่วงชีวิตของฉันล้วนมีเฮียตาวเป็นองค์ประกอบสำคัญ เขาเป็นฮีโร่ของฉันเลยล่ะ ♥
อา...อยากนอนหนุนตักฮีโร่จัง
คิดได้อย่างนั้นฉันก็ค่อยๆ ลุกจากเตียงไปที่บันได เป้าหมายคือห้องนอนของเฮียตงซึ่งอยู่ชั้นสี่ ความตั้งใจของฉัน ณ เวลานี้คือพุ่งเข้าชาร์จอาเฮียสุดที่รักให้หายคิดถึงหลังจากไม่ได้เจอกันหลายวัน แต่ทุกความคิดก็มีอันต้องหยุดชะงักเพราะเสียงหัวเราะที่เล็ดลอดออกมา
“ฮ่าๆๆ คุณนี่มันจริงๆ เลย”
ฉันแอบแง้มประตูพอให้มองเห็นว่าคนข้างในกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนหูก็แนบชิดติดผนัง พระพุทธ... เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตัวเองก็ขี้เผือกไม่ใช่เล่น (นิสัยแบบนี้จากชอลลี่ทั้งนั้น) ยิ่งได้เห็นเฮียตงหัวเราะสลับกับยิ้มกว้างให้โทรศัพท์ ต่อมเผือกก็ยิ่งสั่นระรัว
เฮียตงของฉันเป็นเสือยิ้มยาก ตั้งแต่เล็กจนโตฉันเห็นเขายิ้มแบบนั้นนับครั้งได้ อะไรกัน มีเรื่องดีๆ แต่ไม่ยอมบ่งปันเหรอเฮียตง! -0-
“ฮั่นแน่!” ฉันโผล่พรวดเข้าไปในห้องเมื่อเฮียตงวางโทรศัพท์ ความเผือกไม่เคยปราณีใคร แม้แต่พิษไข้ยังต้องยอมแพ้ “แอบมีสาวก็ไม่บอก >_<”
ผู้ถูกบุกรุกเหวอนิดหน่อย แต่ก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติภายในเสี้ยววินาที “ว่าไงเรา ไม่สบายไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นอนพัก”
“โอ้โหเฮีย ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าลายาวยันบ่ายสามนี่ก็ไม่รู้ว่าหลับหรือซ้อมตายแล้ว ว่าแต่เฮียเถอะ หัวเราะคิกคักเชียวนะ”
“ไปเล่นตรงนู้นเลยไป เฮียจะอาบน้ำ”
“แน๊ เขินก็บอก”
เฮียตงไม่ต่อความยาวสาวความยืด หยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวแล้วเดินลิ่วๆ เข้าห้องน้ำไป ส่วนฉันก็ย้ายร่างมานั่งที่ขอบเตียง กระทั่งผ่านไปห้านาที พี่ชายสุดหล่อในชุดลำลองก็กลับมาให้ฉันแซะต่อ
“เฮียจะไม่บอกน้องหน่อยเหรอว่าพี่สาวคนนั้นเป็นใคร ใจคอจะให้รู้เอาวันแต่งงานเลยใช่มั้ย @_@” เฮียตงของฉันน่ะทั้งหล่อ สูง กล้ามแน่น แล้วก็รวยด้วย ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวของเฮียตงแล้วล่ะก็ต้องสวยมากแน่ๆ (แต่เสียงห้าวไปหน่อยนะจากที่แอบได้ยิน) เฮียตงไม่ตอบอะไรกลับ เขาทำหูทวนลมเอาผ้าเช็ดตัวใช้แล้วไปแขวน พอถูกฉันแซะมากเข้าๆ ก็หมดความอดทน เดินดุ่มๆ มาที่เตียง และ...
โป๊ก!
“โอ๊ย!” เบิ๊ดกะโหลกฉัน แง้งงง “เจ็บนะเฮีย”
“ก็เขกให้เจ็บ เด็กแก่แดดจะได้จำ” เฮียตงยิ้มขำ ฉันลูบหัวตัวเองป้อยๆ
“ไปป์เปล่าแก่แดดนะ เฮียต่างหากที่มีพิรุธ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเคยหัวเราะแบบนั้นกับน้องบ้างเลย” บ่นอุบพลางดีดแข้งดีดขาไม่พอใจ คนเดียวที่ฉันจะเอาแต่ใจอย่างนี้ได้ก็มีแค่เฮียตงเนี่ยแหละ “ดูสิ น้องป่วยอยู่ก็ยังจะตี งอนซะเลยดีมั้ยเนี่ย -^-”
“ไม่เอาน่ะ งอนไปเฮียก็ไม่ง้อหรอก” แต่การกระทำช่างสวนทางกับคำพูด เฮียตงยื่นมือมายีหัวฉันอย่างที่ชอบทำประจำ (มันคือการง้อนั่นแหละ) มืออุ่นของพี่ชายคนโตให้ความรู้สึกปลอดภัย ขอแค่มีเฮียตงอยู่ใกล้ๆ แฟนเฟินก็ไม่จำเป็นต้องมีนะเอาจริงๆ
ปิ๊งป่อง~
เสียงกริ่งดังลั่นเรียกให้ฉันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จลงไปดูเครื่องวิดีโออินเตอร์คอมฯ ที่ชั้นสองซึ่งเป็นโซนห้องนั่งเล่นและห้องครัว ใบหน้าของชอลลี่หราบนหน้าจอดิจิทัลทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก!
“ฮาย~ ลูกสาว” เสียงนางแหกลำโพงมาเลยค่ะ “รีบเปิดประตูให้ขุ่นแม่เร้วว~”
น้ำเสียงอารมณ์ดีของชอลลี่ทำให้ฉันแปลกใจนิดหน่อย ไม่อยากจะอวดหรอก แต่บ้านฉันไฮเทคนะจ๊ะ แค่กดปุ่มบนเครื่องวิดีโออินเตอร์คอม ยัยตุ๊ดเพื่อนแก้วก็เข้ามาได้แล้ว ไม่ต้องลงไปเปิดประตูให้เมื่อยตุ้มเบย~
“เป็นไงบ้างแก อาการดีขึ้นหรือยัง” ร่างเพรียวตรงหน้าถามเมื่อนางขึ้นมาถึงห้องนั่งเล่นและจับจองพื้นที่ตรงโซฟา
“ก็ดีแหละ แต่ยังมีไข้อยู่นิดหน่อย” ฉันบอกพลางทิ้งตัวลงข้างๆ นางนั่นแหละ “แกไม่ประชุมเหรอวันนี้”
“ไม่ค่ะลูกสาว วันนี้ขุ่นแม่เป็นอิสระ! \^0^/” ไม่ว่าเปล่า นางยังกางแขนตั้งการ์ดลีดฯ มืออีกต่างหาก วันนี้มันอารมณ์ดีแปลกๆ นะฉันว่า
“แกลาออกจากชมรมแล้วเหรอ (‘ ‘)” อดสงสัยไม่ได้จริงๆ
“พูดจาให้มันเหมือนคนมีรอยหยักในสมองหน่อยได้มะ” เอ้า! เหวี่ยงเฉย “ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้ชมรมขนาดนั้น คิดว่าฉันจะลาออกง่ายๆ เหรอ!"
“เอ้า ก็ไม่รู้ เห็นแกเครียดเรื่องชมรมมาตั้งนาน อยู่ๆ ก็อารมณ์ดีเหมือนผีเข้า ฉันก็นึกว่าแกเทงานแล้วอ่ะสิ -_-;;”
“อย่าเอานิสัยแกมาเทียบกับฉันย่ะ ที่ฉันอารมณ์ดีก็เพราะสรุปโชว์ที่จะใช้ในงานแข่งทักษะได้แล้วต่างหาก”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้ารับรู้ (ก็ได้วะ) “แล้วมานี่มีไรอ่ะ คงไม่ได้มาบอกแค่นี้หรอกถูกมะ?”
“ถูกต้องค่ะซิส!” ยัยตุ๊ดน้อยดีดนิ้วระริกระรี้ วันนี้ชอลลี่ไม่ได้โมโหเป็นซีโนมอร์ฟหิวไส้คนแล้วค่ะ “เฮียเต๋ออยู่มั้ยอ่ะ ฉันคิดถึง >.<”
“ไม่อยู่ อยู่แต่เฮียตง กำลังพักผ่อนอยู่” ฉันเบ้ปากใส่ความบ้าผู้ชายของยัยตุ๊ดข้างๆ เพื่อนเปื่อยทั้งคนไม่สนใจ มิตรภาพสิบกว่าปีมีความหมายขนาดนี้เลยเนอะ เชอะ!! :(
“โอ๋ๆๆ ล้อเล่นหรอกน่า ฉันมาหาแกนั่นแหละค่ะ เอาการบ้านมาให้” ดูเหมือนชอลลี่จะสัมผัสได้ถึงคลื่นความน้อยใจ นางจึงยื่นมือมาง้อด้วยการจับแก้มฉันยืด งื้อออ นี่ไม่ใช่แป้งพิซซ่านะ >_< “เฮ้อ~ คิดแล้วก็เสียดาย อุตส่าห์มีเวลาว่างมาแกให้เลี้ยง After you ทั้งที แต่ก็ได้ช่วยไม่ได้นะ เปลี่ยนเป็นโรตีบังเลาะแทนแล้วกัน”
โรตีบังเลาะถือเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในย่านที่ฉันอาศัยอยู่ ด้วยรสชาติอร่อยถูกใจราวกับใส่ใบกระท่อม กับวาจาฉอเลาะราวกับอมสาริกาลิ้นทองวันละสามเวลาทำให้โรตีบังเลาะเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง กิจการรุ่งเรืองมาหลายสิบปี
“โรตีมะตะไก่กับโรตีหมักเนยราดนมข้นหวานเยอะๆ ครับผม” แล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุธร์ที่บังเลาะใช้ฟาดฟันกับร้านคู่แข่งซึ่งผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด พี่ฟาฮัดเสิร์ฟโรตีด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ แฮชแท็กพ่อค้าแซบทำให้ในร้านคลาคล่ำไปด้วยสาวน้อยสาวใหญ่ ทั้งสาวแท้และสาวเทียม
“ขอบคุณค่ะ” ชอลลี่ใช้เสียงสามพลางส่งสายตาหวานเยิ้มให้พ่อค้าแซบ “เขาควรเป็นพ่อของลูกฉันมากเลยแก”
ฉันกลอกตาใส่ความเพ้อเจ้อเบอร์ใหญ่ กระเพาะอาหารสั่งให้เลิกสนใจมันแล้วหันไปจ้วงมะตะบะไก่ร้อนๆ ที่ส่งกลิ่นหอมฉุย แต่ไม่ทันจะได้เอาเข้าปากก็มีอันต้องอดกิน
“จริงสิ แกไม่ตอบไลน์ฉันเลย ตกลงเมื่อวานแกไปทำอะไรมาถึงไข้ขึ้นฮะ”
แหมะ!
ฉันสะดุ้งจนทำมะตะบะไก่หล่นพื้น พลันหัวก็นึกถึงเรื่องงามหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...ความร้อนฉ่าก็แล่นไปทั่วร่างอีกครั้ง โอ๊ยย รู้สึกเหมือนไข้จะกลับเลยอ่ะ TOT
“เอ่อ...คือแดดมันร้อนแล้วลมมันเย็นน่ะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นสลับกันฉันก็เลยป่วย อ่อนแอก็แพ้ไปไง แห่ะๆ” ยอมรับว่าตอแหล ด่าได้แต่อย่าแรง T^T ฮือออ ไม่งั้นจะให้ตอบว่าไงล่ะ ถูกผู้ชายจุ๊บเบ้าตางี้เหรอ บัดสีที่สู้ดดด
“อย่างนี้นี่เอง ฉันก็นึกว่ามีหนุ่มคนไหนมาทำให้แกใจเต้นจนไข้แตกซะอีก” กรี๊ดดดดดดด!! ทำไมยัยนี่เดาถูก TTOTT
“ปะ...ปะ...เปล่า ไม่ใช่ๆ ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย” ฉันรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน เหงื่อนี่แตกพลักๆ ก็แค่หมอนั่นกลัวทำสิวขึ้นหน้าฉัน ก็เลยใช้ริมฝีปากเช็ดซอฟต์ครีมที่เบื้อนบนหน้าให้ก็แค่นั้นเอ๊งงงง
“จริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ!”
“แน่นะ”
“ก็แน่สิ!!”
“เออๆ รู้แล้วน่ะ ไม่เห็นต้องเสียงสูงใส่กันเลย” ยัยตุ๊ดเพื่อนแก้วเบะปากใส่ นั่นทำให้ฉันรู้ว่ากำลังทำตัวไม่เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ฉันหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดกลั้นอะไรสักอย่างที่ตีกันอยู่ข้างใน
ตึกตัก... ตึกตัก...
เย็นไว้ลูก...เย็นไว้ จุ๊บบ้าจุ๊บบออะไร ก็แค่หมาตายลอยน้ำ หมาตายลอยน้ามมมมมม >_<!!
“เออจริงสิ เมื่อตอนกลางวันพี่เอเธนส์มาถามหาแกด้วย กรี๊ดดด! มะตะบะไก่อร่อยเว่อร์” ชอลลี่พูดขึ้น ในที่สุดมันก็เลิกจับผิดฉันเสียที ยัยนี่น่ากลัวอย่างกับผี เอ๊ะ...แต่เมื่อกี้มันว่าไงนะ
“แกว่าไงนะ”
“มะตะบะไก่อร่อยเว่อร์ (‘ ‘)”
“ไม่ใช่สิ ก่อนหน้านั่น”
“อ้อ...พี่เอเธนส์มาถามหาแก” นี่แหละที่สะกิดใจ!
“ทำไมแกเรียกเอเธนส์ว่าพี่อ่ะ”
“อ้าว...” ยัยตุ๊ดเพื่อนแก้วทำหน้าประหลาดใจ นางกลืนมะตะบะไก่ลงไปก่อนจะพูดต่อ “แกไม่รู้เหรอว่าเขาแก่กว่าเราปีนึง”
ตึง!!!
Let’s talk มั่วซั่ว
ผี!!!!
ในบทนี้ต้องการจะชูความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวซึ่งมีส่งผลต่อการคิดและตัดสินใจของไปเปอร์ จริงๆ อยากขยี้กว่านี้แต่เวลาไม่พอ //ฮรืออ นรกแตกของจริง อ้อ ชอลลี่นางออกมาเพื่อขายเพื่อนให้ผู้เพื่อแลกจุดประสงค์บางอย่างจริงๆ ค่ะ //มิตรภาพสวยงาม
อีสเตอร์เอ้กปล่อยกระจุยกระจายนะคะ ใครไม่เข้าใจต้องขออภัยจริงๆ ที่ฝีมือเราอาจยังไม่ถึงขั้นนั้น วอนพี่เจ้าหญิงคอมเม้นท์แรงๆ เลยนะคะ อยากให้ตอนหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายที่จะได้ลงเว็บออกมาดีที่สุด
อาทิตย์ก่อนตอนสุดท้ายเป็นอะไรที่ทั้งเครียดทั้งกดดันจนอยากกระอักเลือดตายเลยค่ะ
อะไรเอเธนส์ จุ๊บเค้าเองแล้วเขินเอง น่ารักกก 55555
ครอบครัวนางเอกน่ารักนะคะ มีชูนิ้วกลางให้กันด้วย โหดมากพี่ 555555
เกลียดมุขโรตีมะตะบะ 55555
ชอบนะพี่ น่ารักดี อยากรู้จริงๆ นะว่าพระเอกกับซอลลี่คุยไรกันอ่ะ
แล้วก็ชอบตรงเอเธอนส์เป็นรุ่นพี่ อปป้าาาา >O< แต่มันต้องมีอะไรแน่ๆ เลย ที่บอกว่าเอเธนส์เป็นรุ่นพี่เนี่ยยย
รออ่านต่อน้าาา สู้วววว
นี่ชอบคาเรกเตอร์ไปเปอร์กับอิโมติคอนสุด รู้สึกฮาร์ดคอร์ดี -..- ครอบครัวยัยไปป์นี่น่ารักจริงๆ เฮียๆทั้งหลายสนใจมาดูแลหนูบ้างมั้ยคะ55555
วีคหน้าตอนสุดท้ายแล้ว รออ่านนนน
ตอนนี้จุดบอดเดียวคือพี่ยังไม่อินกับความชอบที่เอเธนส์มีต่อไปเปอร์สักเท่าไหร่ค่ะ เพราะเรายังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่ว่านั่นเอง อยากให้ตอนต่อไปเปิดตรงนี้ได้แล้วค่ะ ไม่งั้นจะเปลืองฉากเกินไป และคิสซีนที่ผ่านมาจะเบาไป คิดฉากเฉลยปมที่มันเก๋ๆ และไม่ซ้ำใครได้ยิ่งดี และฉากนี้ไม่ควรติดตลกเกินไปด้วยค่ะ
หรือถ้ายังไม่อยากเฉลยปมนี้ ก็ต้องมีเหตุการณ์อื่นเข้ามาหักมุมได้แล้วค่ะ ไม่งั้นเรื่องจะไม่เดินนะ แบบว่ากราฟมันนิ่งเกินไปค่ะ เราดันไปเน้นเรื่องเป่ายิ้งฉุบเรื่องเกมซะเยอะเลยทำให้กินไปหลายบท ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบหนังสือมันก็โอเคแต่พอแข่งกันเป็นตอนๆ เลยทำให้เรื่องเดินช้าไปนิดค่ะ
แต่เห็นเปิดไว้แล้วว่าเอเธนส์มีดีลอะไรกับชอลลี่ งั้นเราน่าจะคิดพลอตตอนต่อไปไว้แล้วเนอะ เอาให้แซ่บให้ปังนะคะ ใช้ทุกบรรทัดให้มีค่าที่สุด น้ำอะไรไม่ต้องใส่มาเยอะแล้วค่ะ เราบิลท์ตัวละคร บิลท์มู้ดแอนด์โทนของเรื่องมาพอแล้ว ตอนนี้เน้นเนื้อเรื่องไปเลยค่ะ จัดเต็มกับตอนสุดท้ายให้สุดๆ เลยน้า เราจะรออ่านค่า สู้ๆ ^^ แล้วเจอกันในงานประกาศผลนะคะ
สุดท้ายขอฝากไว้ในฐานะนักเขียนรุ่นพี่เลย ความกดดันจะทำให้งานของเราถูกตีกรอบ ทำใจให้สบาย สนุกไปกับมัน มีความสุขกับมันดีที่สุดค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ!
เอเธนน่ารักกกกก มาจุ๊บๆ จิ๊บๆ อ่านแล้วชูกำลังมากค่ะ กระชุ่มกระชวยหัวใจ เป็นเรื่องรักใสๆ ที่อ่านได้ไม่เบื่อ
ขำทุกครั้งที่เจอคำว่าโจ๊กหมูเด้งพิเศษต่ำ ทีหลังต้องลองสั่งแบบนั้นกินดูบ้างอ่ะ
สู้ๆนะคะพี่มีนา รอร้อรออออ