มีสิ่งหนึ่งที่คนเราไม่ส่าใครก็ล้วนมีอยู่ในใจ นั่นคือความคาดหวังค่ะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่กับวัยรุ่นที่มองเห็น "ความคาดหวัง" แตกต่างกัน และความคาดหวังของแต่ละฝ่ายก็มักจะสร้างความไม่ชอบใจให้แก่กันและกันเสียด้วยค่ะ จากบทเรียนในอดีตของหลายๆ ครอบครัว มักมีบทหนึ่งที่ลูกวัยรุ่นไม่เข้าใจว้าพ่อแม่ต้องกดดันหรือบังคับอะไรมากมายในชีวิต จนกระทั่งทะเลาะและมีปัญหากัน กลายเป็นความล้มเหลวในการเลี้ยงลูก ซึ่งหลายครั้งมักเกิดจากการที่พ่อแม่นำเรื่องที่ตนเองทำไม่สำเร็จ ทำไม่ได้ นำความต้องการของตัวเองที่อยู่ในใจลึกๆ ไปใส่ไว้กับลูกมากเกินไป แม้จะทำด้วยความหวังดี แต่ลูกก็มักเจ็บหัวใจไปด้วยค่ะ แต่จะให้แต่ละฝ่ายเลิกคาดหวังกันและกันไปเลยก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ
และแม้ว่าวัยรุ่นจะไม่ชอบที่พ่อแม่จะพูดความคาดหวังออกมาตรงๆ แต่ก็ดีกว่าให้ลูกไม่เข้าใจพ่อแม่เลยค่ะ อีกทั้งยังแสดงว่าเราให้ความสำคัญในตัวเขา ไม่เพิกเฉยต่อวัยรุ่นค่ะ แน่นอนว่าจุดแรกของการพูดถึงความคาดหวังของกันและกันคือ "การเริ่มต้นพูด" แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ "การรับฟัง" ถ้าพ่อแม่พูดลูกก็ต้องฟัง และถ้าลูกเริ่มพูด พ่อแม่ก็ต้องรับฟังเช่นเดียวกันค่ะ
ถ้าผู้ใหญ่อยากให้วัยรุ่นฟังตัวเองอย่างแท้จริง ก็ต้องรับฟัง "ความต้องการของลูกวัยรุ่น" เมื่อผู้ใหญ่พร้อมที่จะบอกความคาดหวังแล้ว สามารถลองวิธีการสานต่อบทสนทนาได้จากบทความนี้ค่ะ ความคาดหวัง พ่อแม่หรือลูกที่แบกไว้จนเจ็บ
ย้ำอีกครั้งว่า แม้พ่อแม่จะรับรู้ว่าถ้าพูด "ความคาดหวังของผู้ใหญ่" ให้วัยรุ่นฟัง วัยรุ่นจะไม่ค่อยชอบก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้วัยรุ่นคิดไปเอง และรู้สึกว่าพ่อแม่บังคับ ไม่ปล่อยลูกให้มีชีวิตตัวเองเลยค่ะ
37 ความคิดเห็น
พูดแล้วอยากร้องไห้
อย่าให้พูดเลยเรื่องนี้...เฮ้อ..//เอามือกุมขมับ
ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิน๊ะ
ยาก...
พูดแล้วก็เหนื่อยย~ ความเห็นต่างกันเกิน
แม่อยากให้เป็นครู หรือรับราชการ แต่เราไม่อยากเป็นครู บ้านเราดีตรงที่พ่อแม่ไม่บังคับเรียน เราจะเรียนอะไรก็ได้ ตามใจเรา แต่ที่เราเรียนเราเลือกเอง สามารถจบไปและสมัครเป็นข้าราชการให้เขาได้
ซึ่งแม่บอกเรามาตลอดว่าเขาอยากให้เราเป็นครู มันอาจจะเป็นความฝันของเขา แต่เราไม่ชอบไง เราก็บอกเขาไปว่าเราชอบแบบนั้น แบบนี้ อยากเป็นนู่นเป็นนี่ เขาก็ไม่ว่าอะไรเรา รับฟังเรา แต่เขาก็พูดอยู่ดีว่าอยากให้เป็นครู ฮาาาา แต่ก็แอบเห็นความผิดหวังจากสีหน้าเขานิดหน่อย ตอนที่เราบอกไม่เป็น ส่วนพ่อ เขาฟรีให้เราเลย อยากเรียนอะไรเรียน เพราะเขาไม่ได้เรียนในระดับสูงๆ เขาเลยส่งเสริมให้เราเรียน หุหุ
จริงอยู่ที่หลายคนบอกว่าทำยาก แต่ครอบครัวเราทำได้ ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจเราด้วย เขาค่อนข้างปล่อยเราเรื่องนี้ แต่ก็พยายามเตือนสติเราตลอด
จริงๆแล้ว เราว่าความคาดหวังของพ่อแม่เราตอนนี้ คือเขาต้องการให้เราเรียนให้จบ มีงานทำ เขาจะได้สบายใจไปเปราะหนึ่งว่าเราดูแลตัวเองได้ คิดว่าแบบนั้นนะ
มันจบไปตั้งแต่ข้อ2แล้วค่าา
บางครั้งเราก็เข้าใจการคาดหวังของผู้ใหญ่นะ แต่รู้สึกเขาจะกดดันไปอ่ะ แบบ ต้องทำให้ได้นะ!!!
เราก็ไม่ใช่จะเก่งอะไรมากมายซะหน่อย
เหนื่อยมากกเลยยย ไม่ง่ายเลยย
โห้ยเรื่องนี้เราเปิดใจคุยกะแม่ แม่ก็อืออ่อ ให้เราเรียนสิ่งที่รัก แต่สุดท้ายก็กลับมาพูดบังคับทางอ้อมอีกที เหอะๆๆ
เรื่องมันเศร้านะ
เพราะแม่เราไม่ใช่คนแบบนั้น และถึงบอกไปก็ลืมอยู่ดีอ่ะแหละ
"ดูอย่างนี้นะ....บลาๆ อย่างน้อยพ่อกับแม่แค่ต้องการให้ลูกเป็นอย่างที่หวัง ลูกจะทำตามหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พ่อแม่เข้าใจลูกและอยากให้ลูกเข้าใจพ่อแม่บ้าง"
ถ้าพูดแบบนี้เราเถียงต่อไม่ออกแล้วครับ มันเหมือนคำร้ายจิตใจพ่อแม่อ่า
จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยากมากนะ แค่อธิบายไปตรงๆว่าอะไรทำไมเราถึงอยากชอบความคาดหวังนี้ แล้วทำไปมันจะเกิดผลประโยชน์กับครอบครัวเราไหม หรือ ถ้าท่านทั้งสองไม่เห็นด้วย คงต้องทำตามที่พวกท่านขอไว้ก่อน แล้ว ค่อยทำตามฝันล่ะนะ // พ่อแม่มาก่อนเสมอจ้า
ส่วนเราอยากเป็น"อัยการ" เพราะ เราบอกแม่ไปว่ามันเป็นอาชีพที่เท่และดูดี มียศและสง่า และอีกอย่าง หลายๆคนเองก็ไม่ค่อยอยากที่จะเป็นด้วย แม่เราเห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า " ทำงานออะไรก็ได้ที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องถึงขั้นหมอก็ได้ ขอให้ฝันของหนุเป้นจริงได้ก็พอ"
แค่อธิบายเหตุผลตรงๆ พวกท่านก็เข้าใจแล้วล่ะ อ่ะน้าาา
ลองแล้ว โดนดูถูกความคิดสารพัด ทั้งๆที่เราเลือกก็ไม่ได้นักหนาอะไร #กูพึ่งตัวเองก็ได้แว๊ะ
ดับตั้งเเต่ข้อ 2
โดนประจำครับ ตามใจเขาตลอด แต่พอเรื่องเรียนต่อมันเรื่องยาก เขาเริ่มโทษผมล่ะ ประโยคที่ทำให้สงบได้ง่ายทั้งสองฝ่าย
"ใครล่ะที่เรื่องเยอะ อันนู้นไม่เอา อันนี้ไม่ดี อย่างนี้อย่าทำ ไม่งั้นก็มีที่เรียนไม่ต้องมาเครียดงี้หรอก - - "
ยังดีที่แม่ไม่ค่อยหวังมาก หวังแค่ติด ม.รัฐ
แต่เราเล็ง ม.รัฐไว้พอดี
ส่วนอาชีพแม่ไม่เคยหวังอะไรทั้งนั้น เห็นกันมาแต่เด็ก