ทำไม? หมอต้องถามว่าเคยมีเพศสัมพันธ์ไหม มีเมื่อไร ป้องกันอย่างไร ฯลฯ

ทำไม? หมอต้องถามเรื่องเพศสัมพันธ์ตอนซักประวัติด้วยนะ

 “คนไข้มีแฟนหรือยังครับ”

นี่คือคำถามที่พี่หมอได้ยินอาจารย์แพทย์ถามคนไข้มาตั้งแต่สมัยพี่หมอยังเป็นนักเรียนแพทย์เลยครับ ในสมัยก่อนการมีเพศสัมพันธ์มักจะเจาะจงถามคนที่แต่งงานแล้ว แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป หลายคนมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้แต่งงาน รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในยุคนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคำถามตรงไปตรงมาของหมอก็ยังมีความอ่อนไหวอยู่ดี

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคนไข้มาพบแพทย์ด้วยความผิดปกติบางอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะหรืออวัยวะสืบพันธุ์ เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่ในขั้นตอนการซักประวัติหมอต้องสอบถามให้ละเอียด เพื่อจะได้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง ซึ่งคำถามต่างๆ ไม่ได้ถูกเจาะจงว่าต้องเป็นเพศไหนนะครับ แต่หมอจะถามละเอียดทั้งน้องผู้หญิง น้องผู้ชาย รวมถึงน้องๆ LGBTQIA+ เพราะหลายๆ โรคและอาการมีความสัมพันธ์กับเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด

ตัวอย่างคำถาม

“คนไข้เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วหรือยังครับ?”

“เพิ่งมีไหมครับ? ล่าสุดเมื่อไรครับ?”

“ใช้ถุงยางอนามัยไหมครับ?”

“มีประจำเดือนครั้งล่าสุดเมื่อไรครับ?”

“...?”

จากคำถามจะเห็นได้ว่า หากคนไข้เป็นน้องๆ วัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง (ที่อาจมาพร้อมผู้ปกครอง) จะยิ่งกระอักกระอ่วนใจแล้วพาลคิดไปว่า หมอกำลังจะถามว่าตั้งครรภ์ใช่ไหม หรือไปแอบมีเพศสัมพันธ์มาไหม ซึ่งไม่ใช่นะครับ ผู้ปกครองก็ต้องฟังและใจเย็นๆ ส่วนคนไข้ก็ควรให้ข้อมูลตามความเป็นจริง เพราะนอกจากการตั้งครรภ์แล้ว ยังมีอีกหลายโรคที่หมอต้องวินิจฉัยครับ

ทำไมหมอต้องถามว่าเคยมีเพศสัมพันธ์ไหม?

อย่างที่พี่หมอบอกไปว่า การซักประวัตินี้คือการค้นหาสาเหตุที่นำไปสู่อาการเจ็บป่วยที่น้องๆ มาหาหมอ ดังนั้นจึงไม่ควรโกหกหมอ เพราะอะไรลองมาดูกันว่าแต่ละคำถามนำไปสู่การวินิจฉัยอะไรบ้าง

ตั้งครรภ์ไหม?

การซักประวัติการมีเพศสัมพันธ์ เคยมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ บางทีอาจจะต้องละเอียดถึงการถามว่า ใช้ถุงยางอนามัยไหม ใช้ยาคุมไหม หรือกินยาคุมฉุกเฉินหรือเปล่า เพราะมันสัมพันธ์กับตัวโรคทั้งหมด เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ผู้ป่วยมีโอกาสตั้งครรภ์หรือไม่

มีอาการอื่นร่วมด้วยไหม?

หากสงสัยว่า หมอใช้การตรวจการตั้งครรภ์เพื่อยืนยันแทนการมานั่งถามไม่ได้เหรอ ก็อาจจะได้ครับ แต่ในผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติและแจ้งว่าไม่มีความเสี่ยง อาจจะทำให้การวินิจฉัยโรคเกิดความสับสนได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น

  • ในผู้ป่วยที่ปวดท้องด้านขวาล่าง สิ่งที่เรากังวล อาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ในเพศสภาพหญิง วัยเจริญพันธุ์นั้น เราอาจจะกังวลเรื่องปีกมดลูกอักเสบ ฝีหนองที่บริเวณรังไข่ หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็เป็นได้ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ทั้งนั้น
  • อาการของโรคบางอย่าง แยกจากแค่ประวัติที่ว่าเคยมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ เพื่อใช้ในการรักษาเบื้องต้น เช่น ไข้ และปวดท้องด้านล่างร่วมด้วย ที่อาจจะเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบในผู้ป่วยที่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือ เพียงแค่อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะก็ได้เช่นเดียวกันในคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

การคุมกำเนิดผิดพลาดไหม?

การซักประวัติระยะเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์ล่าสุดเมื่อไร ป้องกันอย่างไร ทำให้รู้โอกาสการตั้งครรภ์และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งบางครั้งแม้จะป้องกันอย่างดีจนโอกาสการตั้งครรภ์และโรคติดต่อน้อยลงมากๆ แต่ว่าก็มีโอกาสที่ในความสัมพันธ์ครั้งนั้นๆ เกิดความผิดพลาดได้ เช่น ถุงยางรั่ว หรือถุงยางแตก

การถามประวัติระยะเวลาที่มีเพศสัมพันธ์จึงช่วยให้หมอวินิจฉัยโรคได้รวดเร็วมากขึ้น รวมถึงโอกาสการตั้งครรภ์ ที่แม้อาจจะยังตรวจไม่เจอการตั้งครรภ์ ก็ช่วยประมาณระยะเวลาที่เกิดความเสี่ยงได้

มีโอกาสในการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ไหม?

การถามถึงประวัติการมีเพศสัมพันธ์ มีเมื่อไร ป้องกันไหม อย่างไร เป็นการซักถามถึงโอกาสในการโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ และทุกเพศวิถี  เพราะโรคบางโรคติดต่อจากการจูบ ผ่านน้ำลาย หรือ Oral sex ได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น น้องเพศชายมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีหนองออกมาจากอวัยวะเพศ ก็เป็นไปได้ว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองในแท้ และหนองในเทียม แบบที่ในบทความก่อนหน้านี้ พี่หมอเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว อย่าลืมไปอ่านกันนะครับ

ถ้าไม่บอกความจริงกับหมอ จะเป็นอย่างไร?

  • ทำให้เกิดความสับสน เหมือนกับที่นักสืบโดนข้อมูลเท็จเข้าไป ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า และอาจจะทำการรักษาผิดพลาดได้
  • ใช้เวลาและการตรวจมากเกินความจำเป็น เช่น บางครั้งจะมีการตรวจการตั้งครรภ์ และการสอบสวนโรคทางอื่นที่อาจจะช่วยได้ เช่น ย้อมเชื้อ การตรวจอัลตราซาวนด์การตั้งครรภ์ หรือตรวจเลือดดูฮอร์โมนเพื่อช่วยดูการตั้งครรภ์ แต่กลับกลายเป็นว่าเกินความจำเป็นไปมาก แทนที่จะได้รับการรักษาเพียงแค่ซักประวัติและตรวจร่างกาย ถึงแม้ว่าหมอและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนยินดีอย่างยิ่งที่จะค้นหาสาเหตุของโรคด้วยการตรวจสอบทุกวิถีทางก็ตามครับ แต่การให้ข้อมูลตามความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุด

ตัวอย่างเคสที่เกิดจากการให้ข้อมูลไม่ตรงความเป็นจริง โดยเฉพาะการปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์

 ตัวอย่างที่ 1

เคสผ่าตัดผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบที่ปฏิเสธประวัติการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเข้าห้องผ่าตัดไปแล้วทำให้พบว่า ไส้ติ่งปกติ แต่เจอการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานแทน ซึ่งการติดเชื้อนี้มักเกิดในคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว

ตัวอย่างที่ 2

น้องผู้หญิงปวดท้องด้านล่างขวามา 1 วัน แต่ปฏิเสธประวัติการมีเพศสัมพันธ์ว่าไม่มีแน่นอน และไม่ได้ตรวจการตั้งครรภ์ แพทย์ก็อาจจะสงสัยภาวะของโรคต่างๆ เช่น

  1. ไส้ติ่งอักเสบ - ถ้าสงสัยอาจจะต้องเข้าไปผ่าตัด
  2. นิ่วในท่อทางเดินปัสสาวะ - อาจจะตรวจปัสสาวะ ฉีดยาบรรเทาปวด
  3. ลำไส้อักเสบ - อาจจะฉีดยาบรรเทาปวด รักษาตามอาการ

ซึ่งมีแนวทางการตรวจวินิจฉัยที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็อาจจะไม่ได้ตรวจการตั้งครรภ์ ทำให้การรักษาล่าช้าได้

แต่ถ้าให้ประวัติว่ามีเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน หมออาจจะนึกถึงโรคต่างๆ เช่น

  1. อุ้งเชิงกรานอักเสบ - ถ้าพบเจอไว อาจจะให้เพียงแค่ยาฆ่าเชื้อกิน หรือฉีดได้ แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะกลายเป็นฝีหนองในอุ้งเชิงกรานได้เลย
  2. ท้องนอกมดลูก - ที่ถ้าทิ้งไว้ อาจจะทำให้เกิดการแตก จนถึงขั้นต้องผ่าตัดด่วนเลยก็ได้

 

เห็นไหมครับว่า การให้ประวัติที่ถูกต้องแก่แพทย์และพยาบาลสำคัญขนาดไหน บางคนโกหกเพียงเพราะว่ามีญาติพี่น้องนั่งอยู่ข้างๆ เพราะว่าเขินอายไม่กล้าบอก จริงๆ ความลับของผู้ป่วยนั้นสำคัญเหมือนกันครับ เราสามารถแจ้งแพทย์ในภายหลังได้ หรือขออนุญาตเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่เป็นการส่วนตัวได้ รวมถึงการขอพบแพทย์ที่เป็นผู้หญิงเท่านั้นก็ยังได้ครับ (ยกเว้นเคสเร่งด่วนและโรงพยาบาลไม่มีหมอให้เลือกแล้วนะครับ)

นอกจากประวัติเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แล้ว การพบแพทย์ด้วยอาการผิดปกติอื่นๆ ก็สำคัญเช่นกันครับ ไม่ว่าน้องๆ จะไปหาหมอด้วยอาการอะไร หรือเสิร์ชกูเกิลมาแล้วว่ามีแนวโน้มเป็นโรคอะไรก็ตาม บอกไปตามความจริงอย่างละเอียดครับ รวมถึงหมั่นสังเกตความผิดปกติร่างกายตนเองสม่ำเสมอ เพื่อให้เรารู้ความผิดปกติได้เร็ว ในขั้นการตอนซักประวัติของพยาบาลจะช่วยสรุปให้หมอได้ในเบื้องต้น ส่วนการซักถามของหมอก็เพื่อให้วินิจฉัยได้ตรงกับโรค น้องๆ ไม่ต้องเขินอายครับ หมอและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือคนไข้อย่างเต็มที่แน่นอนครับ 

 

นพ.ชนม์พิสิฐ มณฑล

 

 

 

 

 

พี่โด่ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

มัณทนา Member 19 มิ.ย. 67 16:21 น. 1

เราตรวจภายในครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้วที่คลินิกที่เรามีสิทธิ์บัตรทอง

พยาบาลเป็นคนตรวจและก็ถาม

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด