สถานการณ์ช่วงนี้ทำให้หลายคนต้องกักตัวอยู่บ้านเพื่อความปลอดภัย แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ พออยู่แต่ในบ้านแล้วก็กินจุบกินจิบมากกว่าปกติ เพราะไม่รู้จะทำอะไร ไม่ค่อยได้ขยับตัว ทำงานหน้าคอมก็ต้องมีขนมแกล้ม เปิดซีรีส์ดูก็อดกินไปด้วยไม่ได้ เอาล่ะ เราอย่าปล่อยตัวปล่อยใจมากจนเกินไปค่ะ ลองมาดูเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้เราอยู่บ้านแล้วยังหุ่นดี สุขภาพดีได้ด้วย
1. ปัดตกขนมห่อใหญ่ เลือกกินขนมห่อเล็กๆ แทน
จริงอยู่ว่าซื้อห่อใหญ่มันคุ้มกว่า อย่างเช่น Family Pack ที่บอกว่ากินได้ทั้งครอบครัว แต่แล้วไงล่ะ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็กินคนเดียวหมดอยู่ดี 555 เรื่องนี้มีการวิจัยออกมาอย่างจริงจังเลยค่ะว่า คนที่เลือกขนมห่อใหญ่ก็จะกินเพลินๆ ไปจนกว่าจะหมด ทั้งที่อาจจะไม่ได้อยากกินแล้วก็ตาม ส่วนคนที่กินขนมห่อเล็กลงมา ก็สามารถหยุดกินได้เมื่อขนมหมด โดยไม่ได้รู้สึกอยากจะต่อห่อใหม่ ทำให้สามารถลดปริมาณแคลอรี่จากขนมจุกจิกไปได้ถึง 25% เลยล่ะ
จริงอยู่ว่าซื้อห่อใหญ่มันคุ้มกว่า อย่างเช่น Family Pack ที่บอกว่ากินได้ทั้งครอบครัว แต่แล้วไงล่ะ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็กินคนเดียวหมดอยู่ดี 555 เรื่องนี้มีการวิจัยออกมาอย่างจริงจังเลยค่ะว่า คนที่เลือกขนมห่อใหญ่ก็จะกินเพลินๆ ไปจนกว่าจะหมด ทั้งที่อาจจะไม่ได้อยากกินแล้วก็ตาม ส่วนคนที่กินขนมห่อเล็กลงมา ก็สามารถหยุดกินได้เมื่อขนมหมด โดยไม่ได้รู้สึกอยากจะต่อห่อใหม่ ทำให้สามารถลดปริมาณแคลอรี่จากขนมจุกจิกไปได้ถึง 25% เลยล่ะ
2. เปลี่ยนจานข้าวให้เล็กลง
สำหรับบ้านไหนที่ทำกับข้าวกินเอง แล้วกลัวว่าตัวเองจะตักข้าวเยอะหรือเติมข้าวบ่อย แนะนำให้เลือกจานใบเล็กลงค่ะ เหตุผลก็คือ ถ้าเราเลือกใช้จานใบใหญ่ แล้วตักข้าวในปริมาณที่เท่ากัน เราก็จะรู้สึกว่า โอยยย ได้ข้าวน้อยจังเลย ตักเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า ก็จะทำให้้ตัวเองเพิ่มปริมาณการกินโดยไม่รู้ตัวค่ะ
ส่วนใครติดกินน้ำหวาน ก็ให้เลือกใส่แก้วทรงผอมสูงมากกว่าทรงเตี้ยกว้าง เพราะสามารถลดปริมาณน้ำที่จะเทลงไปได้ถึง 57% เลยค่ะ (เทียบกับแก้วที่สามารถรับของเหลวได้เท่าๆ กันนะคะ)
3. วางเศษอาหารทิ้งไว้ ก็ช่วยให้กินน้อยลงได้นะ
อันนี้มีนักวิทยาศาสตร์บอกว่า คนเราจะตัดสินว่าตัวเองควรหยุดหรือว่าจะกินต่อไปจากภาพอาหารที่วางกองอยู่ตรงหน้า มีวิจัยหนึ่งที่พี่โอ๊ตอ่านแล้วเห็นภาพชัดมากก็คือ เค้าทดสอบการกินไก่ทอด โดยให้กลุ่มตัวอย่างสามารถกินได้ไม่จำกัดเลย กลุ่มหนึ่งจะมีคนคอยทำความสะอาด เก็บกระดูกไก่ทิ้งให้ตลอด ส่วนอีกกลุ่มจะวางกองไว้แบบนั้น ก็พบว่ากลุ่มที่มีกระดูกไก่วางทิ้งอยู่กินได้น้อยกว่ากลุ่มที่โต๊ะสะอาดถึง 34% เลยค่ะ เลยกลายมาเป็นข้อสรุปว่า ถ้าเราได้เห็นว่าตัวเองกินไปมากเท่าไหร่แล้ว ก็จะเริ่มกินได้น้อยลงและหยุดกินได้เร็วกว่านั่นเอง ดังนั้นการปล่อยจานชามหรือถุงขนมที่กินแล้วไว้ในที่ๆ เรามองเห็น ก็เหมือนเป็นการเตือนตัวเองให้กินน้อยลงได้ค่ะ (แต่อย่าลืมเก็บไปล้างหรือเก็บไปทิ้งด้วยนะคะ)
อันนี้มีนักวิทยาศาสตร์บอกว่า คนเราจะตัดสินว่าตัวเองควรหยุดหรือว่าจะกินต่อไปจากภาพอาหารที่วางกองอยู่ตรงหน้า มีวิจัยหนึ่งที่พี่โอ๊ตอ่านแล้วเห็นภาพชัดมากก็คือ เค้าทดสอบการกินไก่ทอด โดยให้กลุ่มตัวอย่างสามารถกินได้ไม่จำกัดเลย กลุ่มหนึ่งจะมีคนคอยทำความสะอาด เก็บกระดูกไก่ทิ้งให้ตลอด ส่วนอีกกลุ่มจะวางกองไว้แบบนั้น ก็พบว่ากลุ่มที่มีกระดูกไก่วางทิ้งอยู่กินได้น้อยกว่ากลุ่มที่โต๊ะสะอาดถึง 34% เลยค่ะ เลยกลายมาเป็นข้อสรุปว่า ถ้าเราได้เห็นว่าตัวเองกินไปมากเท่าไหร่แล้ว ก็จะเริ่มกินได้น้อยลงและหยุดกินได้เร็วกว่านั่นเอง ดังนั้นการปล่อยจานชามหรือถุงขนมที่กินแล้วไว้ในที่ๆ เรามองเห็น ก็เหมือนเป็นการเตือนตัวเองให้กินน้อยลงได้ค่ะ (แต่อย่าลืมเก็บไปล้างหรือเก็บไปทิ้งด้วยนะคะ)
4. สั่งเยอะ ก็ยิ่งกินเยอะ!
บางคนสั่งอาหารทีคือคิดหลากหลายมาก ต้องมีออเดิร์ฟ มีจานแกล้ม กับข้าวต้องมีจืดบ้าง มีรสจัดซักจาน อ่ะ เดี๋ยวกินไม่คล่องคอเพิ่มน้ำแกงอีกอย่างละกัน โดยลืมไปว่าทั้งหมดนั้นกินคนเดียว… นักวิจัยบอกว่าการที่เรามีอาหารรสชาติหลากหลายให้เลือกตรงหน้า จะทำให้เรากินมากขึ้นถึง 23%! หรือแม้แต่การกินขนมที่มีหลายๆ สีในหนึ่งห่อ ก็ทำให้เรากินมากขึ้นได้เหมือนกันค่ะ แต่ข้อนี้เป็นกรณียกเว้นสำหรับการกินผักผลไม้หรือการกินถั่วแบบต่างๆ เพราะยิ่งกินหลากหลายก็ยิ่งทำให้ได้ประโยชน์มากขึ้นค่ะ
5. เอาขนมไปซ่อน!
อ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่บอกเลยว่าอันนี้ช่วยได้จริงๆ ค่ะ คือการที่เรามองเห็นขนมได้ชัดเจน มันทำให้เราเผลอหยิบกินได้แม้จะไม่ต้องรู้สึกหิวหรืออยากขนม แต่จะหยิบกินบ่อยขึ้นถึง 71% จากปกติเลยค่ะ กลับกัน ลองเอาขนมที่ซื้อมาไปเก็บในที่ๆ มองไม่เห็น หรือเก็บในภาชนะปิดทึบ ความถี่ในการหยิบขนมมากินจะลดน้อยลงไปเยอะเลย
อีกวิธีคือ ลองวางขนมไว้ไกลตัวก็ช่วยได้เหมือนกันค่ะ ระยะทางที่ต้องเดินไปหยิบขนม ยิ่งไกลก็จะยิ่งทำให้สมองเราได้ทบทวนว่าเราอยากกินขนมอันนั้นจริงๆ จนถึงกับต้องลุกไปหยิบมั้ย ซึ่งอันนี้พี่โอ๊ตลองดูแล้วก็พบว่ามันช่วยจริงๆ นะ เพราะสุดท้ายก็คือขี้เกียจค่ะ ไม่กินก็ได้! 555
6. กินให้ช้าลง ไม่ต้องรีบเกินไป
อาจจะทำได้ยากหน่อยถ้าเกิดตอนนั้นเราหิวมากๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็แนะนำว่าเราควรใช้เวลากินข้าว 1 มื้อ ประมาณ 20-30 นาทีค่ะ เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาปล่อยฮอร์โมนที่เตือนว่าเรากำลังจะอิ่ม แถมการใช้เวลาในการกินอาหาร ยังช่วยให้สมองบอกกับเราได้ว่า เธออิ่มแล้วนะ เธอไม่ควรเบิ้ลแล้ว!
หรือการเปลี่ยนวิธีกินให้ยากขึ้น อย่างการใช้มือข้างที่ไม่ถนัดตักกับข้าว หรือการใช้ตะเกียบแทนส้อม ก็ช่วยให้เรากินได้ช้าลง และอิ่มเร็วขึ้นด้วยนะ อาจจะแอบหงุดหงิดตัวเองนิดหน่อย แต่ก็เป็นวิธีที่น่าลองเหมือนกันค่ะ
อาจจะทำได้ยากหน่อยถ้าเกิดตอนนั้นเราหิวมากๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็แนะนำว่าเราควรใช้เวลากินข้าว 1 มื้อ ประมาณ 20-30 นาทีค่ะ เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาปล่อยฮอร์โมนที่เตือนว่าเรากำลังจะอิ่ม แถมการใช้เวลาในการกินอาหาร ยังช่วยให้สมองบอกกับเราได้ว่า เธออิ่มแล้วนะ เธอไม่ควรเบิ้ลแล้ว!
หรือการเปลี่ยนวิธีกินให้ยากขึ้น อย่างการใช้มือข้างที่ไม่ถนัดตักกับข้าว หรือการใช้ตะเกียบแทนส้อม ก็ช่วยให้เรากินได้ช้าลง และอิ่มเร็วขึ้นด้วยนะ อาจจะแอบหงุดหงิดตัวเองนิดหน่อย แต่ก็เป็นวิธีที่น่าลองเหมือนกันค่ะ
7. ไม่ต้องกำหนดมื้อจากเวลาที่เห็น
อันนี้พี่โอ๊ตเองก็เพิ่งรู้ค่ะ ว่าถ้าเราพึ่งพาสัญชาตญาณความหิวโหยของตัวเอง ความถี่ในการกินของเราจะน้อยลงกว่าคนที่กินตามเวลา เช่น ต้องกินข้าวเช้าแปดโมง เที่ยงแล้วกินข้าวกันเถอะ อุ๊ยบ่ายสามแล้ว ได้เวลาขนมแก้ง่วง ห้าโมงเย็นแล้วกินข้าวเย็นได้
แต่ถ้าเราพึ่งสัญชาติญาณตัวเอง เราก็จะกินเฉพาะเวลาที่เราหิว และเรายังสามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ชัดเจนอีกด้วย ว่าตอนนี้เราอยากกินแค่แซนด์วิชหรือข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว ช่วยลดอาการอยากจุกจิกไปได้อีกด้วยนะ
8. “ไขมันต่ำ” ไม่ได้แปลว่าผอม
หลายๆ คนที่อยากคุมน้ำหนักตัวเอง มักจะชอบหยิบเครื่องดื่ม หรืออาหารที่แปะป้ายไขมันต่ำเอาไว้ก่อน ถึงกับซื้อตุนไว้เลยก็มี ต้องบอกว่า ใจเย็นก่อนนะคะ เพราะการที่มีข้อความนี้บนฉลาก ไม่ได้หมายความว่าเครื่องดื่มหรืออาหารเหล่านี้จะมีแคลอรี่ 0% ตามไปด้วย แถมไขมันต่ำ บางทีก็ไม่ได้ต่ำกว่าปกติเท่าไหร่ สิ่งที่ไม่ปกติก็คือเรามักจะเลือกกินของพวกนี้ในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพราะเข้าใจว่ากินยังไงก็ไม่อ้วนแน่ๆ ซึ่งผิดมากๆ เลยค่ะ แนะนำว่าให้อ่านข้อมูลโภชนาการก่อนดีกว่าเนอะ
หลายๆ คนที่อยากคุมน้ำหนักตัวเอง มักจะชอบหยิบเครื่องดื่ม หรืออาหารที่แปะป้ายไขมันต่ำเอาไว้ก่อน ถึงกับซื้อตุนไว้เลยก็มี ต้องบอกว่า ใจเย็นก่อนนะคะ เพราะการที่มีข้อความนี้บนฉลาก ไม่ได้หมายความว่าเครื่องดื่มหรืออาหารเหล่านี้จะมีแคลอรี่ 0% ตามไปด้วย แถมไขมันต่ำ บางทีก็ไม่ได้ต่ำกว่าปกติเท่าไหร่ สิ่งที่ไม่ปกติก็คือเรามักจะเลือกกินของพวกนี้ในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพราะเข้าใจว่ากินยังไงก็ไม่อ้วนแน่ๆ ซึ่งผิดมากๆ เลยค่ะ แนะนำว่าให้อ่านข้อมูลโภชนาการก่อนดีกว่าเนอะ
9. อย่ากักตุนอาหาร
มีงานวิจัยที่บอกว่า ยิ่งเราซื้ออาหารมาตุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เรากินมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเวลาไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วมีลดราคา เราก็ชอบคิดว่าซื้อเก็บๆ ไว้ก่อนก็ได้ อันนี้หายนะของแท้เลย พยายามซื้อของกินเท่าที่จำเป็นดีกว่าค่ะ หรือถ้าคิดว่าต้องตุนอาหารเผื่อฉุกเฉิน ก็ให้ซื้อประเภทของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน ไม่ใช่พวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ เพราะคิดว่าน่าจะหมดก่อนเข้าภาวะฉุกเฉินค่ะ
10. ออกกำลังกายเบาๆ
ห้ามโอดครวญว่าที่บ้านไม่มีพื้นที่ เพราะเราสามารถออกกำลังกายโดยไม่ต้องออกสเต็ปกินพื้นที่บ้านได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการสควอท แพลงค์ หรือยกดัมเบล การออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำให้เป็นประจำ ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ และหุ่นดีได้แม้จะอยู่แต่ในบ้านค่ะ
จริงๆ ยังมีอีกหลายวิธีเลยค่ะ ที่ทำให้อยู่บ้านแล้วไม่อ้วนขึ้นได้ อย่างการลุกเดินไปรอบๆ บ้าน ขึ้นลงบันได อะไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่อยู่นิ่งๆ จนเกินไป ให้ร่างกายได้ขยับยืดเส้นยืดสายบ้าง นอกจากจะช่วยเผาผลาญแล้ว ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นอีกด้วย
3 ความคิดเห็น
ขอบคุณครับ ควรเอาไปซ่อนจริงๆ 55
จริงค่ะ เราเอาขนมไปไว้ห้องอื่น ช่วยให้หยุดได้เยอะเลยค่ะ
อันนี้ก็เป็นอีก 1 เทคนิคนะค่ะอ่านเพลินลืมกิน 5555
ฝากนิยายของเราด้วยนะค่ะ สนุกมากๆๆ ค่ะ
คำโปรย
ความรักที่เหมือนความฝันแม้ในยามหลับหรือตื่น ท่านก็ไม่เห็นตัวตนของข้าเลย ซ้ำร้ายยังพาหญิงในดวงใจของท่านมาทำร้ายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครทนทนไปขอหนังสือหย่าอย่าได้พบหน้ากันอีกเลย มารดามันเถอะ
https://writer.dek-d.com/kanlaya077/writer/view.php?id=2073244