ใกล้จะหมดปีเข้าไปทุกทีแล้วค่ะ สำหรับปี 2020 นี้ก็ถือว่าเป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ มากมาย ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง แต่วันนี้เราจะไม่มาพูดเรื่องซีเรียสกันค่ะ แต่จะมาพูดถึงวงการบิวตี้เกาหลี ที่ในปีนี้ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนเทรนด์สกินแคร์ให้เข้ากับสภาพอากาศและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของสาวๆ เจนใหม่มากขึ้นค่ะ
คราวนี้พี่โอ๊ตเลยขอมาสรุปเทรนด์สกินแคร์เกาหลีทั้งหมดในปีนี้กัน ซึ่งถ้าอ่านดูก็จะรู้เลยว่าสาวไทยเราเองก็ตามเทรนด์เค้าอยู่ติดๆ เลยล่ะค่ะ
Skip-Care
ถ้าเป็นช่วงก่อน เราจะรู้กันว่าสาวๆ เกาหลีกว่าจะลงสกินแคร์ครบทั้งหมด ก็ต้องมีเกือบๆ 10 ขั้นตอนกันเลยค่ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ้านเราทำไม่ได้แน่นอน และในหลายๆ ขั้นตอนเองก็ดูเหมือนจะทำงานซ้อนกันอยู่ด้วย สาวเกาหลีเองเค้าก็เริ่มคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ ว่าสุดท้ายแล้วสกินแคร์ 10 ขั้นตอน คงจะไม่ใช่วิธีที่ทำได้ทุกวัน เพราะค่อนข้างใช้เวลาเลย ดังนั้นบริษัทเครื่องสำอางในเกาหลีก็เริ่มจะปล่อยโปรดักส์ที่รวบ 10 ขั้นตอนให้มินิมอลมากขึ้น โดยเรียกว่า Skip-Care นั่นเอง
ซึ่งโปรดักส์ที่เห็นกันเยอะๆ และค่อนข้างชัดเจนเลย ก้อย่างเช่น Cream Skin ที่รวมเอาสกินแคร์หลายๆ มารวมในขั้นตอนเดียว หรือใครอยากจะลองลดขั้นตอนทำความสะอาดผิว จากที่เคยต้องใช้คลีนซิ่งแบบน้ำ ออยล์ หรือบาล์ม ทำความสะอาดผิวก่อน เดี๋ยวนี้ก็จะมีโฟมที่รวมคลีนซิ่งพวกนี้เข้ามาในสเต็ปเดียวแล้ว ทำให้เราล้างขั้นตอนเดียวจบได้เลย แต่พี่โอ๊ตแนะนำว่าวันที่แต่งหน้าหนักมากๆ ก็ควรใช้แยกกันอยู่ดีค่ะ
Cream Skin
เรียกว่าเป็นตัวเองของเทรนด์ปีนี้อีกอย่างหนึ่งเลยค่ะ ถ้าใครพอนึกออก เมื่อปีที่แล้ว เทรนด์ผิวแบบ Glass Skin มาแรงและปังมาก โดยใช้วิธีการทาเอสเซ้นส์ เซรั่ม และมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นมากๆ ทำให้ผิวฉ่ำและแวววาวเหมือนกับแก้วนั่นเองค่ะ
ในปีนี้ Glass Skin เริ่มตกเทรนด์ไป และถูกแทนที่ด้วย Cream Skin ค่ะ ซึ่งเรียกว่าเป็นโปรดักส์ที่มีเท็กซ์เจอร์ที่น่าสนใจมากๆ เพราะเป็นการรวมเอาโทนเนอร์และมอยส์เจอไรเซอร์เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นโปรดักส์ที่ตอบโจทย์เรื่องเวลา และง่ายต่อการใช้ ต่างกับการทำผิวแบบ Glass Skin อยู่มากเลย และเมื่อใช้ Cream Skin อย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ผิวของเรานุ่มชุ่มชื้น แต่ไม่แวววาวค่ะ
สวยแบบรักษ์โลก
ในปีนี้จะเห็นว่าหลายๆ แบรนด์ออกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ ค่ะทั้งในหมวดของสกินแคร์และเมคอัพเลย โดยจะไม่มีการใส่พาราเบน น้ำหอม และสีสังเคราะห์ลงไปในผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสารอื่นๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายด้วยค่ะ
นอกจากเรื่องของส่วนผสมแล้ว บรรจุภัณฑ์เองก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่แบรนด์ต่างๆ ให้ความใส่ใจ และเริ่มหันมาใช้แพ็คเกจที่นำไปรีไซเคิลได้มากขึ้น
เน้นส่วนผสมหลักตัวเดียว แต่คุณภาพสุดปัง
ลองสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ที่ขายดีๆ ปังๆ ของเกาหลีในปีนี้ มักจะมีจุดเด่นอยู่ที่ส่วนผสมหลักตัวเดียวเลย ไม่ว่าจะเป็น Centella, Heartleaf, BHA, Hyaluronate และส่วนผสมอื่นๆ อีกเพียบ ก็จะถูกเอามาใช้ในชื่อผลิตภัณฑ์เลย นั่นก็เพราะว่าการใส่ส่วนผสมแบบนี้ ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ว่าแต่ละคนมีการดูแลผิวที่เฉพาะเจาะจงยังไงบ้าง แทนที่จะรวมส่วนผสมล้านแปดเข้ามาอยู่ในผลิตภัณฑ์เดียวค่ะ
ซึ่งผลิตภัณฑ์แบบนี้ก็ถือว่าดีกับผิวที่บอบบางมากๆ เลย เพราะผลิตภัณฑ์ที่ใส่ส่วนผสมมาเยอะๆ อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวได้ และก็ยังเหมาะกับคนที่อยากแก้ไขปัญหาผิวแบบเจาะจงด้วยค่ะ
สกินแคร์ที่ช่วยปรับโทนสีผิว
จริงๆ ผลิตภัณฑ์ประเภทคอเรคเตอร์ (Corrector) หรือโทนอัพ (Tone-up) มีในเกาหลีมาหลายปีแล้วค่ะ แต่ที่เพิ่มมาในปีนี้คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ปรับหรือแก้ไขสีผิวในหน้าที่ของเมคอัพอีกแล้ว แต่ผันตัวมาอยู่ในรูปแบบสกินแคร์ หมายความว่า นอกจากจะทาเพื่อปรับโทนสีผิวได้ทันทีแล้ว ยังสามารถคาดหวังผลการใช้ระยะยาวในการช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้อีกด้วยล่ะ
สกินแคร์แบบส่วนตัว
และเทรนด์สุดท้ายที่จะพูดถึงไม่ได้เลยก็คือ สกินแคร์ที่ทำมาเพื่อผิวของเราโดยเฉพาะ ก็คือเราสามารถบอกปัญหาผิวของตัวเอง และเลือกส่วนผสมที่ตอบโจทย์ ออกมาเป็นสกินแคร์เพื่อเราเพียงคนเดียวได้เลย ต้องขอบคุณที่โลกเรานั้นล้ำไปไกลมาก เลยทำให้สามารถทำสกินแคร์แบบนี้ขึ้นมาได้ค่ะ
จะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่คนเกาหลีเท่านั้น แต่เทรนด์ในยุโรปและเชียช่วงปีหลังๆ จะเน้นไปที่การดูแลผิวที่ตอบโจทย์มากขึ้น อาจจะเพราะว่าเราเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM2.5 หรือ Covid-19 ที่ทำให้เราต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา จนทำให้ผิวของหลายๆ คนเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเสริมพื้นฐานผิวให้แข็งแรง จึงจำเป็นกับผิวของเราในตอนนี้และในอนาคตด้วยค่ะ
ข้อมูลอ้างอิงจาก :https://cityscape-bliss.com
1 ความคิดเห็น