สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com ประสบการณ์เด็กนอกที่ พี่ยีน เคยนำเสนอมา ล้วนเป็นเรื่องโปกฮา อัดอั้น และอะเมซิง เสียส่วนใหญ่ น้อยครั้งที่เราจะได้รับรู้ประสบการณ์แนวดรามาน้ำตาเล็ด พี่ยีนเลยอยากนำเรื่องราวของสาว AFS อีกคนมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งระหว่างที่พี่ยีนอ่านและแก้ไขเรื่องราวที่เธอเขียน หัวใจพี่ยีนแทบจะหยุดเต้น เพราะประสบการณ์ที่เล่ามาไม่ได้เป็นเพียงนิยายประโลมโลก แต่เป็นเรื่องจริงที่ส่วนใหญ่จะได้เห็นแค่ในหนัง พล่ามมาซะเยอะ ไปติดตามกันเลยดีกว่าครับ...
ก่อนมาเราเตรียมตัวเยอะนิดนึง คืออ่านหนังสือคู่มือที่ AFS ให้ คู่มือมีประมาณ 4 เล่ม มันก็จะต่างกันไป หลายเล่มจะเขียนถึงเกี่ยวกับการปรับตัวและจะเขียนถึงช่วงเวลาแต่ละระยะที่เรามาอยู่ที่นี่ ซึ่งในทฤษฏีที่เขาให้ไว้จะมีอยู่ 4 ระยะ (Cycles of Adjustment) คือ 1.ระยะตื่นเต้นดีใจ มาเมืองนอก แต่เราอยากเขียนทฤษฏีใหม่ เรียกว่า Joy’s cycle 1.ระยะลั้ลลา เนื่องจาก Host Dad เราสุขภาพแข็งแรง เป็นคนกระตือรือร้นมาก และก็สนใจเราอย่างดี ไปดูเกมส์วอลเลย์บอลของเรากับพี่สาวตลอด ถึงแม้เราจะเอาหน้าเรารับบอลแทนก็เหอะ (อย่างน้อยก็เอนเตอร์เทนคนดู) ถึงแม้มาแรกๆ จะช็อกๆ กับเมืองที่ไร้ผู้คน แต่ก็มีฝูงสัตว์เป็นเพื่อน เช่น วัว ควาย กวาง นก ปลา เป็นต้น ช่วงนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างดี (ยกเว้นวอลเลย์บอลที่เรารู้สึกเหมือนว่าหน้าตัวเองเป็นแม่เหล็กดูดบอลเสมอ) อาหารการกินเยี่ยมยอด แถม Host Dad เราพูดไทยได้นิดหน่อยด้วย เพราะว่าเขาเคยเป็นทูตที่สถานทูตอเมริกาในไทยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ส่วน Host Mom เราเป็นคนฟิลิปปินส์ ก็เสร็จเราเลย เพราะเราได้กินอาหารเอเชียบ่อยๆ 2.ระยะแย่ เนื่องจาก Host Dad เรารู้ผลการตรวจว่าเป็นมะเร็งปอดระยะรุนแรง ที่จริงตอนแรกเขาไม่ได้บอกเรา คือทุกคนในครอบครัวพยายามปิดบังเรา เพราะเขากลัวว่าเราจะหนีไปถ้าเรารู้ (กลัวเราจะใช้ทักษะขี่ควายกลับไทย) แต่ในที่สุดเราก็รู้จาก Host Sister ของเรา เขาแอบเล่าให้เราฟัง ตอนนั้นเขาร้องไห้ ก็เลยพรั่งพรูออกมา และในตอนนั้นเราคิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงนะ แต่ก็นึกภาพไม่ออกว่ามะเร็งปอดเป็นอย่างไร คือรู้ว่ายิ่งใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าอาการย่อยๆ เป็นอย่างไร แต่พอรู้ปุ๊บเราก็เริ่มหาข้อมูลที่โรงเรียนในคาบคอมฯ เพราะที่บ้านเราไม่มี wireless internet จะว่าตัดขาดจากโลกภายนอกไปเต็มๆ ก็ยังได้มั้ย
ช่วงนี้เราสับสนมากๆ ระหว่างความสุขของตัวเองกับความสุขของโฮสต์แฟมิลี่ คือ ถ้าเราย้ายออกไป ก็หมายความว่าเราเห็นแก่ตัวใช่ไหม ทิ้งคนป่วยไปได้ แต่ถ้าเราอยู่เราก็เครียดนะ แต่ก็เก็บไว้ไม่ได้บอกคนในบ้าน เพราะไม่อยากให้เขายิ่งเครียดกัน ทั้งๆ ที่ก่อนเรามาที่นี่แม่เราถามว่า “กลัวลำบากมั้ย” ด้วยความหึกเหิมและคิดว่าตัวเองเก่งก็ตอบไปว่า “ไม่กลัว ถ้าไปสบายแล้วจะไปทำไม อยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ” 3.ระยะฟูมฟาย เนื่องจากคืนวันหนึ่งเป็นค่ำคืนอันโหดร้ายของเรา เป็นคืนที่อยากไปปล้นไทม์แมชชีนจากโดเรมอนเพื่อย้อนไปแก้ไขเหตุการณ์ในคืนวันนั้น คือวันเสาร์ที่ 10 มกราคม Host Mom ไปทำงานกะกลางคืน พี่สาวไป Austin (เมืองที่อยู่ห่างออกไปถึง 4 ชม.) ตั้งแต่วันศุกร์ แม้คืนวันศุกร์เราได้ดูแล Host Dad เป็นอย่างดี แต่และแล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นตอน 2 ทุ่มครึ่งของคืนวันเสาร์
แม่เจ้า! เคยเล่นเกมนักสืบหาของในคอมฯ ใช่ไหม เหมือนเด๊ะเลย เพราะห้องทำงาน Host Dad รกยิ่งกว่านั้นอีก ของนับล้านกองอยู่ในห้องทำงาน จากนั้นเราก็เพลินกับการสมมติตัวเองเป็นนักสืบหาแตร จนไม่ได้รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดเราก็เข้าไปเช็กในห้องนอนของ Host Dad ซึ่งอยู่อีกฝากของห้องทำงาน ปรากฏว่าเขาไม่อยู่บนเตียงแล้ว แต่เราก็หันมาเห็น walker (อุปกรณ์ช่วยพยุง) ของเขาอยู่หน้าห้องน้ำ และเห็นสาย Oxygen โยงไปในห้องน้ำ เราเลยรู้ว่าเขาเข้าห้องน้ำแน่นอน เราก็เลยลองเช็คหน่อยว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า “แด๊ด” “…” “แด๊ด” “……………….” เราร้องเรียกอยู่สักพักก็ไม่มีเสียงตอบ เมื่อเห็นท่าจะไม่ดี เราเลยตัดสินใจบุก เพราะวันนี้ทั้งวันอาการเขาน่าเป็นห่วงมาก เขานอนบนเตียงทั้งวัน และยังหายใจไม่ค่อยสะดวกด้วย เราจำได้ว่าเขาบอกเราให้เราปรับเพิ่มออกซิเจนจากเครื่องผลิตออกซิเจน และเมื่อพังประตูเข้าไปได้แล้ว ภาพที่เราเห็นในห้องน้ำแคบๆ คือภาพ Host Dad ล้มนอนอยู่ สภาพหัวติดอยู่ระหว่างผนังห้องน้ำกับโถชักโครก และสิ่งที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองคือสายออกซิเจนไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่แล้ว มันหล่นลงมาระดับคาง สภาพเขาในตอนนั้นดูซีดเผือด มีคราบเลือดติดที่มุมปากเล็กน้อย และที่น่าตกใจคือเขาไม่หายใจแล้ว ภาพที่เห็นในตอนนั้นเหมือนฉากในหนังสยองขวัญมาก
มันก็ไม่มีทางเลือก ชีวิตของ Host Dad ขึ้นอยู่กับเราแล้ว เราต้องทำให้ได้ เพราะตอนแรกเจ้าหน้าที่เสนอไอเดียว่าให้เราไปหาเพื่อนบ้านมาช่วย แต่พอเราบอกว่า เพื่อนบ้านห่างจากบ้านเรามาก ประมาณจากมาบุญครองไปเซ็นทรัลเวิร์ล เขาจึงแนะนำให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน จากนั้นเราจึงรวบรวมกำลังกายกำลังใจทั้งหมดที่เหลืออยู่ดึงเขาออกมาจนได้ บางคนอาจจะคิดว่าตลกที่จะมาทำปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับคนตายแล้ว แต่เราว่าก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ตอนนั้นเราคิดว่าต้องทำอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขาไม่มากก็น้อย ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เขากลับคืนมา เรารู้สึกผิดมากเหมือนนางพยาบาลที่เสียผู้ป่วยในความดูแลของตัวเอง แต่ที่แย่กว่านั้นคือผู้ป่วยรายนี้เป็นพ่อ พ่อที่อุตส่าห์กัดฟันต่อสู้มะเร็งด้วยกันมาหลายเดือน แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...ว่างเปล่า... 4.ระยะฟื้นตัว เป็นระยะหลังจากค่ำคืนอันแสนโหดร้ายนั้นผ่านไป กับน้ำตาที่เสียไปตลอด 5 วัน เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมากยิ่งขึ้น เขาก็ให้เกียรติเรามากๆ เหมือนกับเราเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา เพราะในพิธีงานศพนั้น เราได้นั่งกับครอบครัวเสมอ และที่พิธีศพในโบสถ์นั้น เราได้มีโอกาสอันสูงสุดในชีวิต คือได้กล่าวถึงคุณงามความดีและความรู้สึกของเราที่มีต่อ Host Dad ของเราต่อหน้าแขกที่มางานนับร้อยคน และดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตานับร้อยคู่
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับประสบการณ์ยังต่างแดนของสาวคนนี้ สำหรับ พี่ยีน แล้ว เรื่องของน้องจอยทำให้พี่ยีนคิดอยากจะทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับครอบครัวของตัวเองมากขึ้นครับ เพราะไม่รู้ว่าคนสำคัญๆ จะจากเราไปเมื่อไหร่ และถ้าน้องๆ คนใดมีประสบการณ์เด็กนอกแบบเด็ดๆ มาเล่าสู่กันฟัง ก็อีเมลมาหาพี่ยีนได้ครับที่ gin@dek-d.com พี่ยีนจะรอฟังเรื่องราวดีๆ จากน้องๆ นะครับ...
ขอขอบคุณข้อมูลจากน้องจอย จันทพร ศรีโพน
|
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
มีสติมากเลยค่ะ
น่ายกย่องๆ
การดูแลคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง พยายามทำให้เขามีความที่สุขที่สุด
เราก็ภูมิใจแล้วค่ะ ว่าอย่างน้อย ก่อนเขาเสีย เราดูแลเขาดีที่สุดแล้ว
กำลังโหลด
อ่านแล้วแอบน้ำตาซึมค่ะ
กำลังโหลด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?
98 ความคิดเห็น
โห ตั้งสติได้ดีจริงๆ
แหล่มมากๆอ่ะ
สามารถตั้งสติได้ในเวลาแบบนั้น
อ่านแล้วน้ำตาแทบซึม
น่าสงสารโฮส แด๊ด
น่าสงสารพี่
น่าสงสารโฮส ของพี่เค้าด้วย
T^T
พี่เก่งมากอ้ะ
รู้สึกว่าจะลง โซน texas ด้วย
อ่านแล้วเศร้าแทน เฮ้ออ
สู้ๆนะค่ะ ^^
AFS 48 แต่ไม่ได้ลงเทกซัสไว้ พี่เก่งมาเลยค่ะ
อ่านแล้วร้องไห้ จริงๆค่ะ
เศร้าเลยT^T
สุดยอดไปเลยพี่
แกเยี่ยมสุดแล้ว ;)
คิดถึง host dad เหมือนกัน
ยังดีที่โฮสต์เรายังอยู่ มีแต่พี่ชายที่จากไป
เรากลับมาก่อนที่จะได้เอ่ยลาครั้งสุดท้าย