Joy's Cycle กับโศกนาฏกรรม ณ ต่างแดน

 

     สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com ประสบการณ์เด็กนอกที่ พี่ยีน เคยนำเสนอมา ล้วนเป็นเรื่องโปกฮา อัดอั้น และอะเมซิง เสียส่วนใหญ่ น้อยครั้งที่เราจะได้รับรู้ประสบการณ์แนวดรามาน้ำตาเล็ด พี่ยีนเลยอยากนำเรื่องราวของสาว AFS อีกคนมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งระหว่างที่พี่ยีนอ่านและแก้ไขเรื่องราวที่เธอเขียน หัวใจพี่ยีนแทบจะหยุดเต้น เพราะประสบการณ์ที่เล่ามาไม่ได้เป็นเพียงนิยายประโลมโลก แต่เป็นเรื่องจริงที่ส่วนใหญ่จะได้เห็นแค่ในหนัง พล่ามมาซะเยอะ ไปติดตามกันเลยดีกว่าครับ...

     เราชื่อจอย จันทพร ศรีโพน เป็นนักเรียน AFS อเมริกา รุ่น 47 (อเมริกาอีกละ..) แต่เดี๋ยวก่อน! จริงๆ แล้วไม่ค่อยเหมือนอเมริกาเท่าไหร่  เพราะเราอยู่ที่เมือง Yantis  รัฐ Texas (ชื่อเหมือนรุ่นรถยนต์เล็กน้อย..อย่าสับสน) ซึ่งในเมืองก็ประกอบไปด้วยชาวเม็กซิกันมากมาย คือในห้องของเราก็มี เม็กซิกันคือสัดส่วนเท่ากับอเมริกัน หรือบางทีก็เป็นสัดส่วนที่แอบมากกว่านิดนึง สรุปง่ายๆ คือยังไงก็หลีกเลี่ยงภาษาสเปนไม่ได้  ส่วนประชากรในเมืองเราก็มีไม่ถึง 1,000 คน ซึ่งแน่นอนว่าน้อยกว่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หรือโรงเรียนของเราในประเทศไทย  คิดอีกแง่คือ เราสามารถนำนักเรียน 4,000 คน ในโรงเรียนเตรียมอุดมมาสร้างได้อีกสัก 4 เมือง  ส่วนคนในโรงเรียนเรา ตั้งแต่ Kindergarten – Senior มีประมาณ 300 คน ซึ่งก็ยังน้อยกว่าจำนวนผู้เข้าประกวดเดอะสตาร์ 5 ด้วยซ้ำไป (ตามกระแสนิดนึง)

     ก่อนมาเราเตรียมตัวเยอะนิดนึง คืออ่านหนังสือคู่มือที่ AFS ให้  คู่มือมีประมาณ 4 เล่ม มันก็จะต่างกันไป หลายเล่มจะเขียนถึงเกี่ยวกับการปรับตัวและจะเขียนถึงช่วงเวลาแต่ละระยะที่เรามาอยู่ที่นี่ ซึ่งในทฤษฏีที่เขาให้ไว้จะมีอยู่ 4 ระยะ (Cycles of Adjustment) คือ

     1.ระยะตื่นเต้นดีใจ มาเมืองนอก
     2.ระยะ Culture Shock เริ่มเรียนรู้ความแตกต่าง
     3.ระยะเรียกร้อง เพราะเริ่มคุ้นเคย
     4.ระยะซึม ไม่อยากกลับประเทศ

     แต่เราอยากเขียนทฤษฏีใหม่ เรียกว่า Joy’s cycle

     1.ระยะลั้ลลา

     เนื่องจาก Host Dad เราสุขภาพแข็งแรง เป็นคนกระตือรือร้นมาก และก็สนใจเราอย่างดี ไปดูเกมส์วอลเลย์บอลของเรากับพี่สาวตลอด ถึงแม้เราจะเอาหน้าเรารับบอลแทนก็เหอะ (อย่างน้อยก็เอนเตอร์เทนคนดู) ถึงแม้มาแรกๆ จะช็อกๆ กับเมืองที่ไร้ผู้คน แต่ก็มีฝูงสัตว์เป็นเพื่อน เช่น วัว ควาย กวาง นก ปลา เป็นต้น ช่วงนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างดี  (ยกเว้นวอลเลย์บอลที่เรารู้สึกเหมือนว่าหน้าตัวเองเป็นแม่เหล็กดูดบอลเสมอ) อาหารการกินเยี่ยมยอด แถม Host Dad เราพูดไทยได้นิดหน่อยด้วย เพราะว่าเขาเคยเป็นทูตที่สถานทูตอเมริกาในไทยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ส่วน Host Mom เราเป็นคนฟิลิปปินส์ ก็เสร็จเราเลย เพราะเราได้กินอาหารเอเชียบ่อยๆ

     2.ระยะแย่

     เนื่องจาก Host Dad เรารู้ผลการตรวจว่าเป็นมะเร็งปอดระยะรุนแรง ที่จริงตอนแรกเขาไม่ได้บอกเรา คือทุกคนในครอบครัวพยายามปิดบังเรา เพราะเขากลัวว่าเราจะหนีไปถ้าเรารู้ (กลัวเราจะใช้ทักษะขี่ควายกลับไทย) แต่ในที่สุดเราก็รู้จาก Host Sister ของเรา เขาแอบเล่าให้เราฟัง ตอนนั้นเขาร้องไห้ ก็เลยพรั่งพรูออกมา และในตอนนั้นเราคิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงนะ แต่ก็นึกภาพไม่ออกว่ามะเร็งปอดเป็นอย่างไร คือรู้ว่ายิ่งใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าอาการย่อยๆ เป็นอย่างไร แต่พอรู้ปุ๊บเราก็เริ่มหาข้อมูลที่โรงเรียนในคาบคอมฯ เพราะที่บ้านเราไม่มี wireless internet จะว่าตัดขาดจากโลกภายนอกไปเต็มๆ ก็ยังได้มั้ย

  ในบ้านจะมีแต่เรื่องเครียดตลอดเวลา แบบว่าเวลามีคนป่วยคือเวลาสุขสันต์ก็จะน้อยลง เวลาออกจากบ้านไปไหนนานๆ จะไม่ได้เลย คืออย่างน้อยต้องมีสักหนึ่งคนเฝ้าแด๊ด เพราะเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  และส่วนมากก็จะเป็นเราเองที่คอยเฝ้า เพราะช่วงนั้นเราว่างมาก วอลเลย์บอลก็ออฟซีซั่นไปแล้ว ส่วน Host Mom เราเป็นนางพยาบาล  เขายุ่งมากและทำงานตอนกลางคืน ส่วน Host Sister เราเป็นเด็กกิจกรรมขั้นรุนแรง ชีครองทุกอย่าง ทุกกิจกรรม ก็เลยไม่ได้อยู่ติดกับบ้าน แล้วคนอย่างจอยน่ะเหรอ แน่นอน...อยู่บ้านค่ะ

     ช่วงนี้เราสับสนมากๆ ระหว่างความสุขของตัวเองกับความสุขของโฮสต์แฟมิลี่ คือ ถ้าเราย้ายออกไป ก็หมายความว่าเราเห็นแก่ตัวใช่ไหม ทิ้งคนป่วยไปได้ แต่ถ้าเราอยู่เราก็เครียดนะ แต่ก็เก็บไว้ไม่ได้บอกคนในบ้าน เพราะไม่อยากให้เขายิ่งเครียดกัน ทั้งๆ ที่ก่อนเรามาที่นี่แม่เราถามว่า “กลัวลำบากมั้ย” ด้วยความหึกเหิมและคิดว่าตัวเองเก่งก็ตอบไปว่า “ไม่กลัว ถ้าไปสบายแล้วจะไปทำไม อยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ” 

     3.ระยะฟูมฟาย

     เนื่องจากคืนวันหนึ่งเป็นค่ำคืนอันโหดร้ายของเรา เป็นคืนที่อยากไปปล้นไทม์แมชชีนจากโดเรมอนเพื่อย้อนไปแก้ไขเหตุการณ์ในคืนวันนั้น คือวันเสาร์ที่ 10 มกราคม Host Mom ไปทำงานกะกลางคืน พี่สาวไป Austin (เมืองที่อยู่ห่างออกไปถึง 4 ชม.) ตั้งแต่วันศุกร์ แม้คืนวันศุกร์เราได้ดูแล Host Dad เป็นอย่างดี  แต่และแล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นตอน 2 ทุ่มครึ่งของคืนวันเสาร์

    คืนวันนั้นเราเสนอไอเดียอันแสนไบร์ทขึ้นมา คือปกติเวลา Host Dad เรียกเรา เราก็จะไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ บ้านเราก็แอบใหญ่นิดนึง และห้องที่เค้าชอบไปนั่งมันอยู่ไกลจากห้องเราพอสมควร ซึ่งบางทีที่เขาต้องการความช่วยเหลือก็จะใช้มือถือโทรเข้าเบอร์บ้าน พอเราได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้าน เราก็จะวิ่งไปรับสาย อารมณ์แอบคล้าย room service แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เราเลยบอกเขาว่าต้องหาอะไรสักอย่าง เช่น ปุ่มฉุกเฉินที่กดแล้วจะมีไฟขึ้น หรือมีเสียงเรียกเข้ามาที่เรา Host Dad ก็บอกว่า จริงๆ แล้วเขาก็มี แต่เป็นแตรที่

เสียงดังมากๆ บีบทีเสียงก้องไปทั้งบ้าน เขาบอกให้เราไปหา เขาเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งในห้องทำงาน

     แม่เจ้า! เคยเล่นเกมนักสืบหาของในคอมฯ ใช่ไหม  เหมือนเด๊ะเลย เพราะห้องทำงาน Host Dad รกยิ่งกว่านั้นอีก ของนับล้านกองอยู่ในห้องทำงาน จากนั้นเราก็เพลินกับการสมมติตัวเองเป็นนักสืบหาแตร จนไม่ได้รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดเราก็เข้าไปเช็กในห้องนอนของ Host Dad ซึ่งอยู่อีกฝากของห้องทำงาน ปรากฏว่าเขาไม่อยู่บนเตียงแล้ว แต่เราก็หันมาเห็น walker (อุปกรณ์ช่วยพยุง) ของเขาอยู่หน้าห้องน้ำ และเห็นสาย Oxygen โยงไปในห้องน้ำ เราเลยรู้ว่าเขาเข้าห้องน้ำแน่นอน เราก็เลยลองเช็คหน่อยว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า “แด๊ด” “…” “แด๊ด” “……………….”  เราร้องเรียกอยู่สักพักก็ไม่มีเสียงตอบ

     เมื่อเห็นท่าจะไม่ดี เราเลยตัดสินใจบุก เพราะวันนี้ทั้งวันอาการเขาน่าเป็นห่วงมาก เขานอนบนเตียงทั้งวัน และยังหายใจไม่ค่อยสะดวกด้วย เราจำได้ว่าเขาบอกเราให้เราปรับเพิ่มออกซิเจนจากเครื่องผลิตออกซิเจน  และเมื่อพังประตูเข้าไปได้แล้ว ภาพที่เราเห็นในห้องน้ำแคบๆ คือภาพ Host Dad ล้มนอนอยู่ สภาพหัวติดอยู่ระหว่างผนังห้องน้ำกับโถชักโครก และสิ่งที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองคือสายออกซิเจนไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่แล้ว มันหล่นลงมาระดับคาง สภาพเขาในตอนนั้นดูซีดเผือด มีคราบเลือดติดที่มุมปากเล็กน้อย และที่น่าตกใจคือเขาไม่หายใจแล้ว  ภาพที่เห็นในตอนนั้นเหมือนฉากในหนังสยองขวัญมาก

    หัวใจเราเต้นแรงมาก เรากดเบอร์ 911 ด้วยมือที่ร้อนรน เราอยู่ตรงนั้นประมาณ 10 นาทีด้วยการหลอกตัวเองว่าเรายังมีความหวัง เสียงตำรวจในสายนิ่งมากๆ ซึ่งต่างจากเราโดยสิ้นเชิง เสียงเราร้อนรนมากๆ เจ้าหน้าที่บอกเราว่าให้เราทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เขา แต่ในตอนนั้นหัวของ Host Dad ติดอยู่ระหว่างชักโครกและฝาผนัง ซึ่งยากมากๆ ที่จะเอาออก ถึงแม้บางคนเคยบอกว่าเวลาตกใจสามารถยกตู้เย็นหรือบ้านได้ทั้งหลัง แต่มันไม่เกิดขึ้นกับเรา เรารู้สึกว่าแรงหายไปในทันที แต่ยังไง

มันก็ไม่มีทางเลือก ชีวิตของ Host Dad ขึ้นอยู่กับเราแล้ว เราต้องทำให้ได้ เพราะตอนแรกเจ้าหน้าที่เสนอไอเดียว่าให้เราไปหาเพื่อนบ้านมาช่วย แต่พอเราบอกว่า เพื่อนบ้านห่างจากบ้านเรามาก ประมาณจากมาบุญครองไปเซ็นทรัลเวิร์ล เขาจึงแนะนำให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน จากนั้นเราจึงรวบรวมกำลังกายกำลังใจทั้งหมดที่เหลืออยู่ดึงเขาออกมาจนได้

     บางคนอาจจะคิดว่าตลกที่จะมาทำปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับคนตายแล้ว แต่เราว่าก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ตอนนั้นเราคิดว่าต้องทำอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขาไม่มากก็น้อย ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เขากลับคืนมา เรารู้สึกผิดมากเหมือนนางพยาบาลที่เสียผู้ป่วยในความดูแลของตัวเอง แต่ที่แย่กว่านั้นคือผู้ป่วยรายนี้เป็นพ่อ พ่อที่อุตส่าห์กัดฟันต่อสู้มะเร็งด้วยกันมาหลายเดือน แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...ว่างเปล่า...

     4.ระยะฟื้นตัว

     เป็นระยะหลังจากค่ำคืนอันแสนโหดร้ายนั้นผ่านไป กับน้ำตาที่เสียไปตลอด 5 วัน เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมากยิ่งขึ้น เขาก็ให้เกียรติเรามากๆ เหมือนกับเราเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา เพราะในพิธีงานศพนั้น เราได้นั่งกับครอบครัวเสมอ และที่พิธีศพในโบสถ์นั้น เราได้มีโอกาสอันสูงสุดในชีวิต คือได้กล่าวถึงคุณงามความดีและความรู้สึกของเราที่มีต่อ Host Dad ของเราต่อหน้าแขกที่มางานนับร้อยคน และดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตานับร้อยคู่

  ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะอยู่กับครอบครัวนี้ต่อ เพราะต่างคนต่างก็รู้สึกว่า พวกเราฝ่าฟันอะไรต่ออะไรด้วยกันมามาก ยิ่งมีอุปสรรคมาก ยิ่งทำให้พวกเราแน่นแฟ้นกันมากขึ้น จนในที่สุดเรื่องราวเหล่านี้ก็ถึงหู President of AFS เราจึงได้รับเกียรติบัตรจาก AFS ยกย่องในความกล้าหาญที่สามารถโทร 911 ได้ยามฉุกเฉิน

     เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับประสบการณ์ยังต่างแดนของสาวคนนี้ สำหรับ พี่ยีน แล้ว เรื่องของน้องจอยทำให้พี่ยีนคิดอยากจะทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับครอบครัวของตัวเองมากขึ้นครับ เพราะไม่รู้ว่าคนสำคัญๆ จะจากเราไปเมื่อไหร่ และถ้าน้องๆ คนใดมีประสบการณ์เด็กนอกแบบเด็ดๆ มาเล่าสู่กันฟัง  ก็อีเมลมาหาพี่ยีนได้ครับที่ gin@dek-d.com  พี่ยีนจะรอฟังเรื่องราวดีๆ จากน้องๆ นะครับ...

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจากน้องจอย  จันทพร  ศรีโพน


 

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

-*-MomO-*- Member 6 มี.ค. 52 16:08 น. 1
มีสติมากเลยค่ะ น่ายกย่องๆ การดูแลคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง พยายามทำให้เขามีความที่สุขที่สุด เราก็ภูมิใจแล้วค่ะ ว่าอย่างน้อย ก่อนเขาเสีย เราดูแลเขาดีที่สุดแล้ว
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

98 ความคิดเห็น

-*-MomO-*- Member 6 มี.ค. 52 16:08 น. 1
มีสติมากเลยค่ะ น่ายกย่องๆ การดูแลคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง พยายามทำให้เขามีความที่สุขที่สุด เราก็ภูมิใจแล้วค่ะ ว่าอย่างน้อย ก่อนเขาเสีย เราดูแลเขาดีที่สุดแล้ว
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
~ไข่มุกสีชมพู~ Member 6 มี.ค. 52 18:27 น. 6
เศร้ามากๆเลยค่ะ เราก็เป้นหนึ่งใน AFsers เหมือนกันค่ะ แต่ว่าเป้นรุ่น 46 ที่อเมกาเนี่ยแหละ ชีวิตไม่เคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ยังไงก็ขอให้สุ้ๆ นะคะ อีกสามเดือนก็จะกลับแล้ว ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด และขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ
0
กำลังโหลด
[[~pAiZ~]]**@ll Day Cleal2 Member 6 มี.ค. 52 19:09 น. 7
หวังว่าระยะเวลาการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เหลืออยู่ของจอย บวกกับเวลาที่ผ่านมาแล้ว มันจะสั่งสมเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม เอาใจช่วยนะจ๊ะ ครอบครัวเดียวกัน AFSer Lat#46
0
กำลังโหลด
3 ชั้น 6 มี.ค. 52 19:22 น. 8
นับถือมากเรยค่ะ

อ่านแล้วน้ำตาแทบซึม


น่าสงสารโฮส แด๊ด

น่าสงสารพี่

น่าสงสารโฮส ของพี่เค้าด้วย


T^T
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
นับถือๆ 6 มี.ค. 52 21:41 น. 12
พี่จอยเก่งมากเลยค่ะ

AFS 48 แต่ไม่ได้ลงเทกซัสไว้ พี่เก่งมาเลยค่ะ

อ่านแล้วร้องไห้ จริงๆค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Baibua* 6 มี.ค. 52 23:31 น. 19
โอ้ยยยยย อ่านแล้วร้องไห้เลยอ่ะ
คิดถึง host dad เหมือนกัน
ยังดีที่โฮสต์เรายังอยู่ มีแต่พี่ชายที่จากไป
เรากลับมาก่อนที่จะได้เอ่ยลาครั้งสุดท้าย
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด