ครั้งหนึ่งในชีวิต ไปพิชิต"แลปแลนด์" บ้านเกิดซานต้า-ราชินีหิมะ

         สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ เช่นเคยทุกวันพฤหัส ^^ สำหรับเรื่องที่นำมาฝากวันนี้เป็นภาคต่อจากสัปดาห์ที่แล้วค่ะ นั่นก็คือเรื่อง 1 ปี ณ ฟินแลนด์ ดินแดนทะเลสาบ ซาวน่า หนาว-39 องศา ! (ใครยังไม่ได้อ่าน คลิกเลย) ขอบอกว่าสนุกมากกกก ใครไม่อ่านจะเสียดายมากๆ

          และวันนี้ก็จะขอพาน้องๆ ไปเที่ยวฟินแลนด์ต่อค่ะ แต่พิเศษมากจริงๆ เพราะจะพาไปบุก "แลปแลนด์ (Lapland)" บ้านเกิดสุดหนาวของซานต้าคลอสและราชินีหิมะที่หลายๆ คนใฝ่ฝันอยากไปซักครั้งในชีวิต !!! พี่เป้ เองก็อยากไปมากๆๆๆ เพราะฉะนั้นขอเที่ยวผ่านเรื่องประสบการณ์เด็กนอกก่อนละกันนะ อิอิ

............... โฮสท์แฟมิลี่ของขวัญเป็นโฮสท์ที่ยังอายุน้อยๆ อยู่เลย ประมาณ 30 ต้นๆ เอง เค้าเคยรับนักเรียนแลกเปลี่ยนมาแล้วสองครั้งค่ะ สำหรับเราก็ถือเป็นครั้งที่สาม ที่บ้านมีหมาอยู่สองตัว วุ่นวายมากๆ โฮสท์ของขวัญถือว่าเป็นโฮสท์ที่เจ๋งมากนะ และขวัญก็เชื่อว่าไม่มีโฮสท์ที่ไหนทำอย่างโฮสท์ของขวัญแน่ ..... เชื่อมั้ย? ว่าขวัญเรียนรู้คำสบถต่างๆ (คำด่าที่หลุดปากออกมา) ในภาษาฟินน์จากโฮสท์ของขวัญเอง เค้าเป็นคนสอนให้ขวัญรู้จักคำเหล่านั้นภายในสองอาทิตย์แรกเลยทีเดียว สำหรับตัวขวัญเองก็ประหลาดใจนะ เพราะคนส่วนใหญ่เค้าจะเรียนรู้จากเพื่อนที่โรงเรียนกันทั้งนั้น ครั้งแรกที่เพื่อนรู้เพื่อนยังอึ้งเลย 5555

        สำหรับขวัญไม่ค่อยมีปัญหากับโฮสท์เท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหากับหมาสองตัวที่บ้าน เนื่องจากโฮสท์ของขวัญไม่มีลูก แต่กลับมีหมาถึงสองตัว มีหมาก็เหมือนมีเด็กนั่นแหละ แต่แย่กว่าหน่อยตรงที่มันพูดไม่รู้เรื่อง และโฮสท์แม่ของขวัญก็รักหมายิ่งกว่าลูกเสียอีก จนหลายครั้งที่เรามีเรื่องขัดแย้งกันเพราะปัญหาหมาๆ

        ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า หมาทั้งสองตัวเลี้ยงไว้ในบ้าน ช่วงแรกๆ ที่อยู่ด้วยกันก็ไม่มีปัญหาหรอก ขวัญมีเวรพาทั้งคู่ออกไปทำธุระส่วนตัวทุกเย็นหลังเลิกเรียน แต่พอเริ่มเข้าฤดูหนาวนี่สิ ปัญหาเริ่มงอกเป็นดอกเห็ดเลย นั่นก็คือปัญหาขี้ๆ ปัญหานี้ขวัญมักจะเจอทุกๆ เย็น และต้องเก็บกวาดมันทุกวัน พอบอกโฮสท์แม่ โฮสท์แม่ก็จะว่าว่าขวัญกลับบ้านช้าทำให้หมาทนไม่ไหว ขวัญก็อารมณ์แบบ.. เอิ่มม เวรกรรม หมาหนอหมา

        ต้องขอออกตัวก่อนนะว่าขวัญเป็นคนรักสัตว์มากๆ โดยเฉพาะหมากับแมว ขวัญก็เลยพยาย๊ามพยายามคิดในแง่ดี โดยลองเปรียบหมากับเด็กเล็กๆ ที่อาจจะมีอารมณ์แบบว่า รู้สึกอิจฉาที่คุณแม่ดูแลเราดีกว่า ให้อาหารเยอะกว่า ให้ที่นอนอุ่นกว่าอะไรอย่างนี้ และขวัญก็เป็นคนไม่ชอบมีปัญหากับใคร โฮสท์แม่บอกว่า ใครเจออึก่อนก็ให้เก็บ ไอ่เราก็กลับบ้านเป็นคนแรกตลอดด้วย เลยต้องจำใจเก็บมันทุกวันๆ จนพักหลังๆ ก็แอบนอยด์ แต่ก็นั่นแหละ หมามันช่างต่างจากเด็กนัก พูดไปก็เหมือนพูดคนเดียว ไม่ได้เห็นผลในทางที่ดีขึ้นเลย...

        และปัญหายิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดกับขวัญ จนทำให้ขวัญอยากเปลี่ยนโฮสท์เลยก็คือ เรื่องมันมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวเวลาราวๆ ก่อนเจ็ดโมง วันนั้นหิมะตกหนักมาก ข้างนอกก็มืดมิด โฮสท์แม่ยังไม่ไปทำงานแต่กำลังจะออกไปทำงานยังต่างเมืองตามปกติ เช่นเดียวกับขวัญที่เตรียมตัวจะออกไปโรงเรียนให้ทันเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ในวินาทีก่อนที่จะเปิดประตูบ้านออกไป ก็บอกโฮสท์แม่ว่าจะไปแล้วนะ  แต่แล้วก็กลับมีเสียงเอ่ยถามขึ้นมาว่า... "พาหมาออกไปข้างนอกรึยัง?" ขวัญก็บอกไปดิว่ายัง โฮสท์แม่ก็ฮึดฮัดๆ เลยฮะ แล้วถามอีกว่า ทำไมยังไม่พาหมาออกไปข้างนอกอีก ...

        อ่าว ก็เวรพาหมาออกไปข้างนอกของขวัญมันตอนเย็นนี่ แล้วตอนเช้าราวๆ หกโมงกว่า โฮสท์แม่ก็เพิ่งเป็นคนพาออกไปเองด้วย ขวัญก็งงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะ จะพาออกไปตอนนี้ก็ไม่ทันเรียนแน่ หิมะก็ตกหนัก ขวัญก็เลยให้เหตุผลไปว่าขวัญจะไปเรียนไม่ทัน โฮสท์ก็ย้อนมาทันควันเลยว่า ฉันก็จะไปทำงานไม่ทันเหมือนกัน อ้าวววว กรรมแล้ว.. ขวัญเงียบไป เพื่อฟังชีบ่นแกมประชดขวัญมากมาย อารมณ์ประมาณว่า “ฉันนะ ตื่นเช้าก็เช้ากว่าเธอ เพื่อต้องมาทำอาหารให้ แถมยังต้องพาหมาออกไปเดินเล่นอีกในขณะที่เธอกำลังนอนหลับสบาย พอฉันจะไปทำงานก็ต้องไปทำงานสายเพราะมัวแต่เอาหมาออกไปทำธุระ บลาๆ” จำได้ประมาณนี้แหละ ส่วนตัวขวัญก็ไม่อยากมีเรื่องนะ ทั้งๆ ที่อารมณ์ตอนนั้นก็ไม่จอยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องพยายามใจเย็นๆ เข้าไว้

        ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็หลายครั้งแล้วที่เกิดเรื่องเพราะหมาเหล่านี้ จนขวัญรู้สึกขยาดและอยากเปลี่ยนโฮสท์มาก แต่ภายในใจลึกๆ ก็พยายามเตือนตัวเองอยู่เหมือนกันว่าให้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เค้าให้เรามาให้ดีๆ ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆ จริงๆ แล้วโฮสท์ขวัญก็ไม่ใช่เป็นคนร้ายแรงอะไร หมามันก็เป็นแค่หมา บทจะดีมันก็เป็นเพื่อนที่เยี่ยมเลย เพราะโฮสท์มักจะออกบ้านไปทำงานแต่ไก่โห่และกลับบ้านดึกๆ เสมอ ดังนั้นก็ได้เจ้าหมาทั้งสองเนี่ยแหละอยู่เป็นเพื่อนเล่นทุกเย็นเลย แต่พอบทจะร้ายขึ้นมาก็ทำเอาเรารู้สึกแย่ไปหลายวันเลยเช่นกันนะ ขวัญก็ไม่ได้เป็นสีทนได้หรอกนะ แต่ทุกครั้งที่เกิดปัญหา ขวัญมักคิดเสมอว่าพวกเรามีความต่างกันอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีบ้างที่ความต่างนั้นจะทำให้เราไม่เข้าใจกันจนเกิดเป็นปัญหา ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขวัญก็มักจะมานั่งทบทวนหาจุดผิดของตนเอง แล้วพยายามแก้ไขมันไป

        โรงเรียนของขวัญเป็นโรงเรียนขนาดเล็กมากๆ แบ่งออกเป็น 3 ตึก ตึกแรกเป็นของชั้นอนุบาล ตึกที่สองเป็นตึกชั้นประถมศึกษาตั้งแต่ Grade 1-6 และตึกสุดท้ายก็เป็นตึกมัธยมศึกษา ประกอบไปด้วย ม.ต้น Grade 7-9 และนักเรียนม.ปลาย ปี 1-3 โรงเรียนในฟินแลนด์เป็นโรงเรียนเรียนฟรี และมีอาหารกลางวันฟรีด้วย เวลาเรียนก็ชิลๆ คาบละ 50 นาที ระหว่างคาบก็มีพักให้ 15 นาที บางวันก็มีคาบว่างวันละคาบถึงสองคาบเป็นอย่างน้อย โรงเรียนเป็นแบบเปิดที่นักเรียนจะเข้าจะออกเมื่อไหร่ก็ได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ขวัญแปลกใจมากๆ เลยที่นักเรียนทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองมากๆ เพราะเวลาว่างส่วนใหญ่บางคนก็จะเดินออกไปเที่ยวกัน หรือบางคนก็ไปนั่งเล่นที่บ้าน พอถึงเวลาเรียนก็มาเรียนตรงเวลาด้วย หากโรงเรียนในไทย เด็กคงหนีกลับบ้านไปเลย ช่างเป็นความแตกต่างที่ขวัญเห็นครั้งแรกก็รู้สึกชื่นชมคนฟินน์มากๆ เลย

        วิชาที่ขวัญเลือกเรียน ก็เรียนแบบชิลๆ อย่างวิชาคำนวณ ภาษา ดนตรี ศิลปะ พละ คหกรรม และงานฝีมือเป็นต้น ส่วนวิชาทางภาษาที่เลือกเรียน แน่นอนว่าต้องเรียนภาษาอังกฤษและภาษาฟินนิช ส่วนอีกภาษาหนึ่งเค้าก็มีให้เลือกอยู่ 4 ตัวเลือก นั่นก็คือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สวีดิช และรัสเซียน ซึ่งภาษาสวีดิชเป็นภาษาที่บังคับให้นักเรียนชาวฟินน์เรียนกันทุกคน เพราะฟินแลนด์เคยเป็นเมืองขึ้นของสวีเดนหลายศตวรรษ ภาษานี้จึงมีความจำเป็นต้องใช้ในฟินแลนด์บ้าง แต่ขวัญเลือกเรียนรัสเซียน เหตุผลที่เลือกก็เพราะเคยได้ยินว่าเป็นภาษาที่ยากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว ก็เลยอยากพูดเป็นเขียนเป็นบ้างซักนิดหน่อยก็ยังดี พอได้เรียนครั้งแรกก็รู้สึกพลาดจริงๆ เพราะมันยากมากๆๆๆๆ แต่ครูที่สอนวิชานี้เป็นคนใจดีและทุ่มเทสุดๆ เค้าจะพยายามสอนเราจนเราได้ และพอคาบต่อๆ มา ขวัญก็เริ่มปรับตัวได้ จึงรู้สึกได้ว่ามันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ เป็นภาษาที่น่าสนใจเลยทีเดียว

         เนื่องจากโรงเรียนของขวัญเป็นโรงเรียนที่เล็ก บุคลากรและนักเรียนก็เลยมีไม่มาก คุณครูที่นี่ก็ใจดีมากๆ เป็นมิตรกับขวัญทุกคน ตอนแรกๆ ที่มาก็แอบหวั่นๆ ใจว่าจะเจอครูที่เค้าไม่ค่อยสนใจเรา แต่นี่ไม่ใช่เลย ครูแต่ละคนนี่ขยันถามไถ่เราเหลือเกินว่าวันนี้เป็นไงบ้าง เรียนสนุกมั้ย และคอยเป็นห่วงเราเสมอ เวลาเราไม่ได้ตรงไหน พอเราถามเค้าก็จะพยายามอธิบายให้เราฟังเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับเรื่องเพื่อน ขวัญบอกได้เลยว่าขวัญมีเพื่อนทุกชั้น ตั้งแต่อนุบาลยันปีสาม ม.ปลาย เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เล็ก และขวัญก็ดูแปลกที่สุดในโรงเรียนแล้ว ด้วยความที่ว่ามีผมดำ ตาสีเข้ม ผิวคล้ำ ทำให้เด็กๆ สนใจมากๆ ขวัญสนิทกับเด็กอนุบาลมากๆ จนขวัญแทบไม่เชื่อตัวเองเลย น้องๆ เค้าจะดีใจมากๆ เลยที่ได้สอนขวัญพูดภาษาฟินนิช รวมไปถึงได้แกล้งขวัญด้วย 5555 ไปอยู่ฝั่งอนุบาลทีไรเหมือนตัวเองเป็นดาราดังเลย มีแต่คนเรียกหาตลอดเวลา 55555

         ส่วนเพื่อนที่ได้จากชั้นม.ต้น ส่วนใหญ่ก็ได้จากการเรียนวิชาคหกรรมและงานฝีมือ เนื่องจากชั้นม.ปลายไม่มีการเรียนอะไรอย่างนี้แล้ว ขวัญจึงต้องไปเรียนกับเด็กม.ต้นแทน เวลาคุยกับเด็กม.ต้นก็เป็นอะไรที่สนุกนะ เพราะเราใช้ภาษามือคุยกันตลอดเลย มีบ้างที่จะพูดภาษาอังกฤษและภาษาฟินนิช ส่วนกับเด็กม.ปลาย ก็เป็นปกติอยู่แล้วที่จะรู้จักกันเพราะแต่ละชั้นปีมีนักเรียนนิดเดียว ขวัญก็เรียนกับทุกชั้นเช่นกัน 5555

         และที่สำคัญคือทำกิจกรรมกับทุกชั้นด้วย อย่างเช่น กิจกรรมลูเซีย (เฉลิมฉลอง St. Lucia ผู้เป็นดั่งแสงเทียนส่องสว่าง) ซึ่งนักเรียนหญิงปีหนึ่งของทุกปีต้องไปแต่งชุดขาวร้องเพลงเพื่อสรรเสริญเซนต์ลูเซีย ขวัญก็ติดสอยห้อยตามไปกับขบวนของเหล่าลูเซียด้วย หรืออีกกิจกรรมหนึ่งก็คือ กิจกรรมเต้นรำในงาน Vanhojen Päivä ของเหล่านักเรียนปีสองที่มักจะเฉลิมฉลองทุกครั้งเมื่อนักเรียนปีสามเรียนจบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรานั้นเป็นนักเรียนผู้ที่อาวุโสที่สุดในโรงเรียน (Vanhoja = ผู้อาวุโส , Päivä = วัน เมื่อรวมกันก็จะได้ความหมายว่า วันของผู้อาวุโส )


         และเรื่องที่ทำให้ขวัญตื่นเต้นมากนั่นก็คือ ... ทริป "แลปแลนด์(Lapland)" ที่เด็กเอเอฟเอสทุกคนรอคอย ถึงทริปนี้จะแพงหูฉี่ไปหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้มนะกับประสบการณ์และมิตรภาพมากมายที่ได้รับนะ นอกจากนี้ยังทำให้ได้พบเพื่อนๆ ชาวไทยด้วยกันอีกด้วย ดังนั้นทริปนี้จึงเป็นทริปที่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่มายังประเทศฟินแลนด์ไม่ควรจะพลาดด้วยประการทั้งปวง

 แลปแลนด์เป็นเขตหนึ่งของฟินแลนด์ อยู่ทางเหนือของประเทศ มีภูมิอากาศกึ่งขั้วโลก
ที่นี่มีหมู่บ้านซานต้าคลอสและยังได้ชื่อว่าเป็นที่อยู่ของราชินีหิมะด้วยล่ะ

         ทริปนี้กินระยะเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ พวกเราเดินทางไปยังเมือง Rovaniemi ซึ่งเป็นเมืองที่ถือว่าดังที่สุดในเขตแลปแลนด์เลยก็ว่าได้ เพราะในเมืองนี้มี “บ้านของซานตาครอส” อยู่! การเดินทางของเราไปโดยรถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 กว่าชั่วโมง พวกเราถึง Rovaniemi ราวๆ 11 โมง จากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์ Arktikum (Arktikum museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาร์คติกเซอร์เคิล รวมถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนในแถบนั้น ซึ่งมันจะต้องแตกต่างจากวิถีชิวิตของผู้คนในแถบตอนล่างที่เราเคยสัมผัสมาแน่นอน

         และกิจกรรมในวันที่สอง พวกเราก็ไปเหมืองเพื่อขุดหาอัญมณีสีม่วงที่มีชื่อเรียกสุดไพเราะว่า "อเมทิสต์" กัน ขวัญขุดได้มาสองเม็ด นอกจากนี้ทริปนี้มีหลายกิจกรรมให้เลือกเล่นอยู่หลายอย่างทั้ง Downhill ski (สกีลงเขา) , Snowboard (สโนว์บอร์ด) , Cross country ski (สกีวิบาก) , Snow shoe hike (ปีนเขาย่ำหิมะ) และ Ice-hole fishing (ตกปลา) เค้าให้เลือกเล่น 3 อย่าง วันละอย่าง ขวัญก็เลือกเล่น Snowboard ไปสองวัน อีกวันหนึ่งก็เลือก Ice-hole fishing แต่ปรากฏว่าวันที่ขวัญเลือกกิจกรรมนี้ไปเป็นวันที่อากาศหนาวมากๆ เกือบๆ แตะ  -40 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ขวัญก็เลยเปลี่ยนไปลง Snow shoe hiking แทน กิจกรรมนี้เป็นอะไรที่ทั้งสนุกและเหนื่อยมาก จะเหนื่อยกายตอนไต่ขึ้นเขานี่แหละ

         นอกจากนี้แล้วสิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อได้มาตอนเหนือของฟินแลนด์คือ การได้ดูแสงเหนือ! แสงเหนือที่นี่ในช่วงเวลานี้เรียกได้ว่า “พบได้ทุกวัน” สำหรับขวัญและแก๊งเด็กไทยนั้นช่างโชคร้ายนัก ไปค่ายอยู่ 5 คืน เห็นอยู่แค่คืนเดียว เพราะไปไม่ทันแสงเหนือทุกที คืนเกือบสุดท้ายเลยมานั่งรอเลย เป็นไงเป็นกัน 5555 สุดท้ายก็ได้เห็นสมใจแม้จะเป็นแค่เส้นสีเขียวพาดผ่านบนท้องฟ้าลางๆ ก็เถอะ แต่ก็ถือว่าคุ้มมากแล้ว

         นอกเหนือจากกิจกรรมรอแสงเหนือแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างที่สำคัญมากๆ ถึงมากที่สุด นั่นก็คือ ซาวน่าและอะวานโตะ (Sauna and Avanto) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ทำได้เฉพาะในหน้าหนาวเท่านั้น! ซาวน่าก็คือซาวน่านั่นแหละอย่างที่เล่าไปแล้ว ส่วน "อะวานโตะ" นั่นก็คือ รูที่ถูกเจาะขึ้นบนทะเลสาบที่แข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว เพื่อให้เราได้วิ่งเอาตัวไปจุ่มหลังจากออกมาจากซาวน่าร้อนๆ ... อ๊ะ อย่าเพิ่งตกใจไปนะว่า อากาศก็หนาวติดลบขนาดนั้นยังจะวิ่งลงไปเล่นน้ำในทะเลสาบน้ำแข็งอีกเหร๊อออ ? จริงๆ แล้วก็ไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นหรอกค่ะถ้าไม่ได้ซาวน่า 555 เพราะข้างในซาวน่ามันร้อนมากๆ ทุกคนก็ต่างเหงื่อไหลไคลย้อยกันทั้งนั้น ดังนั้นพอออกจากที่ร้อนๆ มา ยิ่งได้วิ่งลงทะเลสาบที่เย็นยิ่งกว่าอากาศก็ยิ่งสะใจและสดชื่นสบายแฮยิ่งนักกก! ไม่เชื่อต้องมาลองดู 55555 เป็นการเข้าซาวน่าที่ขวัญประทับใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้

         และสำหรับวันสุดท้ายของทริปนี้ พวกเราก็ได้ไปลองขี่กวางเรนเดียร์ เป็นการขี่โดยให้เจ้ากวางเป็นผู้ลากและวนป่าเป็นระยะทางสั้นๆ แอบสงสารเจ้ากวางเหมือนกันนะ วิ่งจนลิ้นห้อยเลย 5555 ก่อนจะร่ำลาน้องกวางไป พวกเราก็แวะไปทานมื้อเที่ยงซึ่งเป็นซุปเนื้อกวางเรนเดียร์นี่แหละ ไม่ดีเลยเนอะ ขี่เค้าแล้วยังจะกินเนื้อเค้าอีก แต่ต้องขอกระซิบบอก ณ ที่นี้เลยนะว่า เนื้อกวางเรนเดียร์อร่อยมว๊ากกกก! อร่อยกว่าเนื้อเป็ดอีก โฮ่ะๆ

         กิจกรรมสุดท้ายท้ายสุด ที่เราไม่พลาดแน่นอนนั่นก็คือ การไปเยี่ยมเยียนคุณลุงซานต้าที่บ้านของลุง ณ เส้นอาร์คติกเซอร์เคิลพอดีเด๊ะ ลุงซานต้าน่ารักมากเลย เป็นคุณลุงใจดีอย่างที่เล่าขานกันมา มีทักทายพวกเราเป็นภาษาไทยด้วยแหละ 555 ผู้ช่วยคุณลุงซานต้าก็น่ารักกันทุกคนเลย ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ปิดท้ายทริปที่แสนวิเศษนี้ด้วยการถ่ายรูปร่วมกับคุณลุงซานต้า และเดินเที่ยวหาของฝากกันเป็นอันสิ้นสุด ก่อนจะพากันไปขึ้นรถไฟและแยกย้ายกลับบ้าน โดยไม่ลืมที่จะเก็บความรู้สึกดีๆ ใส่ตะกร้าแห่งความทรงจำกลับบ้านด้วย


         สุดท้ายสำหรับใครที่อยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนะคะ หากมีโอกาสก็ขอให้อย่าทิ้งโอกาสค่ะ ระยะเวลาที่เราได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นถือเป็นปีทองเลยก็ว่าได้นะ เพราะสิ่งที่เราได้นั้นมันมีค่ามากกว่าเงินที่เราเสียไปอย่างแน่นอน เมื่อได้ไปแล้ว.. สิ่งที่เจออาจจะไม่ถูกใจบ้าง ไม่ชินบ้าง แต่อยากบอกค่ะว่าทุกสิ่งนั้นมันต้องมีการเริ่มต้นเสมอ หากไม่เริ่มต้นเราก็ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เลย สิ่งใหม่ที่ว่านั้นอาจจะมีดีมีร้ายไปบ้าง แต่ก็ถือเอาเป็นสีสันของชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง เพราะชีวิตมันก็ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ แน่นอน เช่นเดียวกันกับประสบการณ์ หากไม่ได้ออกจากกรง ก็คงไม่รู้ว่าท้องฟ้าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เชื่อขวัญเถอะว่าประสบการณ์ที่ได้รับจากการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะ เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาอ่านได้จากหนังสือเล่มไหนๆ ได้เลย ไม่ว่าครูคนไหนหรือใครก็ไม่สามารถสอนเราได้ อยากได้อยากมีก็ต้องลองไปค้นหากันดูซักตั้ง!

         ขอให้ใครที่มีความตั้งใจอยากจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไม่ว่าจะโครงการไหนๆ ณ ประเทศใด ก็ขอให้สมหวังๆ สอบติดกันถ้วนหน้า สัมภาษณ์ผ่านกันทุกคน และที่สำคัญพ่อแม่ให้สัญญาณไฟเขียว เย่! ขอให้โชคดีมีชัยนะคะ อ๊ะ เกือบลืม! ขวัญก็อยากจะขอฝากประเทศฟินแลนด์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ ไม่ได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนขวัญก็ไม่เป็นไร แต่ก็ขอให้ได้ไปเที่ยวก็ยังดี หรือจะไปเรียนก็ยังได้ เพราะประเทศนี้เนี่ย “ฟินนนนนนนนนนนน!!” สมชื่อจริงๆ ขอบคุณจ้า ;D

         โอ๊ยยยย อ่านประสบการณ์เด็กนอกมาเป็นร้อยเรื่อง ยอมรับเลยว่าเรื่องของน้องขวัญนี่ "ฟินนนนนน" มากกกก สนุกมากกกก อ่านแล้วอยากจะบินไปเที่ยวฟินแลนด์ซะเดี๋ยวนี้ ฮ่าๆๆ ฟินมากๆ ค่ะ ^^ น้องๆ ล่ะ อ่านจบทั้งสองตอนแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง อยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกันเลยใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆ ส่วน พี่เป้ อยากลองซาวน่าและอะวานโตะซักครั้งในชีวิต คงจะสดชื่นน่าดู อิอิ ... ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้บ้าง ก็ส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกันจ้า

และห้ามพลาด !!! หนังสือเล่มใหม่จาก Dek-D.com กับ "คู่มือเรียนต่อนอกฟรีๆฉบับม.ปลาย" อัดเต็มกับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน ทุนเรียนฟรี ข้อมูลประเทศน่าเรียน 10 ประเทศพร้อมแนะนำโรงเรียนที่น่าสนใจ การเตรียมตัวก่อนไปเมืองนอกแบบละเอียด พร้อมทั้งประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ ตั้ง 10 เรื่อง !! เหมาะกับน้องๆ ม.1-5 ที่อยากไปเรียนนอก โอ้ววว น่าสนใจล่ะสิ  ราคาก็ถูกมากแค่ 125 บาทเท่านั้น !! หนาตั้ง 200 กว่าหน้า ใครอยากดูสารบัญคร่าวๆ คลิกที่นี่

วางขายแล้วร้านหนังสือซีเอ็ด 
และร้านหนังสือชั้นน้ำทั่วประเทศจ้า

เด็กดีดอทคอม :: AFS รุ่นที่ 52 เตรียมเปิดรับสมัครแล้ว คลิกอ่านระเบียบการด่วน !

เด็กดีดอทคอม :: 28 วันใน
TWITTER @PAYDEKD

 

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

30 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
fran_melody Member 10 พ.ค. 55 08:19 น. 3
อยากไปมากกก แต่ติดอยู่ที่ว่าภาษาอังกฤษอ่อนแอ
ขอเวลาเตรียมตัว(ไปฝึก)ก่อน รอก่อนน้าาาฟินแลนนนนนด์
0
กำลังโหลด
lc_kukko Member 10 พ.ค. 55 09:14 น. 4
ถ้าฟินแลนด์ เค้าจะมีเป็นภาษาฟินค่ะ
ภาษาอังกฤษเค้าแทบจะไม่ได้ใช้กันเลย
พอดีเพื่อนก็ได้ไปอยู่ที่นั่นเพราะเป็นนักเรียนทุน
อยากไปเหมือนกันค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Night Baron Member 10 พ.ค. 55 11:27 น. 6

โอ้ย!! อ่านแล้วความรู้สึกอยากไปมันเพิ่มพูน 555+
อยากเจอลุงซานต้าค่า ><
แถมคนฟินแลนด์ขาวจั๊วกันทั้งนั้นเลยอ่า -..-

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Thesnowlady Member 10 พ.ค. 55 20:10 น. 14
น่าไปมากๆๆๆๆ แลปแลนด์ ดินแดนในความฟันเลยนะคะเนี่ย
พอดีติดมาจากซีรี่ย์ -0- พี่ขวัญฟินนนมากกกกก


ป.ล. สาธุ !!~ ขอบคุณสำหรับคำขวัญนะคะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
อาเบะจัง 11 พ.ค. 55 16:57 น. 17
อ่าาาาาหหห์ แค่อ่านยังฟินนนนนนนนนน เราก็สงสัยอยู่ทำไมคนฟินแลนด์ต้องรู้ภาษาสวีดิช เพราะเป็นเมืองขึ้นนี่เอง ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
|| THE KWAN || Member 13 พ.ค. 55 00:06 น. 20
ขวัญนะคะ :)))
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของทุกคนเลย เย่ !
ฟินแลนด์ "ฟินนนน" จริงๆ นะเออ
เดี๋ยวเร็วๆ นี้จะมีสอบเอเอฟเอสแล้ว ใครที่คิดจะเลือกฟินแลนด์หรืออยากจะปรึกษาอะไรก็ทวีตมาทักทายกันได้นะคะ :D ที่ @kwantippol (ถือโอกาสปล่อยทวีต 55555)

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 13 พฤษภาคม 2555 / 00:07
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด