สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกทุกๆ วันพฤหัสเช่นเคย ^^ สำหรับเรื่องที่นำมาฝากวันนี้มาจากประเทศที่ พี่เป้ ชอบมากกกกกกกกกกกกก แต่ไม่ค่อยมีน้องๆ เขียนส่งมาให้ T^T นั่นก็คือ "ประเทศเนเธอร์แลนด์" นั่นเองค่ะ ซึ่งน้องเจ้าของเรื่องเค้าเล่าถึงชีวิตที่นั่นแบบละเอียดยิบ เรียกว่าถ้าอ่านจบแล้ว จะได้รู้จักดินแดนกังหันลมแห่งนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน ^^

        สวัสดีเพื่อนชาวเด็กดีทุกคน เราชื่อ "ต้นหน นาจารย์" ทุกคนเรียกชื่อจริงกันเพราะเราไม่มีชื่อเล่น (คนที่นี่ถามเราว่า คนไทยมีชื่อเล่นแล้วทำไมยูไม่มีล่ะ ฮ่าๆ) เรียนอยู่ที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ตอนนี้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS รุ่น 50 มาแลกเปลี่ยนที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ดินแดนแห่งดอกทิวลิป กังหันลม รองเท้าไม้ แกะพันธุ์ขน

        ที่เราเลือกประเทศนี้เพราะเราอยากเลือกประเทศที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปในภายหลัง ที่จริงตอนแรกคุณพ่อให้เลือกอเมริกา แต่เราคิดว่ามันเป็นประเทศพูดอังกฤษ คงน่าจะมีโอกาสได้ไปภายหลัง ส่วนเรื่องการเดินทางก็บินจากกรุงเทพไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แล้วก็บินต่อมายังสนามบินสคิปโฮล ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดไปกว่า 20 ชั่วโมง

        เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆ เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 11 เท่า เมืองหลวงคืออัมสเตอร์ดัม ภาษาราชการคือภาษาดัตช์ มีลักษณะพิเศษทางภูมิประเทศคือ บางส่วนของประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ที่เหลือก็สูงกว่าแต่ไม่มาก ถ้าถามว่าน้ำจะท่วมไหม? คำตอบคือไม่ท่วมครับ คนที่นี่เก่งมาก เพราะว่าเขาได้สร้างเขื่อนขึ้นไว้เพื่อกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้ามาภายในประเทศ ซึ่งเขายืนยันได้ว่าเนเธอร์แลนด์น้ำจะไม่ท่วมเป็นร้อยๆ ปี โอ้วเจ๋งสุดๆ ;)

        เราได้มาอยู่ในทางเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ในจังหวัดที่ชื่อว่า Friesland (ฟริซลานด) ที่นี่มีภาษาท้องถิ่นที่เรียกว่า "ฟริซ" อารมณ์ประมาณภาษาอีสานบ้านเรา เมืองที่ได้มาอยู่ชื่อว่า Drachten (ดร๊าคเท่น) ที่จริงเรียกว่าเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ดีกว่า .... โฮสท์แรกประกอบด้วย โฮสท์พ่อ โฮสท์แม่ โฮสท์น้องชาย 1 คน โฮสท์พี่สาว 1 คน แต่โฮสท์พี่สาวไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา เราเลยได้มาอยู่ห้องของเขา โฮสท์ครอบครัวแรกก็ดูแลเราเป็นอย่างดี สอนให้เราได้ภาษาเร็วมาก (เราก็เรียนมาก่อนนิดนึง) คือเขาจะพูดอังกฤษเฉพาะตอนเย็น หลังจากนั้นสองสัปดาห์ก็พูดดัตช์อย่างเดียวเลย

        โรงเรียนที่มาเรียนก็เป็นโรงเรียนค่อนข้างใหญ่ ไม่ค่อยไกลจากบ้าน ทุกวันก็ขี่จักรยานไปโรงเรียน คนที่นี่ขี่จักรยานกันเกือบทุกคน ไม่ว่าจะไปโรงเรียน ไปทำงาน หรือไปซื้อของ (นักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาจะต้องโดนถามว่าขี่จักรยานเป็นไหม -3-) การเรียนที่นี่เป็นแบบเดินเรียน เราก็ได้มาเรียนอยู่หลักสูตร 5 ปี โดยเราเรียนอยู่ปีที่ 4 เรียนไม่ค่อยยากมากเท่าไร แต่ระบบการเรียนการสอนที่นี่ดีมาก เขาสอนให้เรารู้จักคิด คิดว่าอันนู่นอันนี้มีที่มาอย่างไง ถ้าทำอย่างนั้นอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้น สอนให้ใช้เหตุและผลมากกว่าการจำ วิชาที่เราเรียนก็มีเลขระดับ 3 (มีทั้งหมด 4 ระดับ) ฟิสิกส์ เคมี ศาสนา ภาษาอังกฤษ ภาษาดัตช์ สังคมศึกษา วัฒนธรรมศึกษา และวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์

        ที่เราชอบมากเลยคือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ก็จะเรียนเรื่องน่าสนใจ 1 เรื่องต่อ 1 เทอม (ที่นี่แบ่งเป็น 4 เทอมด้วยกัน) เรื่องที่เราชอบมากที่สุดนั้นเป็นเรื่องสืบสวนสอบสวน ก็คือเขาจะให้คดีฆาตกรรม แล้วให้เราหาว่าใครเป็นฆาตกร ก็ต้องเข้าแล็บทำการทดลองและบันทึกทุกอย่่างลงเอกสารของคดี  ช่วงที่ตื่นเต้นก็น่าจะเป็นช่วงประกาศคะแนนสอบหลังที่สอบไปในแต่ละเทอม คะแนนสอบของเราทำให้เพื่อนตะลึงทุกครั้ง (เพราะมีทั้งสูงสุดและต่ำสุด ฮ่าๆ) 

        พออยู่มาได้สักพัก ก็มีหลายเรื่องที่ทำให้เครียด อย่างเช่น โฮสท์น้องชายชอบทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโง่ ชอบถามคำถามที่เราไม่มีวันตอบถูก ?_? (เพราะมันมีหลายคำตอบไง) แล้วก็ตอกย้ำว่า "แค่นี้ไม่รู้หรอ" เราก็เลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับโฮสท์ โฮสท์ก็บอกว่ามันเป็นธรรมดาของผู้ชายที่หยอกล้อกัน เดี๋ยวจะเตือนโฮสท์น้องชายให้ แต่เวลาผ่านไปโฮสท์น้องชาย ก็ไม่ได้ลดละเลย -3-

        ต่ิอจากนั้นมาก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ เราต้องย้ายโฮสท์ เรื่องเริ่มมาจากโฮสท์เราได้ส่งอีเมล์ไปหาที่บ้านของเรา เนื้อหาก็ประมาณว่า 'เราได้อยู่กลับลูกของคุณมาเป็นระยะเวลานึง เราเห็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติของลูกคุณ และเราได้ปรึกษากับทางผู้อำนวยการ AFS แล้ว เราได้รู้ว่าลูกของคุณนั้นมีความพิการทางด้านสติปัญญา' เฮ้ย = _ = พอเรารู้จากพ่อแม่เราก็เริ่มเครียด พ่อแม่เราก็ตอบอีเมล์กลับพร้อมคำอธิบาย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เราก็เลยนำเรื่องนี้ไปคุยกับคอนแทคเเฟมิลี่ (คนที่คอยดูเเลเรานอกจากโฮสท์ ) เขาก็บอกเราว่า ควรจะย้ายโฮสท์นะ เราก็คิดหนักเลยทีนี้เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับเรา ดังนั้นเราจึงทำเรื่องขอย้ายโฮสท์ ก่อนย้ายก็ลองคุยกับโฮสท์ก่อนจะได้เคลียร์ๆ กันไป แต่โฮสท์กลับบอกว่าจะเคลียร์อะไรอีกล่ะ ก็เรื่องมันชัดเจนว่าคุณพิการด้านสติปัญญา T3T ทำร้่ายจิตใจกันสุดๆ

        จากนั้นเราได้ย้ายมาอยู่หมู่บ้านใกล้ๆ และโชคดีที่ไม่ต้องเปลี่ยนโรงเรียน โฮสท์ใหม่ก็เป็นครอบครัวของเพื่อนเรา ครอบครัวนี้มีแค่โฮสท์แม่คนเดียวที่ดูแลทุกคน แล้วก็ีมีโฮสท์น้องชาย โฮสท์พี่สาว 2 คนโดยคนนึงไปแลกเปลี่ยนที่ฮ่องกง เราก็เลยได้มาอยู่ห้องเขา แต่พอโฮสท์พี่สาวกลับมาจากฮ่องกง เราก็ต้องมานอนกับโฮสท์น้องชาย ตอนนี้ก็เลยมีสมาชิก 5 คนในบ้านหลังเล็ก (ทาวน์เฮาส์) การกินก็ต้องประหยัด เพราะโฮสท์แม่คนเดียวต้องออกค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมด บางครั้งเราก็ช่วยเขาเรื่องค่าอาหารบ้าง

        พูดถึงเรื่องอาหารแล้ว อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นมันฝรั่งสารพัด รูปแบบ ทั้่งต้ม ทอด อบ ส่วนใหญ่จะกินกับเนื้อ อาหารจานโปรดเราก็เป็น stampot (สตามพ๊อต) มันคือมันฝรั่งบดใส่เครื่องปรุง ผักต่างๆ เบคอน กินพร้อมกับไส้กรอก แบบว่าอร่อยสุดๆ แต่ที่นี่กินอาหารคาวแค่ตอนเย็น เช้ากับกลางวันก็จะกินขนมปังเกือบตลอด จะใส่แฮมทาเนยอะไรก็ว่ากันไป ปกติเราก็กิน 5 แผ่นต่อวัน (เรารู้จักคนที่กินวันล่ะ 10 แผ่นด้วยนะเออ)

        ส่วนการใช้เวลาว่างที่นี่ก่อนอื่นเลยต้องทำการบ้านของโรงเรียน หลังเลิกเรียนบางครั้งก็ไปเล่นบอลกับโฮสท์น้องชาย บางครั้งก็ไปหาเพื่อนที่อยู่ถนนเดียวกัน เล่น กีตาร์ด้วยกันบ้าง ไปวิ่งจ๊อกกิ้งด้วยกันบ้าง แล้วเราก็มีซ้อมฟุตซอลทุกวันอังคาร ซ้อมไปซ้อมมากระดูกที่เท้าแตก ก็เลยเลิกไป พอได้มาอยู่โฮสท์ใหม่ เราก็ได้มาอยู่คลับแบดมินตัน (อยากจะบอกว่าคนไทยจะโปรมาก ฮ่าๆ เพราะว่าเรามีพื้นฐานดีกว่า) ก็มีโปรแกรมให้แข่งอยู่บ่อยๆ คลับเราเป็นแชมป์ปีนี้ด้วยนะเออ เราภูมิใจในคลับนี้มาก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ตั้งแต่ต้นฤดูกาล นอกจากนี้ โฮสท์น้องชายเรามี X box ก็เล่นด้วยกันเป็นบางครั้งบางคราว บางครั้งก็มีชุมนุม X box แบบทีวี 3 เครื่องในบ้าน นั่งเล่นกันจนตีสอง (ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ) แต่มันทำให้เราสนิทกันเร็วขึ้น

        สำหรับนิสัยของคนที่นี่ เราพูดไม่ได้หมดว่าเป็นยังไง เพราะเราอยู่มาสองบ้าน นิสัยคนละขั้วกันเลย แต่หลักๆ แล้วคนที่นี่จะเป็นคนพูดตรง คือคิดอะไรก็พูด ไม่มีเก็บไว้ จนบางครั้งก็เหมือนว่าไม่ได้ไตร่ตรองว่าเรื่องที่พูดไปนั้นจะไปทำร้่ายจิตใจใครหรือเปล่า .... มีวันนึงตอนที่อยู่กับโฮสท์แรก เราใส่เฝือกอ่อนอยู่แล้วเราจะอาบน้ำ โฮสท์พ่อก็รีบวิ่งมาที่ประตู และตะโกนเข้ามาว่าทำไมไม่บอกเขาก่อน น้ำเสียงเหมือนโกรธมาก ตอนนั้นเราแบบช็อกว่าทำไมต้องขึ้นเสียงขนาดนี้ แต่ตอนหลังก็เข้าใจเพราะเขาไม่อยากให้เราเป็นอะไรไปในการดูแลของเขา นอกจากนี้คนที่นี่มีอัธยาศัยดี เราเดินไปเจอใครหรือขี่จักรยานสวนทางกับใคร เขาจะพูด Hoi (ห้อย หอย หรือ ห่อย อ่านได้หลายแบบ ฮ่าๆ แปลว่าสวัสดี) ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน หรือเวลาลงรถบัส คนที่นี่ก็จะพูดขอบคุณคนขับรถเกือบตลอด และที่สำคัญ คนที่นี่เกือบทุกคนจะมีสมุด Agenda ใช้บันทึกว่าวันไหนต้องทำอะไร การบ้่านส่งวันไหน รวมถึงแผนการเรียนจะเป๊ะตลอดว่าวันนีเรียนเรื่้องนี้ การบ้่านที่ต้องทำมีอะไรบ้่าง พูดง่ายๆ คือทุกอย่างมีแผนเกือบหมด

        ส่วนเรื่องเที่ยวนั้น ตอนแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยได้ไปไหน เงินก็ไม่ค่อยได้ใช้ แต่ช่วงหลังนี่ไปเที่ยวมาเยอะมาก (จนต้องกดเงินบ่อยๆ ฮ่าๆ) เพราะว่าใกล้จะกลับแล้วต้องเที่ยวให้คุ้ม ที่ทุกคนต้องลองเล่นคือสเก็ตน้ำแข็ง เป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันมากช่วงหน้าหนาว ที่นี่ถึงกับสร้างแอ่งน้ำไว้เพื่อจะได้เล่นตอนมันแช่แข็ง เราก็ต้องฝึกก่อนตอนแรก ตอนหลังๆ นี่แบบเริ่มโปร ฮ่าๆ อย่างในช่วงหน้าหนาวนี้ก็หนาวลบ 14 เป็นโอกาสดีเพราะเราได้ไปดูน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือมาเกยกันที่ริมชายฝั่งด้วย

        พอหลังปีใหม่มาเราก็ได้ไปเที่ยวที่ Den Haag (ที่ได้ยินบ่อยๆ ในข่าวว่า กรุงเฮก) เป็นเมืองที่มีทั้งศาลโลก เป็นเมืองที่มีการประชุม UN รัฐสภา พระราชวังทั้งหลาย ที่นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงของการเมืองการบริหาร นอกจากนั้นเราก็ได้ไปอัมสเตอร์ดัมกับคุณแม่ด้วย (คุณแม่มาเยี่ยม) มาดูเจออะไรเยอะแยะ เช่น Red light distict เป็นย่านอบายมุขที่โด่งดังมาก มันก็ไม่ได้ถึงกับที่เราคิดไว้ มันไม่ได้โฉ่งฉางขนาดนั้น ร้านขายบริการ ร้านเซ็กส์ทอยก็อยู่ปนๆ กับร้านค้าอื่นๆ ส่วนพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น แวนโก๊ะ ก็ไปเยี่ยมมาแล้ว แต่ที่ชอบสุดคือ ได้ไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ Heineken ไปดูว่ากว่ามันจะมาเป็นเบียร์นั้นต้องทำยังไงบ้าง

        หลายคนคงสงสัยว่านักเรียนแลกเปลี่ยนมีอาการโฮมซิกมั้ย ? ตั้งแต่อยู่มาที่นี่ยังไม่เคยเป็นโฮมซิก และไม่คิดว่าจะเป็นด้วย เพราะเหมือนว่าเราจะยุ่งๆ อยู่ตลอด ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีอารมณ์ชั่ววูบว่าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว อยากกลับบ้าน แต่ก็ต้องบอกกลับตัวเองว่า เรามาที่นี่เพราะอะไร เพราะเราอยากมาเอง คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้บังคับ และก็ยังสนับสนุนเรา เราจะยอมแพ้ไม่ได้ ต้องไปให้ถึงจุดหมาย

        ตลอดระยะเวลาที่อยู่มานี่ สิ่งที่เราเห็นความสำคัญมากที่สุดเรื่องเวลา เวลามันผ่านไปเร็วมาก เราก็อยากให้ทุกคนใช้เวลาอย่างมีค่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และก็ควรจะภูมิใจที่เราเกิดเป็นคนไทย ประเทศไทยเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และวัฒนธรรมมากมายหลายอย่าง เช่นเดียวกับที่นี่ คนเนเธอร์แลนด์ภูมิใจในสิ่งที่เขามีถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราประทับใจคนที่นี่มาก สำหรับคนที่ได้ทุนแลกเปลี่ยนหรือเรียนต่อ ก็อยากให้ไป เพราะโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ และมันคุ้มค่ากับการได้ทำในสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยเจอ และสุดท้ายก็อยากจะขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ ที่คอยสนับสนุนให้กำลังใจเราโดยตลอดมา และทำให้เรามาอยู่ตรงนี้ได้ครับ

        อ่านจบแล้วเชื่อว่าคงมีหลายๆ คนเริ่มอยากไปแลกเปลี่ยนที่นี่แล้วใช่มั้ยล่ะ อิอิ พี่เป้ เคยไปเที่ยวมาทีนึงติดใจมากๆๆๆๆๆ ถ้าใครมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยน 1 ปีนี่ถือว่าโชคดีสุดๆ เลยค่ะ ^^ ส่วนน้องๆ คนไหนมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ ก็ส่งมาได้เหมือนเดิมที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกันจ้า

และห้ามพลาด !!! หนังสือเล่มใหม่จาก Dek-D.com กับ "คู่มือเรียนต่อนอกฟรีๆฉบับม.ปลาย" จัดเต็มกับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน ทุนเรียนฟรี ข้อมูลประเทศน่าเรียน 10 ประเทศพร้อมแนะนำโรงเรียนที่น่าสนใจ การเตรียมตัวก่อนไปเมืองนอกแบบละเอียด พร้อมทั้งประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ ตั้ง10 เรื่อง !!!! เป็นคู่มือเล่มเหมาะพอดีมือ เหมาะกับน้องๆ ม.1-5 ที่อยากไปเรียนนอก ราคา 125 บาท หนา 270 หน้า ใครอยากดูสารบัญคร่าวๆ คลิกที่นี่

วางขายแล้วตามร้านซีเอ็ดและร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

เด็กดีดอทคอม :: AFS รุ่นที่ 52 เตรียมเปิดรับสมัครแล้ว คลิกอ่านระเบียบการด่วน !

เด็กดีดอทคอม :: 28 วันใน
TWITTER @PAYDEKD

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

48 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ปรัสรา-เกิร์ล Member 24 พ.ค. 55 12:34 น. 9
 จะเป็นไรไหมหากจะถามว่า 'พิการด้านสติปัญญา' เนี่ย  มันเป็นยังไง???  

(ถ้าเข้าใจไม่ผิดก็ชิงทุนได้ใช่ไหมคะ  หรืออย่างน้อยๆไปเรียนที่นั่นได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วล่ะ)



พี่เขาทำอะไรแบบคนไทยที่คนต่างชาติไม่เข้าใจหรือเปล่าคะ 555+
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
nej=) 24 พ.ค. 55 16:26 น. 11
หนึ่งปีมันคุ้มกับทุกอย่างที่ต้องแลกจิงๆ เราจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ สัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรม ถ้าใครมีโอกาส อยากให้รีบคว้าไว้ เพราะมันคือครั้งหนึ่งในชีวิต =)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
fahsai ✿ Member 24 พ.ค. 55 18:19 น. 13
 สเก็ตน้ำแข็งแบบกับพื้นน้ำแข็งจริงๆเลยหรอค่้ะ? ป๊าด O_o
ขนาดแค่้ที่ซีคอนก็ล้มกันหน้าคว่ำแล้ว 55555555
0
กำลังโหลด
bling 24 พ.ค. 55 19:59 น. 14
เมืองเค้าดีจิงๆน้า สวยมากๆๆ อยากให้ไปซักครั้ง มันสุดยอดมากกกกก แต่คนที่นี่พูดตรงจิงๆนั่นแหละ==
0
กำลังโหลด
MixHonZa Member 24 พ.ค. 55 21:26 น. 15
โฮสเราบอกว่าเราเป็นซินโดรมประเภทหนึ่ง ที่มีปัญหาด้านการเข้าสังคม เรายอมรับว่าเราพูดน้อยก็จริงแต่เราก็เข้าหาคนอยู่น่ะ แต่ช่างเถอะ มันก็เป็นแค่ประสบการณ์นึง :D
0
กำลังโหลด
moody 25 พ.ค. 55 11:28 น. 16
เราก็เคยอยู่ที่นี่มาปีนึงเหมือนกัน คอนเฟริมเลยว่าคนที่นี่พูดตรงจริงๆ ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ เรายังเคยโดนโฮสบ่นว่าพูดน้อย แต่แรกๆมันก็เหมือนยังไม่สนิทอ่ะ เลยไม่รู้จะไปพูดอะไรมากมาย แต่ตอนหลังก้อนะโดนบ่นให้หยุดพูดสัก 3 นาที 555++ อีกเรื่องชอบมากเลยคือ คนที่นี่มีระเบียบมากๆ รถบัส รถไฟ มาตรงเวลาเปะมาก ชอบๆ

ปล.อาหารอร่อยจริงๆ ชีสนี่อือหือ กลับจากโรงเรียนทีไรเราขูดกินเล่นทุกวันอ่ะ นน.ขึ้นมา 12 โลอ่ะ555+
0
กำลังโหลด
ตะIกียJสีทOJ Member 25 พ.ค. 55 18:51 น. 17

เข้าใจแล้วค่ะ ว่าทำไมคุณอังเคิลจากรายการฉันรักเมืองไทยถึงได้ย้ายมาอยู่ประเทศไทย
เขาบอกว่า อยู่บ้านที่ประเทศเขาไม่มีความสุข ด่าใส่กัน เขาไม่ชอบ อยู่ไม่ได้ พูดไปร้องไห้ไป
ส่วนตัวเราไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีบางคนที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ก็มี

คหสต.

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด