นอกจากนี้ในการสมัครชิงทุนการศึกษาหลายๆ ทุน บางทุนอนุโลมให้ยื่นคะแนน TOEIC แทนคะแนน TOEFL หรือ IELTS ได้ด้วย!! หวานหมูขนาดนี้ มีเหรอที่จะไม่เลือกสอบ เพราะนอกจากจะง่ายกว่าและถูกกว่าการสอบ TOEFL และ IELTS เยอะแล้ว หลายคนตัดสินใจสอบเพื่อเป็นการทดลองว่าตัวเองมีความพร้อมในการสอบ TOEFL และ IELTS มากน้อยเพียงใด
เพราะฉะนั้นวันนี้ พี่พิซซ่า จะมาอธิบายให้ฟังว่า TOEIC คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และเคล็ดลับในการทำข้อสอบมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
1. คนได้คะแนนเยอะไม่ค่อยได้ใช้ คนต้องใช้ได้คะแนนไม่ค่อยเยอะ
TOEIC เป็นการวัดระดับภาษาอังกฤษในการทำงาน ดังนั้นคนที่จำเป็นต้องนำไปใช้จริงๆ จึงมักเป็นวัยทำงาน บางบริษัทอาจส่งพนักงานที่ทำงานมานานแล้วให้ไปสอบเพื่อดูว่าเหมาะสมจะได้เลื่อนตำแหน่งไหม ซึ่งประชากรวัยทำงานในปัจจุบันส่วนมากคงไม่สามารถสู้รบกับเด็กรุ่นใหม่ในเรื่องภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นผู้ที่ได้คะแนนสูงส่วนมากจึงเป็นนิสิตนักศึกษาที่อาจมาลองสนาม หรือสอบเก็บไว้เฉยๆ โดยยังไม่คิดจะสมัครงาน บางบริษัทใหญ่ๆ ว่ากันว่าถ้า TOEIC เกิน 800 ได้งานชัวร์ (อันนี้เขาลือกันมาเยอะ แต่จะจริงหรือไม่ไม่รู้ เพราะคนส่วนมากที่สอบได้ขนาดนั้นมักเลือกไปเรียนต่อโทต่างประเทศนานซะจนคะแนนหมดอายุแทน)
2. ขั้นตอนง่าย ๆ ตั้งแต่สมัครจนรับผล
หลายคนบ่นว่ากว่าจะสมัครสอบ TOEFL ทีมันช่างยากแสนยาก ต้องกรอกข้อมูลลงเว็บมากมาย ไหนจะต้องรูดบัตรจ่ายค่าธรรมเนียม ไหนจะต้องหาสนามสอบที่บางที่ก็ไกลแสนไกล ส่วนที่เดินทางสะดวกก็มักจะเต็ม หรือไม่เปิดให้สอบบ่อยๆ ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับ TOEIC แน่นอน น้องๆ เพียงแค่โทรไปที่ 02-260-7061 หรือ 02-259-3990 สำหรับศูนย์สอบกรุงเทพ หรือ 053-248-208 สำหรับศูนย์สอบเชียงใหม่ แล้วแจ้งชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ พร้อมทั้งวันและรอบที่ต้องการสอบ (เช้า-บ่าย) แล้ววางหู ทีนี้ก็รอวันที่ต้องไปสอบ หลักฐานที่ใช้มีเพียงบัตรประชาชนและเงินสด 1,500 บาทเป็นค่าสอบ วันรุ่งขึ้นก็มารับผลได้เลย รวดเร็วกว่าอาจารย์ตรวจการบ้านให้เยอะ
ส่วนสถานที่สอบของศูนย์กรุงเทพนั้น เดินทางสะดวกแม้ไม่มีรถส่วนตัว เดินเพียง 10 นาทีจากบีทีเอสอโศก หรือเอ็มอาร์ทีสุขุมวิท อยู่ข้างตึก GRAMMY เลยค่ะ จะเล็งศิลปินก่อนสอบ หรือสอบแล้วค่อยมาแอบมองก็ได้ (ถ้าพี่ยามอนุญาต)
3. ใส่ความรู้มาให้เต็มสมองแต่อย่าใส่ทองมาในกระเป๋า
ทางศูนย์สอบมีนโยบายห้ามนำอะไรก็ตามเข้าห้องสอบ ดินสอ ปากกา ยางลบมีให้ทุกที่นั่งอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะสามารถนำของมีค่า (หมายถึงเงินและบัตรเท่านั้น ไม่ใช่โทรศัพท์) เข้าไปได้ แต่กระเป๋าสตางค์ของน้องผู้หญิงบางคนมันดูอลังการงานสร้างใหญ่โตและมีซอกหลืบมากมายซึ่งเขาอาจไม่อนุญาตให้น้องนำเข้าไปก็ได้ ส่วนที่วางกระเป๋าและสิ่งของต่างๆ นั้น ก็ไม่ได้เก็บไว้หลังห้องสอบหรือใต้โต๊ะ แต่จะเก็บไว้ที่ชั้นวางของที่สำนักงาน ซึ่งก็คือคนละห้องกับห้องสอบ และไม่ได้มีบัตรฝากกระเป๋าใดๆ ด้วย ถ้าใครกลัวว่าจะมัวแต่นั่งกังวลตอนสอบว่าของที่ฝากไว้อีกห้องจะหายไป ก็ไม่ควรนำของมีค่ามา น้องผู้หญิงก็อาจเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์เป็นใบเล็กๆ ธรรมดาๆ ซักหนึ่งวัน กระเป๋าใส่ของก็เอาแบบธรรมดามาไม่ต้องมียี่ห้อ มือถือก็ซุกในกระเป๋าที่ฝากไว้ให้ดี ซ่อนลึกๆ แต่ทางที่ดีคืออย่าทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพค่ะ
4. มั่วยังไงก็ไม่ศูนย์
สอบบางวิชาแถให้ตายอาจารย์ก็ไม่ยอมให้ค่าน้ำหมึก แต่ที่นี่น้องๆ จะไม่มีทางได้ศูนย์คะแนนแน่นอน ข้อสอบทั้งส่วนการฟังและการอ่านมีส่วนละ 100 ข้อ แต่จะมีช่วงคะแนนอยู่ที่ส่วนละ 5 – 495 คะแนน ฉะนั้นคะแนนสเกลต่ำสุดของการสอบคือ 10 คะแนน และคะแนนเต็มคือ 990 คะแนน นั่นเพราะคะแนนในการสอบไม่ใช่แบบที่ใช้กันในห้องเรียนที่มี 30 ข้อ ทำถูก 19 ข้อ สุดท้ายได้สิบเก้าเต็มสามสิบ แต่ข้อสอบ TOEIC จะให้คะแนนที่ซับซ้อนกว่านั้น ข้อสอบในแต่ละรอบจะไม่ซ้ำกันเลย ทำให้แม้จะพยายามออกข้อสอบโดยคุมความยากง่ายให้คงที่แค่ไหน ก็มีโอกาสที่แต่ละชุดข้อสอบจะยากง่ายไม่เท่ากัน ดังนั้นเมื่อได้คะแนนดิบออกมาแล้ว เจ้าหน้าที่จะใช้ข้อมูลทางสถิติมาช่วยเทียบหาคะแนนสเกลที่ควรได้อีกที ไม่ใช่ว่าเทียบบัญญัติไตรยางศ์เอานะคะ แต่คะแนนสเกลจาก 10 ถึง 990 เนี่ย จะมาจากการนำคะแนนดิบไปเทียบกับข้อมูลทางสถิติของแต่ละรอบที่สอบ ทำให้ข้อสอบแต่ละชุด มีการให้คะแนนสเกลที่ไม่เหมือนกัน เพราะข้อสอบมันยากง่ายไม่เท่ากันนั่นเอง
สมมติว่าน้องชมพู่สอบรอบจันทร์เช้าได้ 985 คะแนน เพราะตอบในส่วนการฟังผิดไปหนึ่งข้อ น้องชมพู่จึงลองสอบอีกครั้งในวันพุธบ่ายแต่กลับได้ 990 คะแนนเต็ม ทั้งที่ตอบผิดไปหนึ่งข้อเหมือนกัน นั่นคือชุดข้อสอบรอบวันจันทร์เช้ากับรอบวันพุธบ่ายเป็นคนละชุดกัน และมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน ดังนั้นแม้คะแนนดิบของน้องชมพู่จะเป็น 199 คะแนนเหมือนกัน แต่เมื่อใช้ตารางเทียบเป็นคะแนนสเกลคนละตารางกันแล้ว ทำให้น้องชมพู่ได้คะแนนสเกลที่ออกมาไม่เท่ากัน (แต่ตารางจริงมันไม่เฉือนกันขนาดนี้นะ แค่ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพ)
ซึ่งการเปลี่ยนคะแนนดิบเป็นคะแนนสเกลของแต่ละชุดข้อสอบจะเป็นความลับ ไม่มีเปิดเผยว่าถูกกี่ข้อคิดเป็นกี่คะแนนสเกล เพราะข้อสอบ TOEIC หลายชุดจะเวียนไปโผล่สอบในหลายประเทศต่างวาระกัน จึงไม่มีการเผยแพร่การคิดเป็นคะแนนสเกลของข้อสอบชุดนั้นๆ ค่ะ
5. สภาพแวดล้อมนั้นสำคัญไฉน
จากข้อ 4. จะเห็นได้ว่าการให้คะแนนเช่นนี้เกิดจากความต้องการให้ผู้เข้าสอบทุกคนอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันอย่างแท้จริง ทำให้เรารู้ว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อการสอบมาก พี่สอบ TOEIC ไปสองครั้ง ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันสุดขั้ว ครั้งแรกมีผู้เข้าสอบประมาณ 20 คน จึงได้ห้องสอบเล็กๆ นั่งกันโต๊ะละคน มีพื้นที่กว้าง แอร์เย็นสบาย เสียงลำโพงก็เปิดพอประมาณแต่ได้ยินชัดทั้งห้อง ส่วนครั้งที่สองมีผู้เข้าสอบเกิน 60 คนได้ ห้องใหญ่ แอร์ไม่ทั่วถึง บางจุดหนาว บางจุดร้อน และเปิดลำโพงดังจนเสียงแตกฟังไม่ชัด และที่แย่ที่สุดคือโต๊ะหนึ่งตัวต่อผู้เข้าสอบสองคน คนข้างๆ พี่เป็นใครก็ไม่รู้ นั่งเขย่าขาตลอดเวลาและเวลาลบก็ชอบถูยางลบแรงๆ จนโต๊ะสั่นทำเอาเสียสมาธิไปเยอะ แต่สุดท้ายคะแนนทั้งสองรอบของพี่ต่างกันแค่ห้าคะแนนเอง แสดงว่าสภาพแวดล้อมนั้นกวนใจคนทั้งห้องในระดับที่พอๆ กันค่ะ
6. เคล็ดลับทำข้อสอบสำหรับคนไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัว
ในส่วนของไวยากรณ์ที่ออกสอบนั้น ก็สามารถออกได้ทุกอย่างที่มีในหนังสือรวมไวยากรณ์ทั่วไป ไม่สามารถแนะนำได้ค่ะ แต่ที่น้องๆ สามารถเตรียมตัวไปได้ก็คือคำศัพท์ และบทความในส่วนการอ่านค่ะ คำศัพท์ที่ออกจะวนอยู่กับข้าวของเครื่องใช้ในสำนักงาน แล้วก็กริยาประเภทขอยืม ส่งซ่อม ประชุม ลาป่วย ไล่ออก ไม่ต้องเตรียมศัพท์หรูๆ ไปให้เปลืองหน่วยความจำสมอง บทความก็จะเป็นพวกป้ายประกาศรับสมัครงาน จัดซื้อจัดจ้าง ประกาศอบรม สัมมนาบุคลากร งานลดแลกแจกแถม งานฉลองผลประกอบการ จดหมายจากผู้บริโภค และอาจมีอีเมล์โต้ตอบทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน นอกจากนี้น้องๆ ก็ควรรู้จักตำแหน่งงานตามโครงสร้างบริษัททั่วไป และชื่อตำแหน่งเต็มของตัวย่อหลายตัวที่เรียกกันจดติดปาก ทั้ง HR, AE และ PR เป็นต้น เอาเป็นว่าปลอมตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสารตามบริษัทนานาชาติเพื่อเก็บข้อมูล หรือลองเข้าเว็บไซต์หางานที่เป็นภาษาอังกฤษแล้วอ่านเรื่อยๆ เมื่อมีเวลาว่าง ก็ได้อะไรกลับมามากเหมือนกันนะคะ
7. มีส่วนลดในการเข้าสอบ ถ้ารู้แหล่ง
บางบริษัทจะเหมารอบสอบและออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด บางบริษัทให้นำไปเบิกได้ และก็มีอีกหลายบริษัทที่ให้เป็นบัตรลดราคารายบุคคลคล้าย Gift Voucher ที่ผู้เข้าสอบสามารถนำมายื่นในวันสอบเพื่อรับส่วนลดได้ทันที ครั้งแรกที่สอบพี่ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก่อนสอบครั้งที่สองที่มหาวิทยาลัยพี่มีกิจกรรม Job Fair ซึ่งหลายบริษัทที่เข้าร่วมก็จัดโปรโมชั่นเช่น กรอกใบสมัครทิ้งไว้เพื่อรับบัตรกำนัลสอบในราคา 750 บาท หรือ 850 บาท แต่ศูนย์สอบจะส่งผลคะแนนให้บริษัทนั้นโดยตรง โดยที่พี่ไม่ต้องยื่นใบสมัครอีกรอบ (เป็นบริษัทที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ)
ส่วนในวันสอบจริงพี่เห็นคุณลุงจากบริษัทสายการบินแห่งหนึ่งเสียค่าสอบเพียง 250 บาท และคุณแม่ลูกหนึ่งที่เสีย 400 บาท (ส่วนคุณลูกจ่ายเต็มจำนวน) แม้น้องๆ อาจไม่ได้ส่วนลดเยอะเท่าพนักงานจริงๆ แต่ก็ยังได้ส่วนลดกว่าครึ่งเพียงแค่กรอกข้อมูลสมัครออนไลน์เฉยๆ
8. ทำยังไงดี สอบใหม่ดันได้คะแนนน้อยกว่าเดิม
ข้อนี้ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เราสามารถยื่นคะแนนของการสอบครั้งใดก็ได้ในการสมัครเรียนหรือสมัครงานได้ เพียงแค่ผลสอบนั้นอายุไม่เกินสองปี เพื่อนพี่คนหนึ่งยื่นผลคะแนนพร้อมกันทั้งสองใบตอนสมัครงาน เพราะรอบแรกเธอได้การฟังเต็ม แต่รอบที่สองเธอได้การอ่านเต็ม คะแนนรวมออกมาเท่ากันเป๊ะทั้งสองรอบ เมื่อตัดสินใจไม่ได้ว่าจะยื่นใบไหน เธอเลยยื่นพร้อมกันซะเลย (แต่สุดท้ายเธอก็ปฏิเสธงาน และบินไปเรียนต่อแทน)
9. ข้อสอบแสนดี มีแนะแนวด้วย
หลังจากเซ็งหรือเป็นปลื้มไปกับคะแนนที่ได้แล้ว น้องๆ อย่าลืมพลิกไปด้านหลังใบคะแนนเพื่อดูคำติชมของระดับคะแนนที่น้องๆ ได้ด้วยนะคะ โดยคำอธิบายจะแบ่งเป็นสองส่วนเหมือนกับข้อสอบเลย เช่นคนที่ได้คะแนนส่วนการฟังเท่านี้ แสดงว่าสื่อสารตัวต่อตัวได้ดีราวกับเจ้าของภาษา แต่ถ้าคะแนนเท่านั้นแสดงว่าพูดคุยเรื่องที่สนใจเก่งมาก แต่ถ้าเป็นหัวข้ออื่นๆ จะไม่ค่อยดี ต้องพยายามอีกนิด หรือคนที่ได้คะแนนส่วนการอ่านเท่านี้ แสดงว่าอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับที่เรียนมาได้ดีมาก แต่จะพลาดเวลาอ่านเรื่องแปลกๆ เป็นต้น เรียกได้ว่าช่วยพัฒนาตนเองด้านภาษาอังกฤษเยอะเลยทีเดียวค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 9 เรื่องน่ารู้ของ TOEIC ที่ พี่พิซซ่า นำมาฝากวันนี้ พี่เชื่อว่าน้องหลายคนทั้งที่อยากทำงานทันทีหลังเรียนจบ และที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็คงอยากจะลองสอบดูสักครั้ง สุดท้ายนี้พี่ก็ขอให้น้องๆ ได้คะแนน 900 up กันทุกคนเลยนะคะ
ส่วนใครอยากอ่านบทความดีๆ เคล็ดลับการไปเรียนต่อนอก อย่าลืมแวะเวียนเข้าไปเจอกันได้ที่คอลัมน์เรียนต่อนอกที่ www.dek-d.com/studyabroad นะคะ
www.ets.org, http://www.frontrunner2020.com/,http://blog.blingborrowers.com/
http://lifeinsurancebyjeff.com/,http://blogs.telegraph.co.uk/
http://www.thewordsworthhotel.co.uk/,http://blog.lib.umn.edu/,http://www.toeic-phil.com/
44 ความคิดเห็น
อายุ14ก็สอบได้ใช่มั้ยคะ??
อยากได้รายละเอียดที่ชัดเจน
ถ้าอยู่ ม.6 แล้วสอบ แล้วจะใช่คะแนนนี้ในการยื่นเข้าศึกษาต่อที่ต่างประเทศได้มั้ยคะ ?
ทำได้ยังไงยังอึ้งอยู่เลย-0-
น้องๆ ม.ปลายน่าลองมากๆ เพราะจะได้พัฒนาตัวเองได้ทันอยู่
คำแนะนำ คือ ระวังทำไม่ทันนะ เจอมาแล้วกับตัว ฮ่าๆ