สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า กลับมาตามคำสัญญาที่ให้น้องๆ ชาว Work & Travel คราวก่อนแล้วค่ะ นั่นคือเหตุผลเหลือเชื่อที่ทำให้โดนไล่ออกจากงาน รับรองว่าแต่ละข้ออ่านแล้วอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตาแน่ๆ ค่ะ เพราะเขามีบรรทัดฐานที่ต่างกับเราสุดๆ ไปเลย
คราวก่อนพี่เน้นไปที่เหตุผลที่เด็กไทยโดนไล่ออกจากงานเวิร์กบ่อยๆ แต่อันที่จริงแล้วเด็กฝรั่งเองก็โดนไล่ออกบ่อยเหมือนกันค่ะ ตอนพี่ไปทำงานครั้งแรกนี่เห็นคนโดนไล่ออกสัปดาห์ละคนเลยแหละ แต่ก็เป็นเหตุผลที่หาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น เช่นเข้างานสาย พี้ยาในช่วงพัก หรือมารยาทแย่ ซึ่งเรื่องพวกนี้น้องๆ ก็สามารถใช้วิจารณญาณตัวเองได้ แต่ก็มีบ้างค่ะที่โดนไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรมด้วยเหตุผลที่ "บ้าป่ะเนี่ย" ลองดูเป็นกรณีศึกษานะคะ จะได้ระมัดระวังไม่โดนแบบพนักงานหลายต่อหลายคนดังนี้ค่ะ
1. ใจดีเกินไป
กรณีนี้เป็นของอดีตพนักงานร้านแมคโดนัลด์แห่งหนึ่งค่ะ เพื่อนร่วมงานตำแหน่งอื่นมาขอซื้อแฮมเบอร์เกอร์ในช่วงพัก แต่สาวคนนี้ใจดีให้ชีสเบอร์เกอร์ไซส์ใหญ่ไปในราคาของแฮมเบอร์เกอร์ธรรมดา ผู้จัดการสาขาจึงไล่เธอออก
น้องๆ คงรู้สึกว่า "แค่เนี้ย?" ใช่มั้ยคะ พนักงานรายนี้ก็เช่นกันค่ะ เธอรู้สึกว่าแค่ปรับเป็นเงินส่วนต่างก็พอแล้วมั้ย เธอจึงฟ้องศาลซะเลย สุดท้ายศาลตัดสินว่าแมคโดนัลด์ทำเกินกว่าเหตุ และต้องจ่ายค่าจ้างให้เธอสำหรับ 5 เดือนที่ยังเหลืออยู่ในสัญญาจ้างงาน รวมไปถึงค่าดำเนินการทางกฎหมาย ค่าเสียเวลา ค่าเดินทาง และค่าจ้างทนายแก้ต่างทั้งหมดเลยด้วย ในข่าวไม่ได้บอกไว้แต่คาดว่าคนต่อไปที่น่าจะโดนไล่ออกคือผู้จัดการสาขาคนนั้นแหละ ข้อหาทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่จนบริษัทต้องเสียเงินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
2. โรคร้ายรุมเร้า
เรื่องนี้เกิดกับพนักงานที่ทำงานให้ Home Depot มานานกว่า 13 ปีค่ะ เมื่อเธอพบว่าตัวเองมีเนื้องอกที่สงสัยว่าจะกลายเป็นมะเร็ง เธอจึงแจ้งที่ทำงานว่าขอลาเพิ่มอีกสองสามวันได้ไหมเพราะคุณหมอจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมให้แน่ใจว่ามันจะไม่กลายเป็นมะเร็ง
แต่คำตอบที่เธอได้รับคือ "อย่าลาป่วยเลย ลาออกไปเลยเถอะ" โดยให้เหตุผลว่ายอดขายกำลังตกต่ำพอดีและก็ว่าจะให้เธอออกอยู่แล้ว แต่เมื่อศาลสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมให้ทั้งบริษัทเข้าคอร์สอบรมเลิกการแบ่งชนชั้นในที่ทำงาน บริษัทแม่จึงออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าพนักงานคนนี้ป่วยออดๆ แอดๆ มาหลายปีแล้ว นอกจากจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงแล้ว บางทียังกระทบกับเพื่อนร่วมงานด้วยเพราะต้องมีคนพาเธอไปพัก ทำให้เสียแรงงานเพิ่มขึ้นอีก
ซึ่งไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไงนั้น ตามกฎหมายแล้วแม้พนักงานจะป่วย บริษัทก็ไม่มีสิทธิไล่ออกจากงานเพื่อลดภาระ โดยเฉพาะอาการป่วยที่เกิดจากการทำงานนั้นมานาน แต่เพื่อความยุติธรรมทั้งฝ่ายพนักงานและบริษัท จึงควรกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้พนักงานคนนั้นน้อยลง มีการขึ้นเงินเดือนที่ช้ากว่าคนอื่นเพื่อชดเชยเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน หรือควรอนุญาตให้ลาป่วยต่อเนื่องได้มากสุด 50 วันโดยไม่หักเงินเดือน ซึ่งดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการตัดหางปล่อยวัดไปเลย ช่วยๆ กันไว้ดีกว่าค่ะ
3. อดีตตามมาหลอน
ชายวัยใกล้เกษียณคนหนึ่งทำงานเป็นพนักงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่ธนาคาร Wells Fargo มาด้วยดีตลอด 7 ปี จนกระทั่งมีผู้พบหลักฐานว่าเขาเคยเป็นเด็กวัยรุ่นเกรียนๆ ที่จงใจตัดกระดาษลังเป็นวงกลมขนาดเท่าเหรียญ 10 สตางค์ แล้วนำมาหยอดตู้เครื่องซักผ้าอัตโนมัติของเมืองเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนนั้นเขาถูกตำรวจจับ ถูกบันทึกลงประวัติเยาวชน และต้องไปทำงานให้สังคมเป็นการชดใช้เรียบร้อยแล้ว แต่บทลงโทษที่เขาได้รับจาก Wells Fargo คือการไล่ออกทันที
เขากล่าวว่าตอนที่เริ่มโตขึ้นมาอีกนิดเขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ทำไปวันนั้นมันเป็นเรื่องโง่เง่า แค่ความคึกคะนองของวัยรุ่นที่คิดว่าการโกงเครื่องซักผ้าเป็นเรื่องที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย แต่เขาก็สำนึกแล้ว และชดใช้ความผิดไปหมดแล้ว แต่จะเอาเรื่อง 50 ปีก่อนมาใช้ไล่เขาออกโดยไม่ดูผลงานตลอด 7 ปีที่ผ่านมาเลยเนี่ยนะ!!!
ส่วนทางธนาคารเองก็แถลงว่านโยบายบริษัทคือไม่รับผู้ที่มีประวัติอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการลักขโมยเข้าทำงาน เพราะเกรงว่าจะมาขโมยเงินในธนาคาร แม้เรื่องนี้จะไม่มีบันทึกไว้ในประวัติของเขาหลังบรรลุนิติภาวะ แต่เมื่อรู้แล้วจะให้ทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็ไม่ได้ จึงต้องปฏิบัติตามกฎให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับคนก่อนๆ ที่ถูกไล่ออกเมื่อพบประวัติอาชญากรรมในวัยผู้ใหญ่
4. ตะโกนด่าผ่านอีเมล
เรื่องนี้เกิดกับอดีตพนักงานออฟฟิศรายหนึ่งในนิวซีแลนด์ค่ะ หลายคนอาจจะงงว่าพิมพ์อีเมลจะตะโกนด่าได้ยังไง ไม่ได้อัพลง YouTube ซะหน่อย แต่ในภาษาอังกฤษถือว่าการพิมพ์เป็นตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดคือการตะโกนค่ะ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แค่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งอีเมล แต่เธอยังมีทั้งตัวหนา มีหลายไซส์ และมีทั้งสีแดงสีน้ำเงิน หลังจากส่งอีเมลแจ้งข่าวให้ทั้งออฟฟิศแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันไปแทงใจดำเพื่อนร่วมงานยังไงจนมีคนร้องไห้ไปฟ้องเจ้านายว่าอีเมลของเธอนั้นก่อให้เกิดความไม่สงบทางจิตใจในการทำงาน เพราะเหมือนกำลังโดนด่ากระแทกหน้าจนแก้วหูแตกไปเรียบร้อยแล้ว เจ้านายจึงไล่เธอออกจากงาน
แต่หลังต่อสู้กันในชั้นศาลอีกหลายครั้ง ผู้หญิงคนนี้ก็ได้เงินชดเชยจากอดีตนายจ้างเป็นจำนวน 17,000 เหรียญนิวซีแลนด์ ซึ่งเทียบเท่ากับเงินเดือนเก่าของเธอตามจำนวนเดือนที่เธอยังหางานใหม่ไม่ได้
5. โดนไล่ออกจากบริษัทของตัวเอง
อันนี้เด็ดสุดเลยค่ะ เพราะคนที่โดนเป็นถึง CEO ของบริษัท แต่กลับโดนบอร์ดผู้บริหารรวมหัวกันไล่เธอออก ยิ่งกว่าในละครหลังข่าวอีกค่ะเรื่องนี้
คุณ Kathleen Mason เป็นผู้บริหารบริษัทของตกแต่งบ้านแห่งหนึ่งมากว่า 10 ปี ก่อนที่คณะกรรมการบริษัทหรือบอร์ดผู้บริหาร จะคว้าโอกาสที่เธอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม ไล่เธอออกจากตำแหน่ง CEO ซะเลย พวกผู้ถือหุ้นบอกว่าเพราะเธอป่วยเป็นโรคร้ายเธอจึงทำงานได้ไม่เต็มที่ ไม่เกิดประโยชน์กับบริษัท ฉะนั้นก็ควรปลดเธอจากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดซะ
แต่เมื่อเธอฟ้องศาลเรื่องนี้ ทางบริษัทก็ออกมาขอตกลงเจรจาโดยจะให้เธอดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของบริษัทต่อไปอีก 10 ปี ซึ่งทนายของเธอก็แย้งว่าตกลงที่ไล่เธอออกแต่แรกเพราะป่วยจนทำงานไม่ได้นี่คงเป็นข้ออ้างสินะ เพราะถ้าป่วยจนทำงานไม่ได้จะให้มาเป็นที่ปรึกษาอีกทำไมกัน ตอนนี้คดีนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปค่ะ ยังฟ้องกันไปกันมาอยู่ แต่ถึงเธอจะป่วยจนทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะต้องคอยไปทำเคมีบำบัด แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะไล่คนออกได้
จากทั้ง 5 เรื่องนี้ น้องๆ จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เจ้าตัวแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เรื่องแรกบ้านเราอาจจะเห็นว่าหยวนๆ เอาก็ได้ เพราะยังไงถ้าอาหารเหลือสุดท้ายก็ต้องเอาไปทิ้งอยู่ดี แต่กฎที่นั่นเป๊ะมาก ห้ามคือห้ามเด็ดขาดค่ะ ส่วนเรื่องที่ 3 และ 4 นั้นชี้ให้เห็นว่าก่อนจะทำอะไรก็ตามต้องคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะอะไรที่เราทำไปแล้วมันสามารถย้อนกลับมาเล่นงานเราเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ
ส่วนเรื่องที่ 2 กับเรื่องสุดท้ายนั้น พูดยากค่ะ เพราะคนจะป่วยมันก็ห้ามกันไม่ได้ แต่ก็เข้าใจเรื่องผลประโยชน์สำหรับบริษัทเช่นกัน ว่าถ้าเขาจ้างใครมาทำงานให้ก็หวังว่าคนนั้นจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพคุ้มกับค่าจ้างที่มอบให้ ฉะนั้นน้องๆ ไปในที่ที่สภาพอากาศต่างออกไปก็รักษาตัวดีๆ นะคะ ดูแลตัวเองดีๆ อย่าหักโหมจนบาดเจ็บด้วยล่ะ ไม่งั้นจะโดนเด้ง หรืออาจโดนลดชั่วโมงงานก็ได้ ไม่คุ้มกันแน่ๆ ค่ะ พยายามอย่าประมาทเลยในทุกๆ เรื่องจะดีมากค่ะ
ข้อมูลและภาพประกอบ
www.bizjournals.com, www.huffingtonpost.com
blog.teris.com, reason.com, www.sfgate.com
www.foxnews.com, www.telegraph.co.uk
anitalucius.blogspot.com
16 ความคิดเห็น
มันน้ำเน่ามากกกกกกกกกกกกกกกกก เรื่องที่ป่วยนี่
เอ่ออ ... บางสาเหตุก็ติงต๊องเกินไป ==
ใจดีเกินไป
เอ่อ เรื่องเมื่อ 50 ปีก่อนเนี่ยน่ะ
มันเป็นเหตุที่ทำเอา งง สุดๆ
หลายๆเหตุผลนี่ ยากเกินจะรับได้จริงๆครับ
ไร้เหตุผลสุดๆ
เรื่องสุดท้ายนี่เหมือนกับสตีฟ จ็อบ เลยนะเนี่ย แต่พอจ็อบออกก็แอบสมน้ำหน้าพวกCEOเหมือนกัน หุ้นร่วงกราวเลย 5555555
ท่าจะ.............
บางทีมันเป็นความคิดที่ตื้นเขินเกินไป เรื่องเล็กๆ แค่นี้ถึงกับไล่ออก มีการศึกษากันขนาดนี้ แล้วคิดำได้แค่นี้ อีกหน่อยบริษัทคงล่มจมแน่ และสุดท้ายคนที่ไล่ออกนั่นแหละที่ซวยที่สุด
ป่วยเป็นมะเร็งแล้วโดนไล่ออกจากงานนี่ไร้สาระนะ
ใครมันจะกำหนดให้ตัวเองไม่เป็นมะเร็งได้
โรคนี้มันก็ไม่มีใครอยากเป็นทั้งนั้น แต่บางคนก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ
โอเคกุผิด (ตรงหน่ายยยย ย ย)
ใจดีเกินไปแล้วโดนไล่ออก =[]=
ตอนนี้ถูกบีบ ลดปริมาณงานลง เหลือ1 ใน 10 เงินเดือนเท่าเดิม เกือบแสน แต่ไม่ได้โบนัสกับเขา มันดีหรือไม่ดี ยังสับสนอยู่เลย