สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคย ช่วงนี้โครงการแลกเปลี่ยนทยอยเปิดรับสมัครเยอะมากกกกก ใครอยากรู้ว่ามีโครงการไหนเปิดรับสมัครบ้าง ก็สามารถเข้าไปค้นหาได้ที่โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอกเลยค่ะ คลิกที่นี่
วันนี้ก็มีประสบการณ์สนุกๆ จากรุ่นพี่โครงการ AFS บอกเลยว่าอ่านแล้วต้องอิจฉามากกกกกกกก จาก "ฮังการี" จ้า
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D เราชื่อ “มัดหมี่” เรียนอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นปี 4 ค่ะ ตอนนี้กำลังมาแลกเปลี่ยน 1 ปีที่เกียวโตของทุนวิรัชกิจค่ะ แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเราจะมาเล่าเรื่องประสบการณ์ในญี่ปุ่นนะ... คอลัมน์นี้เป็นเรื่องราวของเราตอนไปแลกเปลี่ยน AFS ที่ "ฮังการี" ตอนม.4 ช่วงปี 2008-2009 ต่างหากค่ะ :D
เราสนใจไปเรียนแลกเปลี่ยนตั้งแต่ ม.3 แล้วค่ะ ตอนนั้นปีเกิดอยู่ในช่วงอายุที่น้อยที่สุดที่ไปได้พอดี ประเทศที่ให้เลือกไปได้ในเขตตอนนั้นมีแค่อเมริกาค่ะ ทางโครงการให้รุ่นพี่ไปก่อน เราติดตัวสำรองเลยต้องรอรายชื่อประเทศหลังจากสอบสัมภาษณ์อีกที ซึ่งปรากฏว่ามีทางเลือกน่าสนใจมากมายค่ะ มีจีน รัสเซีย ลัตเวีย ฮังการี กับคอสตาริก้า
ในตอนนั้นเราตัดสินใจได้เลยว่าจะไปฮังการี ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักประเทศนี้มากไปกว่ามีเมืองหลวงชื่อบูดาเปสต์กับพริกปาปริก้าอร่อย คือว่าชื่อมันถูกชะตาค่ะ ดูเป็นประเทศใจดีน่ารักอบอุ่นในยุโรป 555 และหลังจากไปอยู่มา 1 ปี คิดไม่ผิดจริง เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง เผื่อมีน้องๆ สนใจอยากไปแลกเปลี่ยนที่ฮังการีบ้างหรือใครอยากไปเที่ยวจะได้มีข้อมูลที่มีประโยชน์ค่ะ |
ฮังการีตั้งอยู่ในยุโรปกลาง ไม่มีชายแดนติดกับทะเลค่ะ เป็นประเทศเล็กๆ มีประชากรแค่ 10 ล้านคน เทียบแล้วมีคนเท่าๆ กับกรุงเทพฯ ของเราแค่จังหวัดเดียวเอง แต่ถึงอย่างนั้นชาวฮังกาเรียนก็มีภาษาของตัวเองค่ะ เรียกภาษานั้นว่า Magyarul และเรียกประเทศตัวเองว่า Magyarország ซึ่งแปลว่า ”ประเทศของชาวม็อดยอร์”
สิ่งแรกที่เรารู้เกี่ยวกับฮังการีคือเมืองหลวงชื่อ "บูดาเปสต์" บูดาเปสต์ประกอบด้วย 2 ฝั่งคือ ฝั่งบูดา กับ เปสต์ คั่นกลางด้วยแม่น้ำดานูบ วิวสองข้างทางเรียงรายด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ยังคงรักษาไว้นับร้อยปี มุมบังคับคือ Budapest Parliament building รัฐสภาสไตล์นีโอโกธิคที่สวยที่สุดในโลก
จากประสบการณ์ที่เราได้ไปสัมผัสมา คนฮังการีมีความภูมิใจในประเทศตัวเองสูงมาก เด็กแทบทุกคนรู้จักประวัติศาสตร์ของประเทศตนเองเป็นอย่างดี ซึ่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของฮังการีนั้นค่อนข้างน่าเศร้า ดินแดนฮังการีเคยกว้างใหญ่กว่านี้มากแต่เนื่องจากเคยแพ้สงคราม ตกเป็นเมืองขึ้น และถูกแย่งดินแดนไป ทำให้เค้ารักและหวงแหนประเทศที่เหลืออยู่ทุกวันนี้มาก ....เราจำได้ว่าพอไปถึงวันแรกๆ มีเพื่อนฮังการีรุ่นเดียวกันเล่าประวัติศาสตร์ประเทศตัวเองให้ฟังอย่างตื่นเต้น ราวกับเล่าหนังที่เพิ่งดูมาแบบนั้นเลย ที่สำคัญคือพอถึงวันชาติ ที่โรงเรียนจะมีการทำพิธี ทุกคนออกมายืนเข้าแถว รำลึกถึงประวัติศาสตร์และฟังเพลงชาติซึ่งจะเปิดเพียงแค่ปีละ 2 ครั้งเท่านั้น หลายคนสะอื้นไห้น้ำตาซึมขณะเข้าร่วมพิธีไปด้วย
เมืองที่เราไปอยู่ชื่อ Makó เป็นเมืองเล็กๆ เกือบตอนใต้สุดของฮังการี มีคนอยู่ 2 หมื่นกว่าคนเท่านั้นเอง เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องหัวหอมและกระเทียม เพราะมีการเพาะปลูกเยอะมาก ที่สำคัญคือ สิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรม รูปปั้นของตกแต่งต่างๆ นานาในเมือง ล้วนมีธีมเดียวกันคือ "หัวหอม" คือพร้อมใจกันออกแบบมาก จนชาวบ้านบางคนเอาไปล้อเลียนกันเป็นโจ๊กประจำเมือง ซึ่งเราก็ว่าน่ารักดีนี่นา 5555
มาเล่าเรื่องโฮสท์แฟมิลี่บ้าง โฮสท์เราเป็นครอบครัว 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว(อายุเท่าเรา) และน้องชาย(7 ขวบเมื่อ 5 ปีที่แล้ว) ตั้งแต่วันแรกเค้าก็รับเราเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งจริงๆ ปฏิบัติกับเราเท่าเทียมกับลูกทุกคน (บางทียังใจดีกับเรากว่าด้วยซ้ำ แหะๆ) |
พี่สาวสละห้องนอนตัวเองให้เรา ซึ่งเป็นห้องนอนใหญ่ มีคอมพิวเตอร์ซึ่งมีแค่เครื่องเดียวในบ้านให้เราใช้ ส่วนตัวเองย้ายไปนอนห้องเล็กแทน ส่วนน้องชายซนมากกกกกก วันๆ จ้อไม่หยุด นิ่งเป็นหลับขยับเป็นลิง เราเข้าใจเลยว่าทำไมเค้าถึงอยากได้เด็กมาอยู่ด้วยเพิ่ม...เพราะให้ไปช่วยเล่นกับน้องนี่เอง (ล้อเล่นนะ 55555) แต่ให้อภัยเพราะน้องหน้าตาดี ผมทองตาฟ้า ฉายแววหล่อมาแต่ไกล จำได้ว่าไปถึงวันแรก เราพูดภาษาฮังการีไม่ได้ซักกะนิด มันเข้ามาหาเราที่ห้องแล้วพูดอะไรก็ไม่รู้ เอานิทานมาเล่าให้ฟัง คือประทับใจในความกล้าแสดงออกมาก แต่พี่ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ... เขินจัง 555
คุณพ่อเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาหนึ่งใน Szeged เป็นเมืองติดกัน ฐานะการเงินในบ้านจึงค่อนข้างดี มีบ้าน 2 หลัง คือหลังที่อยู่ใน Makó กับบ้านพักตากอากาศบนยอดเขาใน Somoskő ที่นี่เราชอบมาก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นซากปราสาทโบราณ วิวสวยราวเทพนิยาย เราไปที่นี่กันในวันหยุด เดือนละครั้งสองครั้ง ไปทีก็ไปเดินชมป่าเขา ดื่มด่ำธรรมชาติสวยงาม พักฟื้นคืนชีพพร้อมกลับมาทำงานกันต่อ สุขภาพจิตแข็งแรง
โฮสท์พ่อเป็นคนใจดี ใจเย็น ส่วนโฮสท์แม่เป็นคนเข้มงวดกว่าและควบคุมระเบียบในบ้าน ปากร้ายใจดี ทำอาหารอร่อยและชอบบังคับให้เรากินเยอะๆ จนสุดท้ายเราอ้วนขึ้น 6 กิโล (นับว่าน้อยแล้วเพราะรุ่นเรามีคน อ้วนขึ้น 20 กิโล 555) อาหารฮังกาเรียนนับว่าถูกปากคนไทยทีเดียวเพราะมีรสกลมกล่อม ไม่ค่อยเลี่ยน กินกระเทียมเก่ง กินผักเยอะเหมือนบ้านเรา และคนฮังการีที่ชอบกินเผ็ดมักจะกินพริกปาปริก้าแกล้มได้เกือบทุกเมนู (แม้ว่าจะเผ็ดสู้พริกขี้หนูบ้านเราไม่ได้เลยก็ตาม 555)
ส่วนอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ในแต่ละมื้อคือขนมปังกับมันฝรั่ง ข้าวก็มีเหมือนกันแต่ว่าหุงคนละวิธีกับเมืองไทยและมักปรุงรสด้วยเกลือ คนที่นี่เน้นทานหนักจัดเต็มกันในมื้อเย็น เพราะถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ทุกคนในครอบครัวจะอยู่กันพร้อมหน้าและเล่าเรื่องราวในแต่ละวันให้ฟังกัน และมีธรรมเนียมดื่มไวน์แกล้มอาหาร เค้าเชื่อว่าไวน์จะช่วยย่อยอาหารและดีต่อสุขภาพหากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
อาหารฮังกาเรียนที่เราชอบมากคือซุปผลไม้ เค้าจะเอาพวกเบอร์รี่ชนิดต่างๆ ที่ปลูกเองหรือขึ้นริมรั้วแถวนั้นมาต้มในซุป กินคู่กับวิปครีม มักทำกินกันในหน้าร้อน คนที่นี่นิยมอบขนมกินกันเอง ไม่ค่อยซื้อกิน เราก็เลยได้มีโอกาสทำขนมกินกับโฮสท์บ่อยมาก ถือเป็นอีกกิจกรรมสนุกๆ อย่างหนึ่งในวันหยุด |
สำหรับเรื่องโรงเรียน โรงเรียนที่ได้ไปเรียนเปิดเทอม 1 ต้นเดือนสิงหาคม และมีวันหยุดยาวทุกๆ ช่วงต่อของฤดู นั่นคือแต่ละปีการศึกษามีการหยุด 4 ครั้ง เด็กๆ เริ่มเข้าเกรด 1 ตอนอายุ 6-7 ขวบ เรียนจนถึงเกรด 12 ซึ่งเท่ากับ ม.6 บ้านเรา จากนั้นจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันไป ตอนที่เราไปเรียนคือเกรด 10 (ม.4) ตอนอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับเด็กไทยที่ไปแลกเปลี่ยนประเทศอื่นๆ เรารู้สึกว่าเราเทพเลขมาก โดยเฉพาะการท่องสูตรคูณและแยกตัวประกอบแบบบรรทัดเดียวจบ เพราะเด็กที่โน่นใช้เครื่องคิดเลขตอนสอบได้จึงไม่จำเป็นต้องท่องสูตรคูณ
และเพราะเราไม่สามารถเข้าใจภาษาฮังกาเรียนในห้องเรียน เราเลยได้แต่เข้าไปนั่งเนียนๆ ขีดๆ เขียนๆ และมีส่วนร่วมบ้างตามวาระ แต่ก็ไม่ค่อยเบื่อเท่าไหร่เพราะที่นี่เรียนแค่แปดโมงถึงบ่ายสอง หลังจากนั้นใครอยากจะไปเข้าชมรม เล่นกีฬา ทำกิจกรรมที่ชอบหรือกลับบ้านก็ได้ตามใจ อย่างในกลุ่มเพื่อนเรา เย็นวันศุกร์จะมีธรรมเนียมปาร์ตี้ที่บ้าน เวียนกันในกลุ่มว่าอาทิตย์นี้คิวใครเป็นเจ้าภาพ จะมีการเปิดหนังดูกันบ้าง เล่นไพ่โป๊กเกอร์บ้าง ทำกับข้าวกันบ้างหรือออกไปเที่ยวข้างนอกกันแล้วแต่อาทิตย์ เด็กๆ ที่นี่มีชีวิตผ่อนคลาย ไม่ค่อยแข่งขันกันในเรื่องการเรียน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น
ภาษาเป็นอุปสรรคสำคัญในชีวิตของเด็กแลกเปลี่ยนที่นั่น แม้ว่าคนฮังการีจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้างโดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ แต่ภาษาท้องถิ่นก็มีความจำเป็นมากๆ ในการเอาตัวรอด เราเริ่มไปแบบ 0 คือไม่รู้อะไรเลย ใช้ภาษาอังกฤษกับภาษามือสื่อสารกับเค้า จนอยู่ไป 1 ปี เราพูดได้เกือบจะเหมือนคนท้องถิ่น(ชาวบ้านพูดเหน่อเรายังรับเหน่อมาเต็มๆ) ที่ต้องมีระหว่างนั้นคือความขยันและความพยายามที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา และอย่าอายที่จะพูด ฮังกาเรียนเป็นภาษาที่ยากมากกกภาษาหนึ่ง แต่ยังดีที่การเขียนอ่านไม่ยากเพราะใช้อักษรโรมันแบบภาษาอังกฤษ อย่างโฮสท์แม่กับน้องชายเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็เลย ซึ่งนั่นก็ช่วยบังคับให้เราพูดได้มากทีเดียว ภายใน 3 เดือนเราเริ่มฟังรู้เรื่อง ใน 5 เดือนก็เริ่มโต้ตอบได้แล้ว เราจะบังคับตัวเองไม่ให้พูดภาษาอังกฤษแต่พูดภาษาฮังการีแทนตั้งแต่นั้น
สำหรับคนฮังการีในความเห็นเรา เราว่าเค้ามีนิสัยแบบชาวตะวันตกผสมกับเอเชีย คือเป็นคนเปิดเผย กล้าคิด กล้าออกความเห็น ในขณะเดียวกันก็เป็นคนอ่อนน้อม เป็นกันเอง ต้อนรับเอเชียคนเดียวในเมืองอย่างเราอย่างเป็นมิตร ที่สำคัญคือเค้ารักครอบครัวมาก แทบทุกบ้านจะใกล้ชิดกับปู่ย่าตายาย ไปมาหาสู่กันไม่ขาด (อาจเป็นเพราะเราอยู่ในสังคมชนบทด้วย) ที่น่าสังเกตคือตอนเป็นหวัด คนฮังการีจะไม่สูดน้ำมูกกลับเข้าไปเด็ดขาด เค้านับว่าเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ ตอนเราทำยังโดนโฮสท์แม่ว่าเลย 5555 เค้าจะต้องพกทิชชู่ตลอดเวลา หรือบางคนจะพกผ้าเช็ดหน้าเน่าเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงเพื่อเช็ดขี้มูกอย่างเดียวเลยค่ะ 5555 เป็นแค่เฉพาะคนฮังการีอย่างเดียวด้วยนะคะ คนยุโรปประเทศอื่นเค้าไม่มีเทรนด์นี้กันอะ!
|
ถ้าไปเที่ยวในเมืองใหญ่ จะมีระบบรถรางหรือ Tram คอยวิ่งตามเส้นทางเหมือนรถเมล์ค่ะ เป็นอะไรที่สะดวกมาก แต่ราคาตั๋วก็ค่อนข้างแพง ถ้าใครต้องขึ้นเป็นประจำก็จะมีตั๋วเดือนให้ซื้อซึ่งราคาจะถูกกว่ากันมาก แต่ถ้าเราไม่มีตั๋วเดือนก็จะต้องซื้อตั๋วใหม่ทุกครั้งที่ขึ้นค่ะ เจ้าหน้าจะมาสุ่มตรวจเป็นบางครั้ง ซึ่งถ้าเค้าจับได้ว่าแอบขึ้นฟรีก็จะโดนโทษปรับหนักชนิดที่ว่าเข็ดแน่นอน
เราเองก็เคยมีวีรกรรมดังกล่าวค่ะ ตอนนั้นมากับกลุ่มเด็กไทย เพื่อน 2 คนไม่มีตั๋ว พอเห็นคนตรวจตั๋วมาแต่ไกลก็รีบลงสถานีถัดไปทันที แต่ว่าเค้ารู้ทันค่ะ ลงตามพวกเรามา เราวิ่งหนีเค้าก็วิ่งตาม ระทึกมากตอนนั้น สุดท้ายก็ยอมจ่ายแต่โดยดี ซีดเลย อยู่บ้านเค้าต้องเคารพกฎเกณฑ์เค้าแล้วชีวีจะมีสุขนะคะ 555 นอกจากนี้ก็ยังมีด้านที่ต้องระวังด้วยคือ "ชาวยิปซี" ซึ่งเป็นกลุ่มคนเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบยุโรป เค้าอ้างว่าเค้าเป็นเจ้าของดินแดนนี้มาก่อนและรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ไล่พวกเค้าออกไป คนกลุ่มนี้มักไม่ทำงาน ชอบลักเล็กขโมยน้อย แต่พวกเค้าก็มีศิลปวัฒนธรรมของตัวเองมาเป็นเวลานาน แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรไปมีปัญหาด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะพวกเค้ายังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในสังคม ถ้ามีเรื่องกับคนยิปซี จะไม่คอยมีใครอยากมาช่วยเรา เราเคยเจอนะ แบบว่าปั่นจักรยานอยู่ดีๆ มีเด็กยิปซีปั่นมาตัดหน้า แล้วพูดภาษาจีนมั่วๆ ใส่ เราตกใจมากรีบปั่นหนี ตอนนั้นอยู่คนเดียวด้วย แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น |
โฮสท์บอกเราว่า ถ้าอยากมาสัมผัสความเป็นฮังกาเรียนที่แท้จริง ต้องมาอยู่ในสังคมชนบท เพราะชีวิตแบบฮังกาเรียนคือชีวิตที่เรียบง่าย ติดดิน มีน้ำใจ และภูมิใจในความเป็นตัวเอง ฮังการีเป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมที่มีประวัติยาวนานและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หนึ่งปีที่เราไปอยู่นี้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะมาก รู้สึกเหมือนเป็นฟองน้ำที่ดูดซับอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ 555 เราได้เห็น ได้สัมผัส และได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในอีกมุมหนึ่งของโลกที่เราเคยคิดว่ามันไกลตัวมาก เราโชคดีมากที่ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ต้อนรับเราอย่างอบอุ่นและยังคงติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต สำหรับใครที่อยากไปแลกเปลี่ยนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นที่ฮังการีหรือประเทศอื่นๆ ก็ตาม เราขอแนะนำเลยค่ะ มันเปลี่ยนชีวิตจริงๆ เทียบไม่ได้เลยกับเวลาที่เสียไป เพราะยังมีอีกหลายที่ในโลกกว้างรอให้เราเข้าไปสัมผัส ขอให้โชคดีค่ะ :D
โอ้โห อ่านแล้วอิจฉาน้องมัดหมี่มาก ชีวิตดีจริงๆ เมืองก็สวยน่ารัก น่าอยู่มากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นใครอยากมีประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ ก็อย่าลืมสมัครโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนนะคะ ตอนนี้เปิดรับสมัครหลายโครงการทีเดียว.... ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกดีๆ อยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ อ่านแบบนี้ ก็เขียนส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com เดี๋ยวนำมาลงให้แน่นอนจ้า
26 ความคิดเห็น
เห็นเเบบนี้เเล้วอยากไปฮังการีจัง
อยากไป
อยากไปจัง!! // อยากไปทุกประเทศ
สุดยอดอะได้อะไรหลายอย่างจริงๆๆ
เมืองเล็กๆแต่น่าอยู่