สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com น้องๆ เคยได้ยินความเชื่อโบราณอะไรมาบ้างคะ ที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เช่นสมัยก่อนเชื่อกันว่าโลกแบน แต่ตอนนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าโลกเรากลมแบบแป้นๆ ต่างหาก วันนี้ พี่พิซซ่า จะพาน้องๆ ย้อนไปดูความคิดความเชื่อของสมัยก่อนที่จริงๆ แล้วเป็นอันตรายมากๆ เลยค่ะ
1. การเจาะเลือดเสียทิ้ง
ในสมัยที่มนุษย์เราเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เกิดจากวิญญาณชั่วร้าย การรักษาโดยวิธีเจาะเอาเลือดบางส่วนออกเพื่อไล่วิญญาณชั่วร้ายออกจากร่างไป การรักษาแบบนี้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ และสืบทอดต่อมาทั้งทางกรีกและโรมันจนมาถึงต้นศษวรรษที่ 19 เลยค่ะ แม้ช่วงหลังๆ จะไม่ได้เชื่อกันแล้วว่าโรคเกิดจากวิญญาณร้าย แต่ก็ยังเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากการที่เลือดหรือของเหลวอื่นๆ ในร่างกายไม่สมดุลกัน จึงต้องเจาะเพื่อเอาของเลือดออกมาส่วน ข้างในจะได้บาลานซ์กันมากขึ้น แต่เมื่อวิทยาศาสตร์และการค้นคว้าเกี่ยวกับโรคต่างๆ พัฒนาแล้วก็ทำให้รู้ว่าการเอาเลือดทิ้งไม่ได้ช่วยให้หายปวดหัว ปวดหลัง ปวดข้อ มีไข้ หรือว่าเป็นปอดบวมเลย
2. น้ำดื่มผสมกัมมันตรังสี
ยุคนี้มีเครื่องสำอางผสมสารแปลกๆ เยอะมากยังไง สมัยก่อนก็ไม่แพ้กันค่ะ ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ตอนนั้นกระแสกัมมันตรังสีบูมมาก หลายคนเชื่อว่าวัตถุที่ปล่อยรังสีได้มีประโยชน์ต่อร่างกายสุดๆ ของใช้หลายอย่างต้องโฆษณาว่าทำจากกัมมันตรังสีถึงจะขายดีเช่น จี้จากเรเดี้ยมเพื่อรักษาโรคไขข้ออักเสบ ผ้าห่มผสมสารสกัดจากยูเรเนี่ยมเพื่อรักษาปัญหาปวดข้อ เครื่องสำอางผสมสารกัมมันตรังสีที่จะทำให้ดูผิวดูอ่อนกว่าวัยก็ออกมาหลายแบบหลายยี่ห้อมาก ไปจนถึงน้ำดื่มผสมกัมมันตรังสีที่รักษาได้ทุกโรค
เจ้าน้ำดื่มนี้มีที่มาจากการค้นพบว่ามีสารกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งในยุคนั้น คนเลยพากันเชื่อว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อนที่ดีต้องปล่อยรังสีได้ค่ะ ก็เลยขายน้ำแร่ธรรมชาติผสมกัมมันตรังสีกันใหญ่ คนดังของอเมริกายุคนั้นก็โม้ว่าดื่มน้ำนี้วันละ 2-3 ขวดแล้วสุขภาพดีขึ้นมากหายจากโรคภัยไข้เจ็บ (ถ้าเป็นยุคนี้ก็คงเป็นอัพภาพถือขวดลงไอจี) แต่ในที่สุดคนดังเหล่านั้นก็ป่วยหนักกว่าเดิมจนเสียชีวิตแบบผิดปกติเช่น Eben Byers นักธุรกิจชื่อดังยุคนั้น ตอนแรกบอกว่าดื่มน้ำนี้แล้วทำให้หายปวดแขนเรื้อรังได้ แต่อีก 2 ปีต่อมาเขาก็เริ่มปวดหัวอย่างหนัก น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ และในที่สุดฟันก็ค่อยๆ ร่วงจนหมด และเกิดโพรงในกระโหลกของเขาจนทำให้ปากหายไปเลย นั่นทำให้คนเริ่มสงสัยน้ำกัมมันฯ ทำให้มีการตรวจสอบและพบว่ามันส่งผลร้ายต่อร่างกายจนมันถูกสั่งห้ามขายไปในที่สุด (แต่คนขายรวยไม่รู้เรื่องไปนานแล้ว)
3. แร่ใยหินสารพัดประโยชน์
วิศวกรชาวอังกฤษยุคเอ็ดเวอเดี้ยน (1901-1914) ค้นพบว่าแร่ใยหินเป็นวัตถุดิบที่มหัศจรรย์มาก ทั้งแข็งแรง ทนไฟ ทนความร้อน มีความต้านทานไฟฟ้า ทนทานต่อสารเคมี ดูดซับเสียงได้ดี ทำความสะอาดง่ายแถมราคาถูก จึงนำแร่ใยหินมาประดิษฐ์เป็นทุกอย่างในบ้าน ตั้งแต่กำแพง ผนัง ปูพื้น ทำฉนวนในเตาไฟฟ้า เครื่องเป่าผม ถุงมือกันความร้อน แม้แต่ของเล่น และยังทอผสมกับผ้าทำเสื้อผ้าขายอีก เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสามัญประจำยุคเลย แต่หลังจากพบว่าแร่ใยหินส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากหายใจเอาฝุ่นใยหินเข้าไปจะทำลายการทำงานของปอดและมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดสูง ปัจจุบันสหภาพยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมากจะมีกฎหมายการห้ามใช้แร่ใยหิน ห้ามขุดผลิต และแปรรูปด้วย
4. ยาสีฟันผสมยาสูบ
สมัยศตวรรษที่ 15 ชาวตะวันตกรู้จักต้นยาสูบเป็นครั้งแรกหลังเห็นชาวพื้นเมืองอเมริกันสูบยาสูบ ชาวพื้นเมืองสูบเพื่อแก้เครียด ฆ่าเชื้อ แก้ปวดหัว คลายหนาว รักษาโรค แถมยังใช้สูบเพื่อเป็นยาชาได้อีกด้วย คณะนักสำรวจเห็นว่าสรรพคุณมันดีขนาดนี้เลยนำต้นยาสูบกลับไปปลูกที่ยุโรปซะเลย จากนั้นคนในยุโรปก็ฮิตสูบยาสูบกันทั่วโดยเชื่อว่ายาสูบเป็นยาจากพระเจ้า และใช้ยาสูบทั้งในชีวิตประจำวันและในวงการแพทย์มาจนถึงต้นศตวรรษที่ 19
ส่วนที่อินเดียนอกจากจะฮิตสูบด้วยแล้ว ยังเชื่อว่ายาสูบช่วยให้ฟันแข็งแรงอีก จนมีการผลิตยาสีฟันผสมยาสูบขึ้นมาขายดีเทน้ำเทท่าอยู่นานมากเลยทีเดียว แม้ปัจจุบันจะรู้แล้วว่ายาสูบส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่ามีข้อดี แต่ก็ยังมีผู้นิยมสูบยาสูบอยู่ และคนเฒ่าคนแก่ในอินเดียบางคนยังอยากใช้ยาสีฟันผสมยาสูบต่อ แม้ว่ามันจะถูกแบนไปแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ยาสูบก็ยังใช้เป็นไส้ในของบุหรี่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ ของวงการแพทย์สมัยก่อนเช่นกัน เนื่องจากแพทย์หลายคนแนะนำให้คนไข้สูบบุหรี่เพราะเชื่อว่ามันมีประโยชน์ต่อร่างกาย และสื่อหลักอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดสมัยก่อนก็นำเสนอว่าพระเอกนางเอกที่เป็นคนทันสมัยไฮโซนั้นต้องสูบบุหรี่ จึงเกิดเป็นค่านิยมให้สูบบุหรี่แพร่หลายมากขึ้น
5. ต้นไม้ออกลูกเป็นแกะ
นี่เป็นความเชื่อที่เกิดจากความเข้าใจผิดในยุคกรีกค่ะ ชาวกรีกโบราณเชื่อว่าลูกแกะเป็นผลของต้นไม้ และถ้าเราเอาแกะไปปลูกอย่างถูกวิธีเราก็จะได้ต้นแกะ ที่เราสามารถเก็บลูกแกะเป็นผลผลิตได้ ความเชื่อนี้มาจากบันทึกฉบับหนึ่งของอินเดียที่เขียนถึงต้นฝ้ายไว้ว่าเป็นต้นไม้ที่ออกผลเป็นขนนุ่ม แล้วชาวกรีกที่แปลมาดันเข้าใจผิดว่าหมายถึงขนแกะแบ๊ะแบ๊ะ หลังจากนั้นความเชื่อนี้ก็ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ขนาดนักพฤกษศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 17 ของยุโรปยังถกเถียงกันเลยว่าแกะขยายพันธุ์แบบพืชด้วยวิธีใด (จะตอนกิ่งหรือติดตาดีนะ)
นักเขียนชื่อดังในยุคนั้นยังเขียนในบันทึกการท่องเที่ยวอินเดียว่าที่นั่นมีต้นไม้มหัศจรรย์ที่ออกผลเป็นลูกแกะตัวน้อยที่ปลายก้าน และเมื่อแกะหิวก็จะกดก้านลงมาเพื่อกินหญ้าที่พื้น ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านักเขียนเขียนแบบล้อเลียนเอาฮา หรือว่าเขียนเป็นเรื่องแต่งกันแน่
6. การช่วยตัวเองทำให้อกแบน
ผู้คนในสมัยวิคตอเรียน (1837-1901) เชื่อว่าการช่วยตัวเองทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคร้ายตามมามากมายตั้งแต่ปัญหาทางจิตไปจนถึงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่มีความเชื่อหนึ่งที่สงวนไว้ให้เด็กวัยแรกสาวเลยคือ "ถ้าช่วยตัวเอง หน้าอกจะไม่โต" และยังส่งผลกระทบต่อเนื่องที่อาจทำให้ถึงวัยหมดประจำเดือนเร็วกว่าที่ควรอีกด้วย แต่นั่นน่าจะเพราะยุคนั้นมีมุมมองต่อการช่วยตัวเองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่สมควรทำ และมักใช้เป็นสาเหตุการเกิดโรคร้ายต่างๆ จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกว่าการช่วยตัวเองเป็นสิ่งที่ให้โทษมากกว่าคุณ แต่ถึงยังไงคนก็ไม่ค่อยฟังคำเตือนนี้อยู่ดี ปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าการช่วยตัวเองไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
7. มือสะอาด ไม่ต้องล้างหรอก
ทุกวันนี้เรารณรงค์ให้ล้างมือกันบ่อยๆ เป็นเรื่องปกติไปแล้ว เข้าห้องน้ำแล้วก็ต้องล้างมือให้สะอาด จะกินข้าวก็ต้องล้างมือก่อนเสมอ แต่เรื่องนี้เพิ่งบูมในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 เองค่ะ ก่อนหน้านั้นไม่มีใครคิดว่ามือเราส่งต่อเชื้อโรคได้ และเชื้อโรคในมือนี่แหละที่ทำให้เราเจ็บป่วยกัน Dr. Ignaz Semmelweis เป็นแพทย์คนแรกที่เสนอไอเดียว่าให้หมอล้างมือก่อนทำการรักษาคนไข้เสมอ
คุณหมอท่านนี้สังเกตว่าผู้หญิงที่ทำคลอดโดยแพทย์เสียชีวิตจากไข้กระดานไฟมากกว่าคนที่ได้หมอตำแยมาทำคลอด เขาจึงสังเกตลำดับการทำงานไปเรื่อยๆ จนพบว่าแพทย์ทำงานโดยไม่มีการล้างมือเลย ประมาณว่าเพิ่งผ่าศพชั้นล่างเสร็จก็ขึ้นมาทำคลอดเลยทันที (อี๋) คุณหมอจึงสนับสนุนให้ฆ่าเชื้อที่มือให้สะอาดก่อนมาทำคลอด นอกจากนี้ก็ขอให้มีการทำความสะอาดวอร์ดนี้อยู่ตลอดเวลาเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ แต่หมอคนอื่นๆ กลับไม่ชอบความคิดนี้เพราะเหมือนเป็นการบอกว่าสาเหตุที่แม่เสียชีวิตขณะคลอดเยอะเป็นความผิดของตัวแพทย์ที่ทำคลอดเอง หมอในวอร์ดจึงเลิกล้างมือ และอัตราการเสียชีวิตของแม่เด็กก็กลับมาสูงอีกครั้ง ส่วนคุณหมออิกแนซก็โดนไล่ออกจากงาน ว่ากันว่าเขาเสียสติจนถูกส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาลผู้ป่วยจิตเวช
เมื่อการเวลาเปลี่ยนไป ความเชื่อบางอย่างก็ถูกลบล้างด้วยเหตุผลสนับสนุนใหม่ๆ ความคิดความเชื่อหลายๆ อย่างของเราในตอนนี้ก็อาจจะหายไปในอีกไม่กี่สิบปีก็ได้ เมื่อมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาลบล้าง ลองมาจดแนวคิดยุคนี้กันเก็บไว้บ้างดีกว่าค่ะ แล้วอีก 10 ปีมาดูกันว่ามันยังฟังขึ้นอยู่มั้ย
7 ความคิดเห็น
น่าสงสารหมอคนสุดท้ายอะ โดนไล่ออกจากงานด้วย
ผู้หญิงช่วยตัวเองได้ด้วยหรอค่ะ????
ไม่มีคำบรรยาย