Whittier เมืองที่ประชากรแทบทั้งเมืองอาศัยในบ้านเดียวกัน!

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ถ้าพูดถึงสหรัฐอเมริกาหลายคนก็จะนึกถึงประเทศมหาอำนาจ และเป็นประเทศที่อะไรก็ดูใหญ่ไปหมด แต่วันนี้ พี่พิซซ่า จะพาน้องๆ ไปรู้จักเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในสหรัฐค่ะ เมืองนี้เล็กถึงขนาดที่ว่าคนแทบทั้งเมืองอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน



เมืองวิททิเออร์เมื่อมองจากทะเล
Field Day/youtube.com


Begich Towers อาคารที่เป็นบ้านของประชากรเกือบทั้งเมือง
Indie Alaska/youtube.com


Whittier


     วิททิเออร์เป็นเมืองในเขต Valdez–Cordova ของมลรัฐอลาสก้าในสหรัฐอเมริกา มีประชากรประมาณ 220 คนเท่านั้น เมืองนี้ตั้งชื่อตามธารนำแข็งวิททิเออร์ที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเมือง (ธารน้ำแข็งนี้ตั้งชื่อตามกวีชาวอเมริกัน John Greenleaf Whittier อีกที) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐเข้ามาสร้างค่ายทหารที่นี่ และสร้างทางรถไฟ สถานีรถไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในค่าย บริเวณนี้จึงกลายเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งสำหรับการเดินทางเข้าอลาสก้าในตอนนั้นค่ะ
     เมืองนี้มีพื้นที่เพียง 51 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น แบ่งเป็นพื้นดิน 32 ตารางกิโลเมตรและพื้นน้ำ 19 ตารางกิโลเมตร


ไปรษณีย์ที่อยู่ในอาคารเดียวกัน
Indie Alaska/youtube.com


ร้านขายของชำในอาคาร
Indie Alaska/youtube.com


ความเป็นมาของ "ใต้ชายคาเดียวกัน"


     ชายคาเดียวกันที่ว่านั้นคืออาคาร Begich Towers ที่มีความสูง 14 ชั้นค่ะ อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประกอบไปด้วยอพาร์ทเมนต์ขนาด 2-3 ห้องนอน 150 ห้อง, โรงพยาบาลเล็กๆ, ที่ทำการไปรษณีย์, สถานีตำรวจ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านขายของชำ, ที่ว่าการของเมืองและสำนักงานนายกเทศมนตรี, โบสถ์, ร้านซักอบรีด, ห้องประชุม, สระว่ายน้ำ, และโรงแรมเล็กๆ สำหรับผู้มาเยือนจากต่างเมือง ประชากรประมาณ 170 คนอาศัยและใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่ภายในอาคารนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกเลย
     ชั้นใต้ดินของอาคารมีอุโมงค์เชื่อมไปยังโรงเรียนประจำเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กัน โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงไฮสคูล ตอนเช้าเด็กๆ ก็จะกดลิฟต์ลงมาชั้นใต้ดินแล้วเดินไปโรงเรียนได้ง่ายๆ ไม่ว่าสภาพอากาศวันนั้นจะเป็นยังไงก็ตาม ฉะนั้นสาเหตุเดียวที่จะทำให้มาโรงเรียนสายได้คือลิฟต์มีปัญหา หรือรอลิฟต์นานเกินไปค่ะ
     อาชีพส่วนใหญ่ของคนในเมืองคือประมง, ธุรกิจการท่องเที่ยว, และขับเรือหรือรถไฟ นอกจากนี้ก็เป็นงานที่ทำได้ภายในตัวอาคาร Begich Towers ค่ะ อย่างที่ทำการของเมืองจะมีนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเมือง 6 คน แบ่งหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายดูแลความปลอดภัย และฝ่ายสาธารณูปโภค ดับเพลิงก็มีนะคะ แต่เป็นงานอาสาสมัครไม่ใช่งานประจำแบบตำรวจในสถานี


อุโมงค์ชั้นใต้ดินที่เชื่อมไปยังโรงเรียนแห่งเดียวในเมือง
Indie Alaska/youtube.com


ห้องเรียนที่อยู่อาคารข้างกัน
Indie Alaska/youtube.com


สภาพอากาศที่วิททิเออร์


     อุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 1.7-7.3 องศาเซลเซียสค่ะ หน้าร้อนจะอยู่ช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน เป็น 4 เดือนที่จะไม่เจอหิมะตก แต่สามารถเจอฝนตกได้ตลอดทั้งปี วิททิเออร์เป็นเมืองที่ฝนตกมากที่สุดในรัฐอลาสก้าเลย แต่ถ้าใช้ชีวิตอยู่แต่ในอาคารไม่ออกไปข้างนอกก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ค่ะ
     ตัวอาคาร Begich Towers เองก็แข็งแรงมาก ตั้งตระหง่านต้านลมพายุแรงๆ มาได้หลายปีแล้ว และยังรอดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.2 แมกนิจูดและคลื่นสึนามิสูง 13 เมตรในปี 1964 โดยตัวอาคารได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
     ปัจจุบันวิททิเออร์เจอแผ่นดินไหวประมาณ 300 ครั้งต่อปี แต่ส่วนมากมีขนาดเล็กมากจนไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตค่ะ


ท่าจอดเรือของเมือง
Indie Alaska/youtube.com


เมืองถูกล้อมด้วยภูเขาสามด้าน และน้ำหนึ่งด้าน
Indie Alaska/youtube.com


การเดินทางเข้าเมืองวิททิเออร์


     สำหรับผู้มาจากต่างเมือง ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าวิททีเออร์ได้ 4 ทางค่ะ นั่นคือทางน้ำ หากอากาศเป็นใจและน้ำไม่แข็งเป็นน้ำแข็งสามารถเดินทางมาได้ด้วยเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่หรือเรือส่วนตัวก็ได้ ทางอากาศ เมืองวิททิเออร์มีสนามบินเล็กๆ หนึ่งแห่งที่มีรันเวย์พอสำหรับเครื่องบินขนาดเล็ก และมีท่าจอดเครื่องบินน้ำเล็กๆ อีกแห่งด้วย ทางถนน มีอุโมงค์ยาวหนึ่งแห่งที่เชื่อมกับโลกภายนอก อุโมงค์แห่งนี้มีถนนเพียง 1 เลน จึงมีการจำกัดเวลาขาออกและขาเข้าจากเมืองในแต่ละวันและปิดเวลาสี่ทุ่มครึ่งทุกคืน และทางสุดท้ายคือการเดินทางด้วยรถไฟค่ะ เป็นอีกวิธีที่นักท่องเที่ยวนิยมนอกจากการเดินทางทางเรือ เพราะสามารถเชื่อมต่อกับแคนาดาและอีก 48 รัฐในอเมริกาแผ่นดินใหญ่ได้สะดวก
     นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมไปวิททิเออร์เพื่อปีนเขา, เล่นกีฬาฤดูหนาว, พายเรือ, ตกปลา และถ่ายภาพ โดยเฉพาะภาพถ่ายวิวทิวทัศน์และภาพถ่ายดาราศาสตร์


เทือกเขาที่กั้นวิททิเออร์กับโลกภายนอก
Field Day/youtube.com


ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ตรงเข้าวิททิเออร์ ถนนวันเวย์แบบเปิดปิดเป็นเวลา
Field Day/youtube.com


ภายในอุโมงค์
Indie Alaska/youtube.com


เหตุผลที่คนย้ายไปอยู่วิททิเออร์


     ประชากรจำนวนไม่น้อยในวิททิเออร์ตอนนี้เป็นผู้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ใหม่ ส่วนมากให้เหตุผลว่าต้องการมาหาโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต หรือไม่อยากใช้ชีวิตที่เดิมแล้ว วิททิเออร์อาจไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับการมีชื่อเสียงโด่งดัง หรือทำงานที่ได้เงินเยอะๆ แต่วิททิเออร์มีความอบอุ่นมากกว่าที่อื่นๆ อาจจะเพราะแทบทุกคนเหมือนอยู่ในบ้านเดียวกันหมดก็เป็นได้ ทำให้กลายเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน บางคนที่แต่เดิมต้องการมาเที่ยวเฉยๆ ก็กลายมาเป็นสมาชิกของเมืองนี้ไปเลย บางคนชอบที่นี่เพราะเหมือนได้สังสรรค์กับคนอื่นอยู่เรื่อยๆ แต่บางคนก็ชอบที่นี่เพราะมันไม่จอแจแบบเมืองใหญ่ นี่จึงเป็นเสน่ห์ของความเป็นวิททิเออร์ค่ะ


     ว่ากันว่าถ้ามีเหตุการณ์เชื้อซอมบี้แพร่ระบาดอย่างในหนัง วิททิเออร์มีโอกาสต่ำมากที่ซอมบี้จะเข้าถึงได้ เพราะถ้าปิดประตูอุโมงค์แล้วก็จะไม่มีทางเข้าผ่านถนนได้เลย ซอมบี้ไม่น่าจะข้ามภูเขามาถึงได้และไม่น่าขับเรือมาได้ ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้นให้คิดถึงวิททิเออร์ไว้นะคะ หรือจริงๆ จะลองไปเที่ยวตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ 555


 


ข้อมูล
www.npr.org, edition.cnn.com
www.youtube.com/watch?v=naPguX84Amg
www.youtube.com/watch?v=pLnEHiIMohM
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด