เคยคิดกันมั้ยคะว่า ถ้าที่เราพูดภาษาแม่ได้ดีทุกวันนี้เป็นเพราะกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ทำไมเราถึงไม่เอากระบวนการเหล่านั้นมาใช้กับการเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ในตอนโตล่ะ?
ทำไมเราถึงเรียนภาษาอังกฤษ แบบเดียวกับที่เราเรียนภาษาไทยไม่ได้?
เอ๊ะ? หรือทำได้นะ?
เรื่องนี้ "พี่น้อง" จะอธิบายให้ฟังค่ะ
1. สมองของเด็กนั้นสดใหม่กว่าสมองของผู้ใหญ่
แต่เราไม่แปลกใจเหรอคะ ทั้งๆ ที่เราคิดวิเคราะห์ได้ดีกว่าเด็ก ออกเสียงได้ดีกว่าเด็ก เขียนตัวหนังสือได้ดีกว่าเด็ก แต่กลับเรียนภาษาได้ไม่เต็มที่เหมือนเด็ก
(เอ๊ะ นี่เราโตมาทำไม?)
อย่างแรกที่เราต้องทำความเข้าใจคือ แม้เราจะมีทักษะด้านต่างๆ ที่พัฒนากว่าเด็กน้อยหัดพูด แต่สมองของเรากลับอัดแน่นไปด้วยภาษาแม่ที่เราเรียนรู้เป็นภาษาแรก
ตรงข้ามกับเด็กที่สมองยังว่างเปล่า เป็นผ้าขาวที่รอให้มีคนมาระบายสี
ทำไมภาษานั้นไม่วางกริยาต่อจากประธานนะ?
ทำไมภาษานั้นออกเสียงไม่เหมือนภาษาเราเลยนะ?
เมื่อสมองเปรียบเทียบมากๆ เข้า มันก็มาขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ ทำให้เราเรียนรู้ได้ช้าลง และต้องพยายามทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น
พูดง่ายๆ เหมือนเราใช้ชีวิตมาตลอด 10 ปีโดยเชื่อว่าโลกกลม แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนมาบอกว่าจริงๆ แล้วโลกแบน สมองของเราจะเริ่มต่อต้านข้อมูลใหม่ที่ผิดไปจากข้อมูลเดิมของเรา และต้องใช้เวลาในการปรับตัว หรือ "ทำใจ" กับข้อมูลใหม่นี้
แน่นอนว่าเด็กไม่มีปัญหาแบบพวกเราหรอกค่ะ เด็กๆ ไม่เคยเรียนภาษามาก่อน พอรับเข้าไปก็ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบ สมองรับได้เต็มที่ ไม่ต้องมีระยะเวลาเตรียมตัวหรือทำใจใดๆ
2. ฉลาดไปใช่ว่าจะดี
เพราะประธานเป็นเอกพจน์ กริยาก็เลยเป็นเอกพจน์
เพราะข้างหน้าเป็นรูปอดีต ข้างหลังก็เลยเป็นรูปอดีต
เพราะขยายคำนาม เลยต้องใช้คำคุณศัพท์
ทุกอย่างล้วนเป็นกฎเกณฑ์สำหรับผู้ใหญ่ค่ะ เราเรียนไวยากรณ์ เราเรียนหลักการ เราเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ถูกป้อนคำสั่งมาว่าถ้าเจออันนี้ ต้องใช้อันนั้น เราหาเหตุผลให้กับทุกๆ องค์ประกอบของประโยค
การจำหลักการเหล่านี้ ทำให้เวลาเราใช้ภาษา กระบวนการคิดของเราจะเริ่มจาก ประโยคภาษาไทย >>> ใส่คำศัพท์และไวยากรณ์ให้ถูกต้องตามหลักการ >>> ประโยคภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นกระบวนการคิดที่ผิดธรรมชาติ
เพราะเวลาเราพูดภาษาไทย เราไม่ได้คิดอะไรแบบนี้เลย แต่เราพูดออกมาโดยอัตโนมัติ
เด็กไม่รู้หรอกค่ะว่าอะไรคือประธาน อะไรคือกริยา
เห็นความแตกต่างหรือยังคะ ว่าทำไมเราถึงพูดภาษาแม่ได้เป็นธรรมชาติมากกว่าภาษาที่เรามาเรียนอีกทีตอนโต
การเรียนรู้จากการฟังบ่อยๆ และจำรูปแบบการวางคำศัพท์ของเด็ก ทำให้เด็กใช้เวลาเรียนรู้ภาษานานเป็นปีๆ กว่าจะพูดได้คล่องแคล่ว แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปค่ะ
งั้นเราทำอย่างเด็กบ้างได้มั้ยล่ะ? เรียนภาษาด้วยใจอันบริสุทธิ์ ไม่มีหลักการ ไม่มีไวยากรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
คำตอบคือ "ไม่ทันแล้วค่ะ" เพราะสมองของเราเรียนรู้การคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุมีผลไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้เราเรียนภาษาด้วยดวงตาอันบริสุทธิ์ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเราเจอประโยคที่ไม่คุ้นเคย สมองของเราก็จะคิดหาความเชื่อมโยงของแต่ละคำโดยอัตโนมัติ นั่นคือเราตัดไวยากรณ์ออกจากหัวเราไม่ได้เลย
3. เป้าหมายมีไว้พุ่งชน แต่จริงๆ แล้วไม่มีจะดีกว่า
บางคนก็ตอบว่าเรียนไปสอบ บางคนก็เรียนด้วยใจรัก อยากอ่านการ์ตูนใหม่จากญี่ปุ่นเร็วๆ บางคนก็อยากได้ภาษาเพื่อเอาไปใช้ทำงานเงินเดือนสูงๆ
เราทุกคนล้วนมีเป้าหมายค่ะ
แต่เด็กตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเกิดคิดไม่ได้ขนาดนั้น พวกเขาไม่มีเป้าหมาย พวกเขาเรียนรู้ภาษาเพราะมันอยู่รอบตัวพวกเขานั่นแหละ พวกเขาไม่คาดหวังว่าปีหน้าต้องพูดได้ อีกสองปีไปสอบ Onet แล้วเข้ามหา'ลัยเลยนะ พวกเขาเรียนไปเรื่อยๆ จนพูดได้ในที่สุด
แล้วมีเป้าหมายไม่ดียังไง? มันน่าจะทำให้เราเรียนภาษาได้ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?
ใช่ค่ะ มีเป้าหมายนั้นดี เป็นแรงกระตุ้นให้เราตั้งใจเรียนมากๆ แต่บางครั้งเป้าหมายก็ทำให้เรารู้สึกว่าเวลาเรามีจำกัด เราต้องทำให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ และการคาดหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ทำให้เราผิดหวังและหมดกำลังใจ เมื่อพบว่าเราทำได้ไม่ดีอย่างที่คิด
เมื่อไม่มีขอบเขต เราก็ไม่จำเป็นต้องรีบ และค่อยๆ เรียนรู้ภาษาอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้
เราย้อนกลับไปเป็นเด็กไม่ได้ แต่เราเลียนแบบเด็กได้
โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีแต่ภาษานั้นๆ ให้ตัวเอง เช่น ฟังข่าวภาษาอังกฤษแทนข่าวไทย อ่านนิยายต้นฉบับแทนนิยายแปล พูดคุยกับคนรอบข้างเป็นภาษาอังกฤษแทน หรือแม้แต่บินไปอยู่ที่ต่างประเทศเสียเลย สะกดจิตตัวเองว่าฉันเกิดและเติบโตบนถนนอ็อกซ์ฟอร์ดนี่แหละ
นี่เป็นการจำลองสถานการณ์ว่าเราคือเด็กคนหนึ่งที่ลืมตาดูโลกมาแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย แต่เราจะเรียนรู้จากการซึมซับสิ่งรอบตัว
5 ความคิดเห็น
ลำดับขั้นในการเรียนก็สำคัญครับ
ตอนเราเรียนภาษาไทยเราเรียนแบบ
ออกเสียงจนพูดได้ > จดจำ > เขียน > อ่าน
แต่กับภาษาอังกฤษ เราเรียนแบบ
จดจำ > อ่าน > เขียน > ออกเสียงจนพูด
ได้เพราะเราเรียนต่างกับภาษาแม่เกินไปนี่แหละครับ เราเลยรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเหมือนภาษาแม่ หรือที่บทความเรียก การเรียนแบบ "หุ่นยน" นั้นล่ะครับ
ถ้าเปลี่ยนวิธีเรียนล่ะก็ได้ผลแน่ครับ!
ตอนเด็กๆ เคยพูดภาษาจีนคล่องปรื๋อเลยค่ะ เพราะเกิดและโตที่นู่น แต่ฟังไทยออกบ้างนะคะเห็นแม่บอก เพราะแม่จะคุยกับเราเป็นภาษาไทย แต่เราก็ตอบเป็นภาษาจีนนี่แหละ 55555 แต่พออายุได้6-7ขวบ แม่ก็พากลับไทย มีแต่คนบอกว่าตอนเด็กๆ ถามไรก็ตอบเป็นจีนหมด จนเริ่มเรียนภาษาไทย ทั้งเรียนพิเศษที่โรงเรียน ทั้งมีตาคอยสอน ละตาแบบดุมากกกก ตอนนั้นก็เลยแบบ อะไรๆ ก็ภาษาไทย ก.ไก่ ข.ไข่ จนโตมาก็พูดแต่ภาษาไทยและลืมภาษาจีนไปโดยปริยาย แต่พอเริ่มเรียนใหม่มันก็รื้อฟื้นได้บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนตอนเด็กละค่ะที่จะพูดได้คล่องปรื๋อ ก็ต้องค่อยๆ ฝึกกันไป เรายังเสียดายและโทษแม่ว่าไม่ยอมสอนภาษาจีนควบคู่ด้วย โดนแม่ตอกกลับว่าลืมเองทำไมล่ะ เงิบจ้า 55555
เราขอแย้งนะว่าเราไม่สามารถเรียนแบบเด็กน้อยตาใสตาดำได้อีกแล้ว ไม่สามารถเรียนรู้แบบนั้นได้อีกเลย เราว่าคำพูดนี้มันฟังดูเกินจริงเกินไปที่จะเอามาพูดในเรื่องเี่ยวกับการเรียนรู้ การเรียนรู้ภาษาคือการปรับตัวและปรับเปลี่ยนทัศนคติในการใช้ภาษาในมุมมองใหม่ๆ นั้นเท่ากับการมันคือการทำให้เราเปิดรับตัวเลือกใหม่ๆในการเรียนรู้ภาษาได้มากขึ้น อย่างบางคนที่ไปเรียนต่างประเทศตอนประมาณม.ปลาย ม.ต้นดูสิคะ บางคนแทบไม่สามารถพูดได้อ่านเขียนได้ด้วยซ้ำ แต่อาศัยการปรับตัวเข้ากับสถานการ์ณแต่ก็ยังสามารถเรียนรู้ได้ไวเกือบเทียบเท่าเด็กตอนหัวว่าง เพราะมันคือการปรับตัวไปตามกระแสค่ะ แม้เราจะมีภาษาแม่เป็นแก่นในการเรียนรู้การสื่อสาร แต่หากเราไม่ได้ใช่ภาษาแม่เลยหรือว่าใช่เพียงน้อยนั้นทำให้ภาษาที่สองเข้ามามีบทบาทในการเรียนรู้ของเราได้มากกว่า ดั่งนั้นจะพูดว่าเราไม่สามารถเรียนรู้เหมือนเด็กได้เลยนั้นมันเกินจริงเกินไปค่ะ เราไปเรียนต่างประเทศโดยที่เราไม่รู้ภาษาเลยนั้นไม่เหมือนกับการพัฒนาเข้าหาสิ่งแวดล้อมใหม่เหรอคะ การเรียนรู้ของเด็กนั้นผ่านหลายสิ่งหลายอย่างหลายกระบวนการทั้งด้านประสบการ์ณ>>สิ่งแวดล้อม>>ตัวเด็กเอง>>ความเคยชิน หากเราไม่มีสิ่งเหล่านี้หรือมีเพียงน้อยในการเดินทางเข้าสู้สิ่งใหม่ๆเพื่อเรียนรู้ เช่นการไปเรียนต่างประเทศโดยไม่รู้ภาษา เราจะปรับตัวหาสิ่งนั้นๆโดยการเข้าหามันอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะบางคนที่มาเรียนต่างระเทศก็ใช่หลักการท่องจำเอาจากปาก ทำนองว่าพูดได้ สนทนาได้ แต่เวลาสอบหรือเขียนกลับทำไม่ค่อยได้ มันก็ไม่ต่างกับตอนเด็กที่เราพูดได้แต่เขียนไม่ได้หรอกค่ะ(ยกตัวอย่างง่ายๆก็ผู้หญิงที่มีสามีเป็นชาวต่างชาติ ส่วนมากจะใช้หลักการนี้จำเอาแต่เขียนไม่ค่อยได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะมันเป็นการท่องจำเอา) สรุป เราเชื่อว่าเรายังสามารถเรียนรู้แบบเด็กได้อยู่ค่ะ แล้วการที่สมองของเราเริ่มคิดเป็นระบบแล้วไม่สามารถเชื่อมโยงกับการเรียนรู้แบบเด็กใสตาดำได้อีกนี่มันวัดกันยังไงเหรอคะ วัดกันจากการที่เด็กน้อยนั้นเข้าเรียนแล้วหรืออายุเท่าไหร่เหรอคะ
ยากกว่าจริงๆ ค่ะ ดูอย่างครอบครัวดาราหลายๆ คนๆ พ่อพูดอังกฤษ แม่พูดไทย เด็กสามารถพูดได้ทั้งสองภาษาโดยใช้ถูกต้องด้วยอ่ะ หรือเด็กบางคนที่บ้านไม่มีใครพูดอังกฤษได้เลย แต่ตัวเองสามารถพูดได้เพราะได้ดูการ์ตูนบ่อยๆ เด็กเหมือนผ้าขาวจริงๆ เพื่อนเราไม่เก่งอังกฤษ แต่ที่บ้านมีเงิน เขาขอพ่อแม่ไปอยู่ต่างประเทศครึ่งปี ตอนสอบเข้ามหาลัยภาคอินเตอร์ได้ ตอนนี้ก็พูดอังกฤษคล่อง แต่เราดิเด็กๆ พูดอังกฤษได้ แต่พอเริ่มโตเริ่มเกเร ตอนนี้พูดไม่ได้เลย พยายามจะเริ่มใหม่แต่ยากมากๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้นะคะ เราเชื่อว่าทำได้แค่ต้องทุ่มเทกว่านี้ เราต้องทำได้ ขนาดฝรั่งหลายๆ คนยังพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้คล่องเลย ทุกคนก็บอกว่ากว่าจะคล่องต้องใช้เวลาหลายปี และต้องขยัน