ครั้งหนึ่งทำฝันให้เป็นจริง! เดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาด้วย "รถมอเตอร์ไซค์"

     สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com น้องๆ เคยมีความฝันอยากจะผจญภัยในโลกกว้างกันบ้างมั้ยครับ? สำหรับคนที่มาอ่านเรื่องราวใน Study Abroad พี่ว่าหลายๆ คนคงคิดแบบนี้ พี่ท็อป เองก็เช่นกันครับ มาติดตามการเดินทางท่องเที่ยวของพี่โดยรถจักรยานยนต์กัน

     ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาถึง พี่เองก็วางแผนไว้ว่า จะได้มีโอกาสเดินทางไปในดินแดนที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ด้วยวิธีการต่างๆ ตอนแรก พี่ก็คิดว่า จะไปไหนมาไหนโดยการคมนาคมสาธารณะ แต่หลายครั้งที่เรานั่งดูนั่นดูนี่ไปตามทาง พี่ก็ผล็อยหลับไปจนจำไม่ได้ว่า ตลอดการเดินทางเราผ่านอะไรมาบ้าง เราได้อะไรมาบ้าง และพลาดอะไรมาบ้าง จนบางครั้งก็รู้สึกว่า เราได้มาแค่จุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ “การเดินทาง” อย่างที่เราคิดไว้จริงๆ
     นั่นทำให้พี่ตัดสินใจเอาเงินเก็บที่หามาได้ มาใช้เพื่อตอบสนองความฝันด้านการเดินทางท่อเที่ยวของตัวเอง คือเอาล่ะ อุตส่าห์ข้ามโลกมาครึ่งใบ มานั่งกลัวนั่งกังวลก็คงไม่ใช่ที่ ไหนๆ ก็มาถึงแล้วล่ะนะ


     ขั้นแรก อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า พี่อยู่ในเมืองซานฟรานซิสโก เมืองขนาดเล็กๆ ที่บังเอิญว่าแออัดคับแคบขนาดหาที่อยู่ยาก การหาที่จอดรถยนต์ก็ยิ่งยากเป็นทวีคูณ คือมีรถก็ไม่มีปัญญาหาที่จอด
     ความฝันตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเรื่องการเป็นเจ้าของรถบิ๊กไบค์สักคันเลยกลับมาอีกครั้ง หลังสำรวจราคา ก็พบว่า มันไม่ได้แพงเหมือนที่ไทย และที่สำคัญคือ ครอบครัวเองก็ค่อนข้างยอมรับแล้วว่าเราเอาตัวรอดได้

     โปรเจ็คต์การท่องเที่ยวด้วยรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์พี่ก็เริ่มขึ้น พร้อมกับรถบิ๊กไบค์คันแรกที่นี่ หลังจากรอคอยมาสิบปี พร้อมกับแปะป้ายความฝันไว้บนหัวเตียง (ไปเจอมาจากแฟนเพจหนึ่งเกี่ยวกับคนรักรถมอเตอร์ไซค์เพื่อการเดินทาง) ว่า อีกยี่สิบปีข้างหน้า อะไรที่เราทำในวันนี้ เราจะเสียใจกับมันเมื่อทำไปแล้ว น้อยกว่าสิ่งที่เราไม่ได้ทำ


     พี่เลือกใช้เงินเก็บเลือกรถที่ปีไม่เก่ามาก มีข้อมูลเปรียบเทียบกับที่ไทย และราคาพอเอื้อมถึง เลยเลือกซื้อรถมือสองยี่ห้อ Honda รุ่น CB500F ปี2013 และแน่นอน เพื่อการท่องเที่ยว พี่จึงจัดการติดกล่องใส่ของด้านหลัง และทำความคุ้นเคยกันอยู่เป้นเวลาหนึ่งสัปดาห์ (เพราะรถใหญ่นั้นเราต้องเรียนรู้มันก่อนจะใช้มันให้ปลอดภัย)
     และหลังจากพอคุ้นเคยกัน พี่จึงพามันไปตามเส้นทางเลียบมหาสมุทรแปซิฟิคริมชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย บนทางหลวง Highway 1 จากเมืองซานฟรานซิสโก สู่เมือง ซานตาครูซ ซึ่งห่างออกไปราวๆ 2 ชั่วโมง เพื่อเป็นการทดสอบการเดินทางครึ่งแรก


     ซึ่งเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางเลียบมหาสมุทร ลัดเลาะไปเรื่อยๆ บนถนนสองเลนสวนกัน


     พูดถึงการขี่รถกินลมชมวิว ซึ่งจริงๆ แล้วลมที่นี่ไม่โสภาสักเท่าไหร่ เพราะมันแรงมากๆ มากขนาดที่รถน้ำหนักสองร้อยกิโลกรัม ยังไม่ให้ความรู้สึกมั่นคงเลย และมันพัดเข้าปะทะตัวแรงมากจนพี่เกิดความรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางจนต้องพักเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายไม่เหนื่อยล้าจนเกินไปซึ่งอาจเกิดอันตรายได้


     ระหว่างพัก พี่ก็เลือกที่พักที่ได้ชมเส้นทาง ได้ถ่ายรูปไปด้วย สวยดีนะครับว่ามั้ย


     เส้นทางก็เลียบไปตามขอบแผ่นดินจรดมหาสมุทรนี่แหละ ไม่มีอะไรกั้นเลย พลาดก็บ๊ายบาย ไม่มีใครมาเขียนให้น้องๆ อ่านกันแล้ว เลยพยายามไปช้าๆ เพื่อเก็บเรื่องราวมาเล่าให้ฟังกัน


     ปลายทางที่ชายหาดเมืองเล็กๆ ที่ชื่อซานตาครูซ พี่เองมาถึงเพื่อจะเอนหลังพักบนทรายอุ่นๆ ฟังเสียงทะเลและผล็อยหลับไปท่ามกลางคนที่มาเฮฮากัน


     และหลังจากหนีความวุ่นวายจากชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อได้ครึ่งวัน พร้อมกับการที่ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเพื่อเล่นน้ำ(อันนี้เซ็งมาก มาทะเลแบบไม่เตรียมตัว) พี่ก็เดินทางกลับ พร้อมกับความคิดที่จะเริ่มการเดินทางที่ไกลกว่าเดิม เพราะหลังจากเรารู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เราลำบากบ้าง อะไรที่เราพลาดบ้าง ไม่ว่าเสื้อผ้าที่ควรเตรียมไปอีก น้ำดื่มที่ควรมีติดตัวไว้และเสบียงขนมขบเคี้ยวบ้าง


     และเพื่อการหลีกเลี่ยงลมที่รุนแรงกว่าที่เคยเจอที่ไทยมากๆ พี่จึงติดที่บังลมข้างหน้าใหญ่กว่าเดิม ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องเหนื่อยกับการสู้ลมที่ทำให้ร่างกายล้าและอาจก่ออันตราย


     ขั้นต่อมาก็ตามด้วยสรรหาชุดป้องกันที่ต้องพร้อมกว่าเดิมเพื่อความไม่ประมาท เลยลงทุนไปถอยเครื่องป้องกันชุดนี้มา คือราคาชุดแต่งตัวมันก็แพงอยู่นะครับ แต่ค่ารักษาพยาบาลมันแพงกว่าเยอะ รถเรายังกล้าดูแลมันให้ดี จะมากังวลอะไรกับตัวเราเอง เอ้า กัดฟันซื้อมาก็ได้
     ซื้อถุงมือ กระเป๋าป้องกันหลัง เสื้อขี่มอเตอร์ไซค์แบบที่อุปกรณ์ป้องกันการล้ม เมื่อได้มาครบแล้ว พี่เลยกำหนดเป้าหมายว่า รอบหน้า พี่จะไปเยี่ยมเพื่อที่ลอส แองเจลลิส ที่เดิม ไปแบบเซอร์ไพรส์ไม่บอกเพื่อน ด้วยระยะทางทั้งสิ้นราวๆ 600 กิโลเมตร รวมไปกลับก็ 1,200 กิโลเมตร

     ซึ่งพี่วางแผนการเดินทางมากขึ้น เลือกถนนเส้นที่เหมาะสม เช็กจุดพักและปั๊มน้ำมัน เรื่องพวกนี้สำคัญมากหากตั้งใจจะเดินทางไกลมากๆๆๆๆๆ อย่างเช่นที่เกริ่นไว้ว่าพี่ฝันจะขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพี่คาดว่า จะใช้เวลาราวๆ หนึ่งสัปดาห์ รอบนี้จึงเป็นเสมือนการซ้อมใหญ่ เพราะมีทั้งขึ้นเขา ทางหลวงพิเศษผ่านเมืองซึ่งต้องผ่านทะเลทราย จึงต้องเตรียมเสื้อผ้าและน้ำดื่มให้เหมาะสมด้วยสำหรับทุกสภาพอากาศ
     ตลอดเส้นทางการเดินทาง ช่วงที่ออกจากซานฟรานซิสโก มุ่งหน้าลงทิศใต้ไปยังเมืองลอสแองเจลลิส สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงพอสมควรจากเมืองชายทะเลทางเหนือที่หนาวเย็น เปลี่ยนเป็นร้อนจัดฉับพลันพอเข้าสู่เขตทะเลทรายทางใต้


     ขี่รถฝ่าอากาศอันทารุณอยู่จนรู้สึกตาลาย ก็ไม่มีทางเลือก พี่ตัดสินใจพักทันที่ที่เจอปั๊มน้ำมันแรกหลังจากขี่มาเพียงชั่วโมงครึ่ง เพื่อถอดเสื้อกันหนาวข้างในออก ดื่มน้ำไปขวดหนึ่งและล้างหน้าล้างตา คือสภาพปั๊มน้ำมันมันไม่น่าจอดเลย แต่ด้วยสภาพที่รู้สึกแห้งไปหมด หายใจไม่ออกและร้อนจนไม่มีสมาธิขี่รถ คือมันไม่สนุกและไม่ดีแล้วล่ะ สุดท้ายก็เลือกหาที่จอดพัก(เพราะที่นี่จอดรถพักบนขอบทางไม่ได้หากไม่ฉุกเฉิน)
     การเดินทางต่อเริ่มขึ้น สภาพทะเลทรายแบบที่ไม่คุ้นเคยเริ่มเล่นงาน ลมแรงจากทางหลวงที่ทอดตรงไม่ช่วยอะไรให้เย็นขึ้นเลย แถมยังทำให้นัยน์ตาแห้ง แม้จะมีหมวกกันน็อกช่วยกันไว้ อุณหภูมิพุ่งสูงจนต้องมุ่งหน้าเข้าหาจุดพักที่สองหลังขี่ต่อมาเพียงสองชั่วโมงเพื่อเติมน้ำเข้าร่างกายและล้างตาที่แห้งจนแสบไปหมดเพราะไม่มีความชื้นหล่อเลี้ยง


     หลังจากพักรอบนี้ ตามเส้นทางอีกไกลพอสมควรกว่าจะถึงปั๊มน้ำมัน จุดต่อไปที่จะพักเลยต้องไปลงเอยที่ Rest Area ซึ่งไม่เคยใช้บริการมาก่อน


     ซึ่งจุดพักแบบนี้จะมีสลับกับปั๊มน้ำมัน ภายในก็จะมีเครื่องดื่มหยอดเหรียญ ห้องน้ำ และร่มให้หลบแดด แต่ห้ามจอดค้างคืนนะครับ ข้อเสียคือไม่มีอะไรครบครันเหมือนปั๊มน้ำมัน แต่สถานที่ก็กว้างขวางกว่า จึงเป็นแหล่งรวมของคนขับรถบรรทุก


     สภาพภายในก็ประมาณนี้ สู้ปั๊มน้ำมันที่ไทยไม่ได้เลยครับ


     พวกนักเดินทางสองล้อที่นี่เขาขี่แต่รถใหญ่ๆ กันถ้าใช้เส้นทางไกลๆ แบบพี่ ซึ่งนี่ก็เพิ่งรู้ว่ารถขนาด 500cc ที่นี่มันเล็กสำหรับการเดินทางที่นี่แหละครับ (อยู่ไทยพี่ขี่ KSR 110 จากบางแสนไปเพชรบูรณ์สบายๆ นี่ขนาดขยับขนาดให้ใหญ่แล้วยังเล็กไปอีกหรือนี่)


     พักแล้วพักอีกมาตลอดทาง ฟันอากาศร้อนระดับ 40 องศา จนมาถึงหุบเขานี้ที่ถ้าข้ามไป ก็จะเข้าเขตเมืองลอสแองเจลลิสแล้ว เหลือบมองนาฬิกา ออกมาเก้าโมงเช้า นี่บ่ายสามแล้วยังไม่ถึงเลย เอ้าขี่กันต่อไป


     อันนี้แอบจอดถ่ายบนหุบเขา เพราะลมพัดแรงมากจนจะล้ม จากการคำนวณระยะทางคาดว่าพักอีกรอบเดียวก็น่าจะพอแล้วหละ อยากถึงก่อนค่ำเพราะบนถนนอย่างที่เห็นในภาพ ถ้ามืดลงจะไม่มีไฟเลยและจะอันตรายสำหรับรถมอเตอร์ไซค์


     จุดพักสุดท้าย ก่อนเข้าเมืองก็โทรบอกเพื่อว่า เฮ้ย มาเยี่ยมนะ ขอพักด้วยวันหนึ่งเดี๋ยวกลับ เพื่อนพี่ก็ถามว่าให้ไปรับที่สถานีรถมั้ย? เพราะปกติพี่มารถทัวร์ รอบนี้บอกไม่ต้องเดี๋ยวเข้าไปหาเอง ปรากฏว่าสร้างความตกตะลึงให้เพื่อนมากๆ ว่า ทำไปได้ไง คือคนเขาไม่ค่อยขี่มอเตอร์ไซค์กันที่นี่ ถ้าจะขี่ไกลขนาดนี้เขาไม่เอารถเล็กแบบนี้มาหรอก และส่วนใหญ่เขาไม่เดินทางกันคนเดียว เราก็ เอ้อ จริงเหรอ ไม่รู้แฮะ แถมบอกมันว่ารอบหน้าจะไปไกลกว่านี้ หรือไม่ก็จะขี่ข้ามประเทศ ไปด้วยกันมั้ยล่ะ? ก็เห็นว่าไม่ควรขี่คนเดียว
     ปรากฏว่ามันสนใจแฮะ ไม่แน่อาจจะได้มีเพื่อนไปด้วยกันก็ได้นะ หลังจากพักที่บ้านเพื่อนวันหนึ่ง พี่ก็เดินทางกลับเพราะต้องกลับมาเรียน พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า ได้ทำอะไรที่เป็นความฝันของเราสำเร็จไปเรื่องหนึ่ง เป็นพลังที่ส่งให้ขี่รถกลับมาได้(ซึ่งจริงๆ โคตรเหนื่อยเลย ฮ่าๆ)


     สำหรับคนที่สนใจจะลองเดินทางแบบนี้ ขั้นแรกเลยควรทราบว่า ต้องมีพื้นฐานการขี่รถที่ดี เพราะเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์ที่นี่ต่างกับที่ไทยพอสมควร ด้วยการขี่ที่ต้องเจอลมรุนแรง สภาพอากาศและภูมิประเทศที่เปลี่ยนตลอดเวลา รถยนต์และรถบรรทุกที่เดินทางร่วมกับเราบนถนนนั้นก็ใช้ความเร็วกันสูงพอสมควร แต่อย่างที่บอก ถ้ามันเป็นฝัน แล้วเราตั้งใจจะทำมันให้สำเร็จ เราก็ต้องเอาความยากนั้นมาเปลี่ยนเป็นการเตรียมตัวเพื่อพิชิตมันไม่ใช่เหรอ?


     สำหรับราคาของรถมอเตอร์ไซค์ที่นี่ บอกเลยว่าไม่แพง แม้จะดูแล้วราคาสูสีกับรถยนต์ แต่การจอด ความอิสระ และการตอบสนองความฝัน มันคุ้มค่ามากๆ เลยนะ


    

    แต่หลังจากนี้ ถ้าพี่จะขี่ข้ามประเทศ คันต่อไปก็คงจะต้องใหญ่กว่านี้แล้ว ตอนนี้พี่ก็มีแผนว่าจะขายคันนี้เพื่อไปรถที่เหมาะสมกว่าเดิมสำหรับการทำตามฝันของเราแล้วล่ะ บทความและภาพนี้ก็คงเป็นคำขอบคุณและบอกลาเจ้ารถคันนี้ของพี่แล้ว และเมื่อการเดินทางบทใหม่ที่ใหญ่และพร้อมกว่านี้เริ่มขึ้น ไว้มีโอกาสพี่จะมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ

 
พี่ท็อปเอสเอฟ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

5 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
โนโน่ 28 ส.ค. 59 15:57 น. 3
เก่งจังเลยค่ะ จริงๆแล้วเราก็อยากมีชีวิตอิสระแบบนี้ล่ะ เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆหน้าโหดๆ ขับรถเที่ยวเล่นไปทั่ว 555 แน่นอน
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด