สวัสดีค่ะ น้องๆ ชาว Dek-D.com ที่น่ารักทุกคน พบกับพี่โปรและข่าวสารเกี่ยวกับประเทศเกาหลีกันอีกแล้วค่ะ วันนี้พี่มีบทสัมภาษณ์มาฝากน้องๆ กันด้วย โดยในวันนี้จะเป็นคิวของรุ่นพี่ที่ได้รับทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ปีนี้ค่ะ ซึ่งมีรุ่นพี่ได้ทุนไปถึง 4 คนเลย และพี่ไม่รอช้า รีบคว้าตัวทุกคนมาสัมภาษณ์ เพื่อเป็นประโยชน์กับน้องๆที่กำลังสนใจเรียนที่เกาหลีใต้ และสนใจทุนรัฐบาลเกาหลี การสัมภาษณ์จะสนุกสนาน อัดแน่นไปด้วยความรู้ขนาดไหน ไปดูกันเลยยย
แนะนำตัวกันหน่อยจ้า
พลอย: สวัสดีค่า เราชื่อ ยุพารัตน์ จันทราภากร ชื่อเล่น พลอย จบจากโรงเรียนดรุณสิกขาลัย (ห้องเรียนวิศว์ – วิทย์ โครงการ วมว.) ค่า
เอิร์น: สวัสดีค่า ชื่ออภิชยา ชัยธนะภิญโญ ชื่อเล่นเอิร์นค่ะ จบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แผนการเรียนภาษา-สเปนค่า เป็นแอดมินเพจ,ทวิตเตอร์,ยูทูปชาแนล Earn In Korea ค่ะ
มิ้น: สวัสดีค่าา ชื่อวรรณะภัทร ช่างสุวรรณ ชื่อเล่นชื่อมิ้นค่ะ จบจากโรงเรียนสตรีสมุทรปราการ แผนการเรียนศิลป์ภาษาจีนค่ะ เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลีปี 2016 ค่าาา
แก้ม: สวัสดีค่ะ:)) ชื่อ พัชรพร กาญจโนภาส ชื่อเล่น แก้ม นะคะ จบจากโรงเรียน ระยองวิทยาคม ห้องวิทย์ โครงการค่ะ ตอนนี้เรียนภาษาอยู่ที่ Dongseo University ค่ะ
ทำไมถึงมาสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีกันเอ่ย
พลอย: เนื่องจากว่าเรามีความตั้งใจจะเรียนต่อต่างประเทศอยู่แล้ว เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศอยู่ตลอดค่ะ แล้วเกาหลีเป็นหนึ่งในประเทศที่อยากไปศึกษาต่อ เพราะมีรูปแบบการเรียนการสอนและเทคโนโลยีที่สนับสนุนการเรียนวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี บวกกับมีเพื่อนแนะนำทุนรัฐบาลเกาหลี (เพื่อนอ่านมาจากเว็บเด็กดีนี่แหล่ะค่ะ อิอิ) ซึ่งเป็นทุนที่ให้อิสระในการเลือกสายการเรียน มีให้เรียนภาษาด้วย จึงตัดสินใจสมัครทุนนี้ค่ะ
เอิร์น: เอิร์นอยากเรียนต่อต่างประเทศอยู่แล้วค่ะ แต่ไม่สามารถไปด้วยทุนตัวเองแน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายสูงมากทีเดียว 555 ทีนี้พอได้มารู้จักทุนนี้ก็รู้สึกชอบมาก เพราะเป็นทุนเต็มแล้วก็ให้ค่ากินอยู่ด้วย สามารถเลือกเรียนคณะและมหาลัยที่เอิร์นอยากเรียนมากๆ ได้ด้วย แถมยังไม่มีข้อผูกมัดในเรื่องของการใช้ทุนด้วยเลยสนใจมากค่ะ
มิ้น: ก่อนอื่นเอาจริงๆ แล้วคือเราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบนักร้องศิลปินเกาหลีมาตั้งแต่เด็กๆ เนอะ อะไรที่เกี่ยวกับเกาหลีก็ชอบทั้งนั้นเลยค่ะ 55555 ยิ่งภาษาเกาหลียิ่งเรียนยิ่งสนุก เรามีโอกาสได้มาที่เกาหลีช่วงม.ต้นเข้าร่วมกิจกรรมที่ KAIST ได้ซึมซับบรรยากาศมหาวิทยาลัยของที่นี่จริงๆ ก็ชื่นชอบมากๆแ ละตั้งใจอยากมาเรียนที่นี่ตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ
แก้ม: อยากไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กอยู่แล้วอ่ะค่ะ 5555 ก็พยายามหาทุนมาเรื่อยๆ ซึ่งทุนนี้เป็นทุนเต็ม สามารถเลือกคณะและมหาวิทยาลัยได้ด้วยค่ะ และไม่มีข้อผูกมัดใดๆ หลังจบการศึกษาด้วย บวกกับความชอบความสนใจในประเทศเกาหลี และตอนม.ปลายได้มีโอกาสรู้จักคนเกาหลีหลายท่าน ทำให้ได้เรียนรู้และซึบซับวัฒนธรรมต่างๆ ทำให้สนใจในประเทศเกาหลีมากขึ้นและตัดสินใจมาสมัครทุนค่ะ
จากขั้นตอนการเตรียมตัวเอกสารไปจนถึงส่งเอกสาร คิดว่าจุดไหนที่ยากที่สุด และ เอกสารแบบไหนที่คิดว่าจัดเตรียมตัวยากคะ
พลอย: ส่วนที่ควรให้ความสนใจมากที่สุด Personal statement และ Study plan ให้ออกมาดีค่ะ (สำหรับเรานี่เป็นจุดที่สนุกที่สุดเลยค่ะ 5555) เพราะการสมัครทุนนี้เราสามารถนำเสนอตัวเราได้อย่างเต็มที่จากเอกสาร 2 ตัวนี้เท่านั้น และก็จำกัดปริมาณแค่อย่างละ 2 หน้ากระดาษด้วย เลยต้องกลั่นกรองและเขียนออกมาให้สามารถดึงความสนใจคณะกรรมการให้ได้ค่ะ ความจริงการเตรียมเอกสารสมัครทุนนี้ไม่ยากค่ะ แต่รายละเอียดเยอะ รวมถึงพวกเอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียนและ เอกสารราชการที่ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย ก็เลยวุ่นวายไปหน่อย เพราะฉะนั้นถ้าเตรียมตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ก็จะดีมากเลยค่ะ
เอิร์น: น่าจะเป็นการจัดเอกสารก่อนส่ง ที่ต้องแบ่งลงเป็นซองๆ ต้องนั่งทำเช็กลิสต์ดูว่าอันไหนใส่แล้ว อันไหนต้องไปถ่ายเพิ่ม ต้องตรวจสอบดูดีๆ ว่าตัวที่เราถ่ายเอกสารมาเขาถ่ายครบรึเปล่า คิดว่าจัดเอกสารยากสุดแล้วค่ะ
มิ้น: สำหรับเราตอนเริ่มต้นนี่ยากที่สุดเลยค่ะ เรามีเวลาทำเอกสารน้อยมาก ก่อนเดดไลน์อาทิตย์นึง TOEIC ก็ยังไม่ได้สอบเลย เพราะฉะนั้นช่วงที่ต้องวางแผนว่าจะทำเอกสารอันไหนก่อนหลัง กับช่วงที่ต้องระดมสมองร่างว่า SOP จะเขียนอะไร Study Plan จะเขียนอย่างไรให้น่าสนใจนี่คือยากที่สุดแล้วค่ะ ส่วนเอกสารที่เตรียมตัวยาก เราว่าการไปขอเอกสารคาดว่าจะจบจากโรงเรียนกับขอให้คุณครูเขียนจดหมายแนะนำให้นี่คือจะใช้เวลาเยอะค่ะแถมวุ่นวายด้วย ช่วงนั้นเราวิ่งวุ่นทั่วโรงเรียนเลย
แก้ม: personal statement เลยค่ะ 555555 เพราะทุนนี้ไม่มีสอบข้อเขียน รอบแรกคัดจากเอกสารที่ส่งไปเท่านั้น ก็พยายามเขียนให้น่าสนใจ และเป็นตัวเองมากที่สุดค่ะ ใช้เวลาเตรียมตัวค่อนข้างนาน ขอดูตัวอย่างจากรุ่นพี่ด้วยค่ะ(ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ) แล้วก็ให้หลายๆ คนช่วยอ่านค่ะ แก้กันจนวินาทีสุดท้าย ส่วนตัวส่งเอกสารทางไปรษณีย์ ก็ต้องเผื่อเวลาการส่งด้วยค่ะ
พลอยกับเพื่อนๆที่ล็อตเต้เวิร์ด
เราสามารถเลือกอันดับคณะ และ มหาวิทยาลัยกันได้ใช่มั้ยเอ่ย แล้วเลือกอะไรไปกันคะ แล้วได้ที่ไหนกันคะ
พลอย: เราเลือก Seoul National University (SNU): Biological Science / KAIST: Biological Science / Yonsei: System Biology ค่ะ ความจริงที่หนึ่งในใจคือ KAIST เพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังด้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว และมีคอร์สเรียนส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษด้วย แต่ถูกปฏิเสธค่ะ T _ T ทีนี้ระหว่าง SNU กับ Yonsei ก็ตัดสินใจยากมากค่ะ เพราะว่าแต่ละที่มีความน่าสนใจและน่าเรียนทั้งนั้นเลย 5555 แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป SNU ค่ะ เพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ และ มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ออกมามากมายด้วยค่ะ
เอิร์น: 1.Yonsei University 2. Seoul National University 3. Korea University ทั้งสามอันดับเลือก SKY เลยค่ะ (เสี่ยงมาก5555) จริงๆ คือมุ่งไปที่ Yonsei อยู่แล้วเพราะเป็นมหาลัยในฝันเลย ทั้งสามอันเลือกจิตวิทยาหมือนกันหมดค่า และตัดสินใจเลือก Yonsei ค่า
มิ้น: ได้ค่าา เราเลือก อันดับ 1. Kyunghee University เลือกเป็นคณะ Dept. of Korean ค่ะ อันดับ 2 เราเลือก Hankuk University of Foreign Studies(HUFS) คณะ Korean Education ค่ะ สุดท้ายเลือก Ewha Womans University เป็น Korean Studies ค่ะ สรุปแล้วเราตกลงเลือกอันดับ 2 ที่ HUFS ค่ะ ชอบเนื้อหาตัวคอร์สเรียน แถมบรรยากาศชาวต่างชาติเยอะดีด้วยค่ะ
แก้ม: ใช่ค่ะ สามารถเลือกได้ 3 อันดับ ส่วนตัวเลือก
1. KAIST > Chemical and biomolecular engineering
2. Seoul national university (SNU) > Chemical and biological engineering
3. Hanyang university > Chemical engineering ค่ะ
เราได้รับการตอบรับจาก SNU และ Hanyangค่ะ ซึ่งสุดท้ายก็เลือกไป SNU ค่ะ
เอิร์นในชุดไทย
Personal Statement และ Study Plan เขียนอะไรกันบ้างคะ
พลอย: Personal Statement เราคิดว่าคือเอกสารหัวใจหลักสำหรับการสมัครทุนนี้เลยค่ะ เราเริ่มจากแนะนำตัวว่าเราเป็นใคร มีความสนใจในด้านไหน ประสบการณ์ที่ผ่านมาเราได้ทำอะไร (เช่น การเข้าค่าย การทำโปรเจคต์ การแข่งขันต่างๆ ) และได้เรียนรู้อะไรบ้างและการมาเรียนที่เกาหลีมีความสำคัญต่อเราอย่างไร
ส่วน Study Plan พาร์ทเรียนป.ตรี ก็เล่าคร่าวๆ ว่าเราสนใจเรียนด้านนี้เพราะอะไร ระหว่างเรียนที่เกาหลีอยากทำอะไรบ้าง และหลังจากจบการศึกษามีแผนว่าจะทำอะไร (อย่างของเราก็เล่าไปว่าอยากทำโปรเจคต์ชีวะแนวไหนประมาณนี้ค่ะ) เนื่องจากทั้ง 3 คณะที่เราเลือกเป็นคณะเดียวกันเราเลยไม่ได้แยกออกเป็นแต่ละเคสว่าถ้าเรียนแต่ละคณะจะไปทำอะไร แต่ถ้าเลือกต่างคณะกัน เราแนะนำว่าให้เขียนอธิบายของแต่ละคณะที่เลือกเลย ส่วนพาร์ทเรียนภาษาเกาหลี เราก็บอกประมาณว่าจะเริ่มเรียนด้วยตัวเอง ระหว่างเรียนก็จะตั้งใจเรียนให้เต็มที่และจะเผยแพร่ภาษาเกาหลีให้กับเพื่อนๆ ที่ไทย เพื่อเป็นช่องทางในการฝึกภาษาด้วยค่ะ
ส่วน Study Plan พาร์ทเรียนป.ตรี ก็เล่าคร่าวๆ ว่าเราสนใจเรียนด้านนี้เพราะอะไร ระหว่างเรียนที่เกาหลีอยากทำอะไรบ้าง และหลังจากจบการศึกษามีแผนว่าจะทำอะไร (อย่างของเราก็เล่าไปว่าอยากทำโปรเจคต์ชีวะแนวไหนประมาณนี้ค่ะ) เนื่องจากทั้ง 3 คณะที่เราเลือกเป็นคณะเดียวกันเราเลยไม่ได้แยกออกเป็นแต่ละเคสว่าถ้าเรียนแต่ละคณะจะไปทำอะไร แต่ถ้าเลือกต่างคณะกัน เราแนะนำว่าให้เขียนอธิบายของแต่ละคณะที่เลือกเลย ส่วนพาร์ทเรียนภาษาเกาหลี เราก็บอกประมาณว่าจะเริ่มเรียนด้วยตัวเอง ระหว่างเรียนก็จะตั้งใจเรียนให้เต็มที่และจะเผยแพร่ภาษาเกาหลีให้กับเพื่อนๆ ที่ไทย เพื่อเป็นช่องทางในการฝึกภาษาด้วยค่ะ
เอิร์น: สองอันนี้ในแบบฟอร์มสมัครจะมีไกด์กำหนดทิศทางคำตอบให้นะคะ สำคัญคือตอบคำถามเขาให้ครบ แน่นอนว่าสองตัวนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆๆๆ ในส่วนของ Personal Statement มันเป็นตัวบ่งบอกตัวตนเรา เริ่มจากการเปิดหัวที่ทำให้งานเขียนของเราดึงดูด น่าอ่าน น่าจดจำ อย่าลืมว่ากรรมการต้องอ่านใบสมัครอีกเป็นร้อย ถ่ายทอดตัวตนของเราออกมา ไม่ใช่แค่เขียนว่าเคยทำอะไร แต่สิ่งที่เราทำมันให้อะไรเราบ้าง พยายามตอบคำถามที่ว่าทำไมเราถึงเป็นคนที่เหมาะจะได้รับเลือกให้ได้ค่ะ
ส่วน Study Plan ก็เขียนไปว่าเราวางแผนจะเรียนยังไง เลือกมหาลัยอะไรเพราะอะไร ก็เขียนความตั้งใจของเราลงไป นอกจากเรื่องเรียน ก็มีเขียนเรื่องของการตอบแทนประเทศเกาหลีด้วย ในส่วนของการช่วยทำเพจทำบล็อกเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว แล้วก็วัฒนธรรมให้กับคนไทยด้วยค่ะ
ส่วน Study Plan ก็เขียนไปว่าเราวางแผนจะเรียนยังไง เลือกมหาลัยอะไรเพราะอะไร ก็เขียนความตั้งใจของเราลงไป นอกจากเรื่องเรียน ก็มีเขียนเรื่องของการตอบแทนประเทศเกาหลีด้วย ในส่วนของการช่วยทำเพจทำบล็อกเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว แล้วก็วัฒนธรรมให้กับคนไทยด้วยค่ะ
มิ้น: ในเอกสารทั้ง 2 ตัวนี้จะมีไกด์ไลน์มาให้ค่ะว่าต้องเขียนตอบโจทย์อะไรบ้าง Personal Statement เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เป็นแรงจูงใจให้เราสมัครทุนนี้คณะนี้ และก็เขียนประมาณว่าทำไมถึงอยากไปเรียนที่เกาหลี ไปเรียนแล้วเราเชื่อว่าเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรค่ะ
ส่วน Study Plan จะแบ่งเป็นการเรียนภาษาปีแรก กับการเรียนปริญญาตรีจริงๆ 4 ปีค่ะของการเรียนภาษา เราเหมือนเขียนตั้งเป้าหมายไปค่ะ ประมาณว่าภายในครึ่งปีแรกเราจะสอบเกาหลีระดับ 5 ให้ผ่าน แล้วภายใน 1 ปีจะสอบระดับ 6 ให้ได้ประมาณนี้ค่ะ ของมหา'ลัยจะเขียนเป็นเหตุผลที่เลือก ม. แต่ละแห่งกับวิชาไหนที่น่าสนใจบ้าง สรุปด้วยตั้งเป้าหมาย(อีกแล้ว) ว่าจะตั้งใจเรียนให้ได้เกรดสวยๆไปประกอบอาชีพหรือต่อปริญญาโทค่ะ (แอบเขียนไปด้วยว่าช่วงปิดเทอมจะกลับไปเป็นติวเตอร์สอนภาษาเกาหลีให้เด็กไทยราคากันเองค่ะ มีใครสนใจเรียนกับเราเปล่า 555555)
ส่วน Study Plan จะแบ่งเป็นการเรียนภาษาปีแรก กับการเรียนปริญญาตรีจริงๆ 4 ปีค่ะของการเรียนภาษา เราเหมือนเขียนตั้งเป้าหมายไปค่ะ ประมาณว่าภายในครึ่งปีแรกเราจะสอบเกาหลีระดับ 5 ให้ผ่าน แล้วภายใน 1 ปีจะสอบระดับ 6 ให้ได้ประมาณนี้ค่ะ ของมหา'ลัยจะเขียนเป็นเหตุผลที่เลือก ม. แต่ละแห่งกับวิชาไหนที่น่าสนใจบ้าง สรุปด้วยตั้งเป้าหมาย(อีกแล้ว) ว่าจะตั้งใจเรียนให้ได้เกรดสวยๆไปประกอบอาชีพหรือต่อปริญญาโทค่ะ (แอบเขียนไปด้วยว่าช่วงปิดเทอมจะกลับไปเป็นติวเตอร์สอนภาษาเกาหลีให้เด็กไทยราคากันเองค่ะ มีใครสนใจเรียนกับเราเปล่า 555555)
แก้ม: ทั้งสองฉบับต้องพยายามเขียนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเรา > Personal statement จะเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเองค่ะ การศึกษา ประสบการณ์ กิจกรรมต่างๆที่เคยเข้าร่วมค่ะ บอกถึงเหตุผล ความสนใจในประเทศเกาหลีค่ะ หลักๆคือพรีเซ้นความเป็นตัวเองค่ะ
ส่วน Study plan เป็นการเขียนแผนการเรียนคร่าวๆ ก็บอกว่าเราวางแผนการเรียนยังไงทั้งมหาวิทยาลัยและการเรียนภาษาค่ะ บอกเหตุผลที่เลือกคณะและมหา’ลัยนั้นๆค่ะ เพราะตอนเราเลือกมหา’ลัย เราก็ต้องหาข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ก็บอกเหตุผล บอกความตั้งใจผ่านตัวอักษรไปค่ะ
ส่วน Study plan เป็นการเขียนแผนการเรียนคร่าวๆ ก็บอกว่าเราวางแผนการเรียนยังไงทั้งมหาวิทยาลัยและการเรียนภาษาค่ะ บอกเหตุผลที่เลือกคณะและมหา’ลัยนั้นๆค่ะ เพราะตอนเราเลือกมหา’ลัย เราก็ต้องหาข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ก็บอกเหตุผล บอกความตั้งใจผ่านตัวอักษรไปค่ะ
แก้มกับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติ
น้องๆ ได้ยื่นคะแนนสอบทางภาษา กันด้วยรึเปล่าคะ ถ้ายื่นใช้คะแนนสอบอะไรยื่น และ ได้เท่าไหร่กันบ้างคะ
พลอย: เรายื่น TOEIC 825 ค่า
เอิร์น: IELTS 7.5 อย่างเดียวเลยค่า
มิ้น: เรายื่น TOEIC 875 กับ TOPIK ระดับ 2 ไปค่ะ
แก้ม: ยื่นคะแนนภาษาอังกฤษค่ะ ยื่น TOEIC ค่ะ 835 คะแนนค่ะ
นอกจากคะแนนสอบทางภาษาแล้ว น้องๆ ได้ยื่นแฟ้มสะสมผลงานกันหรือเปล่าคะ
พลอย: เรายื่นแฟ้มสะสมผลงานตอนรอบสัมภาษณ์ค่ะ (แต่อยากบอกว่ากรรมการดูแป๊บเดียวมาก 5555 ความสนใจส่วนใหญ่อยู่ที่การถามเราและ Personal statement เรามากกว่าค่ะ)
เอิร์น: ยื่นค่ะ คิดว่าแฟ้มสะสมผลงานเป็นอะไรที่สำคัญมาก ถึงแม้กรรมการจะไม่ได้ดูนานมากมายก็ตาม 555 แต่ก็ทำให้เขาเห็นถึงความตั้งใจของเรา แล้วก็ได้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้นอีกด้วยค่ะ ตัวนี้ใช้เวลาทำนานพอๆ กับ Personal Statement เลย
มิ้น: ยื่นตอนสอบสัมภาษณ์ค่ะ เป็น resume คร่าวๆ ก็เลือกผลงานที่เด่นๆ ที่พรีเซนต์ตัวเราได้ดีที่สุดค่ะ ส่วนใหญ่เราเอากิจกรรมด้านภาษากับที่เคยไปต่างประเทศค่ะ เช่น เคยเข้าร่วมโครงการ WCF ที่ KAIST ในเกาหลี, เคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกากับจีน, เคยได้เป็นล่ามภาษาจีนประมาณนี้ค่ะ แล้วก็มีพวกกิจกรรมในโรงเรียนตั้งแต่กีฬาสียันจิตอาสาเลยค่ะ
แก้ม: ตอนส่งเอกสารเราแนบพอร์ตไป 1 ชุดค่ะ แล้วก็เอาไปตอนสัมภาษณ์ด้วยค่ะ แนะนำตัวคร่าวๆ กิจกรรมแลกเปลี่ยน รางวัล และผลงานต่างๆค่ะ เอาที่เด่นๆ ค่ะ ไม่ต้องหนามากค่ะ :))
มิ้นออกทริปฤดูใบไม้ผลิกับเพื่อนๆชมรมถ่ายภาพ
ตอนสอบสัมภาษณ์บรรยากาศเป็นอย่างไรบ้างคะ
พลอย: ตอนแรกคิดว่าจะต้องตื่นเต้นมากๆ แต่ปรากฏว่าช่วงก่อนสัมภาษณ์ที่นั่งรอกับเพื่อนๆ คนอื่น ช่วงนั้นได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เป็นบรรยากาศที่ดีและน่ารักมากๆ ทำให้หายตื่นเต้นไปเลยค่ะ 5555 พอเข้าห้องสัมภาษณ์ เราเป็นรอบบ่าย คณะกรรมการทั้ง 6 คน ดูเหน็ดเหนื่อยมากๆ ค่ะ 5555 ก็เริ่มจากให้เราแนะนำตัว จากนั้นคำถามก็อิงมาจาก Personal Statement ที่เราเขียนไปเลยค่ะ เช่น โรงเรียนม.ปลายหลักสูตรเราเป็นอย่างไร ต่างจากโรงเรียนอื่นๆ ยังไงบ้าง (ใครสนใจอ่านได้ที่นี่ค่ะ อิอิ http://www.dek-d.com/education/38113/ ) ให้เล่าโปรเจคต่างๆ ที่เราเคยทำ และทำไมถึงอยากไปเรียนที่เกาหลี และทำไมถึงคิดว่าตัวเองเหมาะสมต่อการได้รับทุนนี้ ประมาณนี้ค่ะ อ่อ ทั้งหมดสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษนะคะ
เอิร์น: ตอนนั้นตื่นเต้นมาก แต่เพื่อนๆ ที่ไปรอสัมภาษณ์ด้วยกันน่ารักทุกคนค่ะ คุยกันสนุกสนานลืมเครียด ก็ First Impression ยิ้มสวยๆ ไหว้สวยๆ คำถามที่โดนถามก็ไม่ออกนอกแนวที่เตรียมมาค่ะ ทริคของเอิร์นคือเตรียมประเด็นสำคัญๆ ที่เราอยากให้เขารู้เกี่ยวกับเรา นอกเหนือจากที่เราได้เขียนไปในเอกสาร พยายามเอาไปตอบในคำถามที่เขาให้มา แล้วก็ถ้ามีกรรมการยิงคำถามภาษาไทยมา ตอบเป็นภาษาอังกฤษให้กรรมการคนอื่นเข้าใจด้วย ตอนนั้นรู้สึกไม่ได้พูดสิ่งที่เราอยากให้กรรมการรู้ออกไปหมดจริงๆ เลยยกมือขอพูดเพิ่มก่อนจบด้วยค่ะ 5555
มิ้น: ไม่กดดันเหมือนที่คิดไว้เลยค่ะ ปีเรากรรมการ 6 คน เป็นคนเกาหลี 3 คนไทย 3 ค่ะ เข้าไปก็ไหว้แล้วแจกยิ้มไว้ก่อนเลย จากนั้นกรรมการจะขอให้แนะนำตัว เราก็แนะนำเป็นภาษาเกาหลีไปค่ะ(เตี๊ยมมาๆ 555) กรรมการดูจะชอบหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถามคำถามต่อเป็นภาษาเกาหลีไม่หยุดเลยค่ะ ไม่ได้เกรงใจขีดจำกัดความรู้เราเลยㅠㅠ แล้วก็มีกรรมการคนไทยที่พูดภาษาจีนได้ พอเห็นว่าเราเคยไปแลกเปลี่ยนที่จีนมาอยู่ดีๆ ก็เริ่มคุยจีนกับเราเฉย ถามว่าทำไมไม่ไปเลือกต่อที่จีนล่ะ สรุปแล้วรวนไปหมด พูดผสมเกาหลีจีนอังกฤษมั่วเลยค่ะ แต่ก็สนุกมากๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ ส่วนใหญ่คำถามของเราจะเกี่ยวกับประสบการณ์ผลงานเด่นๆกับคณะที่เราเลือกนี่แหละค่ะ คำตอบก็คือสิ่งที่เราเขียนใน SOP กับ Study Plan ทั้นนั้นเลยค่ะ
แก้ม: บรรยากาศเป็นกันเองมากๆ ค่ะ ไม่กดดัน กรรมการน่ารักมากค่ะ มีทั้งกรรมการชาวเกาหลีและไทยค่ะ ใช้ภาษาอังกฤษในการสัมภาษณ์ค่ะ แล้วเราก็เตรียมแนะนำตัวเป็นภาษาเกาหลีไปด้วยค่ะ พยายามให้กรรมการเห็นถึงความตั้งใจค่ะ
พลอยกับเพื่อนๆชาวต่างชาติ
ในช่วงปีแรก จะเป็นปีแห่งการเรียนภาษาเกาหลี ตอนนี้น้องๆ เรียนที่ไหน ระดับเท่าไหร่ บรรยากาศเป็นยังไงบ้างคะ
พลอย: เราเรียนที่ Sunmoon University ค่ะ อยู่ต่างจังหวัดที่เมืองอาซาน เรามาเริ่มเรียนภาษาที่เกาหลีตั้งแต่ระดับแรกเลย ตอนนี้เลยอยู่ระดับ Intermediate 2 ค่ะ บรรยากาศการเรียนก็คือเพื่อนร่วมห้องจะเป็นชาวต่างชาติหมดเลย แต่ที่มหาวิทยาลัยนี้จะมีเด็กญี่ปุ่นเยอะมาก เหมือนได้เรียนวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปด้วยเลยค่ะ ด้เรียนครบทุกทักษะเลยค่ะ เขียน อ่าน ฟัง พูด เรียนวันละแค่ 4 ชั่วโมงเองด้วย แอบสบายอยู่ค่ะ 5555
เอิร์น: ตอนนี้เรียนภาษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัย Pai Chai University (อ่านว่า แพแจนะคะ) เมืองแดจอน กำลังขึ้นกึบ 3 ค่ะ เรียนเป็นภาษาเกาหลีล้วนตั้งแต่คลาสแรกเลยค่ะ คุณครูที่นี่น่ารักมากๆ คอยดูแลทั้งทักษะภาษาแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ด้วย อบอุ่นมากทีเดียว ก่อนสอบโทปิกครูก็แอบเขียนโน้ตถึงแต่ละคนติดกล่องขนมให้ด้วย บางทีก็มีโอกาสได้ไปข้างนอกกับครู หรือเล่นบาสเก็ตบอลกับครูด้วยค่ะ เพื่อนๆ ก็มีมาจากเกือบทุกทวีปเลยค่ะ ห้องนึงประมาณ 10 – 12 คน บรรยากาศอินเตอร์มากจริงๆ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของแต่ละประเทศสนุกมากค่ะ เรียนทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน แล้วก็คลาสโทปิก เรื่องเรียนนี่ไม่ชิลล์เท่าไหร่ 555 แต่รู้สึกว่าเขามีแบบแผนในการสอนที่ทำให้เราซึมซับได้เร็วและใช้ได้จริง การบ้านสร้างสรรค์มาก มีให้มิชชั่นมาอ่านแล้วทำตาม คล้ายๆ เล่นบัดดี้ มีให้ทำวีดีโอกับเพื่อน มีสัมภาษณ์สนุกดีค่ะ
มิ้น: เราเรียนที่ Silla University ค่ะ อยู่ในปูซาน ตอนรู้แรกๆ ว่าได้มหาลัยนี้นี่ตกใจมาก เราแบบไม่เคยได้ยินชื่อ ม.นี้มาก่อนเลยค่ะ ก็แอบเซ็งว่าอยู่ตรงไหนในเกาหลีเนี่ย แต่พอรู้ว่าอยู่ปูซานก็ดีใจค่ะ จะให้อยู่โซลทั้ง 5 ปีก็น่าเบื่อแย่ ปูซานเป็นเมืองใหญ่ชายหาดเยอะ แถมคนโซลยังชอบมาเที่ยวกันให้พรึ่บเลย บรรยากาศในห้องเรียนสนุกสนานมากค่ะ แต่ก็เรียนอัดแน่นอยู่เหมือนกันนะ ห้องเรามีกันแค่ 10 คน เอเชียครึ่งฝรั่งครึ่งเลย หลากหลายดี มาเกาหลีไม่คิดว่าจะได้เพื่อนต่างชาติเยอะขนาดนี้ แล้วก็ TOPIK รอบล่าสุดที่สอบไปเราได้ระดับ 5 แล้วค่าา
แก้ม: เรียนที่ Dongseo University ค่ะ อยู่ที่ปูซานค่ะ ม.เราเรียนค่อนข้างหนัก แอบกดดัน แต่สนุกดีนะคะ ทุกคนตั้งใจกันมากๆ เลยค่ะ ที่ ม.จะแบ่งเป็น คลาส A-E ค่ะ ซึ่งเราอยู่คลาส A ซึ่งเป็นคลาสเริ่มต้น ตอนไปแทบไม่มีพื้นฐานอะไรเลยค่ะ 55555 เรียนก็วันละ 4-6 ชม. แล้วแต่วันไหนมีเรียนเพิ่ม หรือว่ามีคลาสการเขียนค่ะ
เอิร์นทำโคชูจังกับเพื่อนๆ
นอกจากการเรียนภาษาแล้ว น้องๆ ได้ทำกิจกรรมอะไรสนุกๆ ที่เกาหลีกันรึเปล่าคะ
พลอย: ทางมหาวิทยาลัยที่เรียนภาษาก็มีกิจกรรมมาให้เข้าร่วมอยู่เรื่อยๆ ค่ะ มีได้ไปทำงานจิตอาสาผสมเกสรให้ต้นแพร กิจกรรมปั่นจักรยาน Peace road ที่ปูซาน และกิจกรรมทัศนศึกษาที่สวนสนุก Lotte world ค่ะ แต่ละกิจกรรมก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนเกาหลีและเปิดประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมใหม่ๆ เยอะเลยค่ะ นอกจากนั้นก็มีไปท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ ต่างชาติด้วยค่ะ
เอิร์น: ทางสถาบันเรียนภาษาจัดให้เยอะอยู่ค่ะ ทั้งไปทำอาหารเกาหลี ทำโกชูจัง ทำเต้าหู้ เครื่องประดับ เที่ยวเจจู ทำผ้ามัดย้อม ดื่มชา เก็บมะเขือเทศ เล่นการละเล่นพื้นเมืองของที่นี่ แลกเปลี่ยนกับโรงเรียนม.ปลายเกาหลี ส่วนตัวถ้ามีเวลาว่าง ก็เขียนเพจแล้วก็ทำวีดีโอ Youtube ด้วยค่ะ
มิ้น: ที่มหา'ลัยเราใจดีชอบพาไปเลี้ยงบุฟเฟต์ประจำเดือนค่ะ เลี้ยงบ่อยมากๆๆๆๆ ผิดๆ อันนี้ไม่เรียกกิจกรรม 555555 มหา'ลัยเราจะมีกิจกรรมสำหรับนักเรียนต่างชาติทุกเดือนเลยค่ะ มีทั้งกีฬาสี, ไป MT(คล้ายๆ เข้าค่ายบ้านเรา), ทำอาหาร, มีพาไปสวนสนุกด้วยค่ะ เราเองก็เคยสมัครโครงการ homestay ไปค่ะ ไปอยู่บ้านคนเกาหลี 2 วัน 1 คืน สนุกมากกก แล้วก็มีไปเข้าชมรมรวมกับเด็กมหา'ลัยเกาหลีค่ะ เราอยู่ชมรมแบดมินตัน กับชมรมถ่ายภาพ เข้าชมรมนี่ได้เพื่อนคนเกาหลีเยอะจริงๆ นะ น้องๆรุ่นต่อไปถ้ามีโอกาสเราแนะนำเลยๆ ปิดท้ายอยู่นี่คือจะได้กระทบไหล่ดารานักร้องเยอะมาก ใครสายแข็งด้านนี้นี่น่าจะชอบ... อ้าวผิดดดดดด
แก้ม: ที่ ม.ก็มีกิจกรรมไปดูดอกพอดกด (ซากุระ) ที่เมืองข้างๆ แต่วันนั้นเราดันป่วยค่ะ 55555 มีวิชาเรียนให้เลือกเพิ่ม เช่น การปั้นดินเหนียว เป่าขลุ่ยเกาหลี วัฒนธรรมเกาหลี ซึ่งเราเลือกคลาสวัฒนธรรมค่ะ อาจดูน่าเบื่อ แต่จริงๆ และสนุกนะคะ เรียนรู้พิธีต่างๆ นอกจากกิจกรรมที่ ม.จัดให้แล้วยังมีอีกมากมายเลยค่ะ เพราะเราเมืองปูซานก็มีเทศกาลและสถานที่ต้องเที่ยวค่อนข้างเยอะค่ะ อย่างเช่น เทศกาลทราย เทศกาลจับปลาพื้นบ้าน
แก้มกับเพื่อนๆในชุดฮันบก
ตอนนี้น้องๆ ก็อยู่ที่เกาหลีกันมาครึ่งปีกว่าแล้ว มีการปรับตัวกับการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง มี Culture shock ในช่วงแรกๆ กันหรือเปล่า
พลอย: ช่วงนี้หลายๆ อย่างก็เข้าที่เข้าทางขึ้นเยอะเลยค่ะ ช่วงแรกๆ จะมีปัญหาเรื่องภาษาเป็นหลักค่ะ เพราะว่าคนเกาหลีไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษ ยิ่งเราไม่ได้อยู่เมืองหลวงอย่างโซลแล้วด้วย เลยจะเจอคนใช้ภาษาอังกฤษน้อยมาก เวลาจะสื่อสารอะไรก็ยากไปหมดค่ะ เรื่องการเดินทาง ตั้งแต่รถบัสประจำทาง รสบัสของมหา’ลัย รถแทกซี่ รถส่วนตัว คนขับที่นี่ใจร้อนมากกก เค้าขับกันไวและเบรคกระชั้นชิดกันมากๆ นั่งแล้วหวาดเสียวใจหายตลอดค่ะ 5555 และก็เรื่องเพื่อนค่ะ เพราะเราอยู่ร่วมกับเพื่อนหลายชาติหลายวัฒนธรรม ช่วงแรกๆ ก็จะมีผิดใจกันบ้าง เพราะความเห็นและความเข้าใจต่างกัน แต่พอทำความรู้จักพูดคุยกัน ก็สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เลยค่ะ
เอิร์น: ตอนแรกๆ ยากมากค่ะ เพราะมาเกาหลีโดยที่ไม่รู้อะไรเลยในเรื่องของภาษา 555 แล้วคนที่นี่ก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย น่าจะเป็นเพราะไม่ได้อยู่โซลด้วยแหละค่ะ 555 แล้วก็ Homesick ซึ่งเป็นหนักพอสมควรเลย ดีว่ามีพี่ๆ คนไทยคอยช่วยแล้วก็มีครูที่สถาบันสอนภาษาคอยช่วย Culture Shock น่าจะเป็นการดื่มจัด สูบจัดของคนที่นี่แล้วก็ความไม่ค่อยเฟรนด์ลี่กับคนต่างชาติเท่าไหร่ของคนเกาหลีค่ะ
มิ้น: เราโดยส่วนตัวไม่ได้มี culture shock เท่าไหร่ค่ะ (มีก็แต่เจริญอาหารจนน้ำหนักขึ้น) ด้วยความที่เกาหลีก็เป็นเอเชียเหมือนกัน วัฒนธรรมก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ค่ะ แต่ก็มีเรื่องที่ค่อนข้างน่าตกใจแต่ก็นับว่าเป็นด้านดีๆ คือ delivery ที่เกาหลีค่ะที่นี่ปกติจะส่งกันถึงตี 1 ตี 2 ค่ะ บางร้านบริการ 24 ชั่วโมงเลยก็มี ช่วงอ่านหนังสือสอบเรากับเพื่อนเคยหิวข้าวกันมากๆ ตอนตีสอง แล้วเซเว่นในมอก็ปิดไม่มีอะไรทานเลยค่ะ สุดท้ายได้อาหารมาส่งถึงหน้าหอ รอดชีวิตกันไป 555555
แก้ม: เรื่องการใช้ชีวิตคนเดียวค่ะ ปรับตัวเยอะเลย ไม่มีพ่อแม่คอยช่วย เพื่อนก็เป็นต่างชาติ แนวคิดอาจแตกต่างกันไปบ้าง เรื่องภาษาก็สำคัญค่ะ ตอนไปภาษาเกาหลีเราได้แค่อ่านกับทักทาย แล้วคนเกาหลีไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษค่ะ แรกๆ ก็ภาษามือช่วยค่ะ ส่วนเรื่องที่ไม่เชิงเป็น culture shock แต่เป็นความแตกต่างมากกว่าค่ะ คือชื่อเล่นค่ะ ตอนนี้เพื่อนๆ ในคลาสจะเป็นเพื่อนกลุ่มทุนค่ะ ซึ่งเป็นต่างชาติทั้งหมดค่ะ ซึ่งเพื่อนๆ จะไม่มีชื่อเล่นกัน แล้วทุกคนก็จะไม่เข้าใจ พยายามเรียกเราว่าพัชรพรค่ะ ทุกวันนี้ยังมีคนที่พยายามเรียกเราแบบนั้น 5555
มิ้นถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับเพื่อนๆหลังจบคอร์ส
หลังจากที่น้องๆ เรียนจบปริญญาตรีแล้ว น้องๆ วางแผนไว้อย่างไรกันบ้างคะ
พลอย: ตอนนี้แผนยังไม่ชัดเจนเลยค่ะ เพราะว่ายังไม่เริ่มเรียนปริญญาตรีเลยนึกภาพไม่ค่อยออก แต่ที่คิดไว้ก็อยากฝึกทำงานหาประสบการณ์ที่เกาหลี และศึกษาต่อระดับปริญญาโทค่ะ
เอิร์น: คิดไว้ว่าอยากลองทำงานหาประสบการณ์ที่นี่ก่อนค่ะ ทำงานสักพักก็อยากเรียนต่อปริญญาโทเหมือนกันแต่ยังไม่แน่ใจว่าที่ไหนดี 555 ส่วนเรื่องที่ว่าจะอยู่ต่อเกาหลีหรือกลับไทยยังไม่คิดค่า
มิ้น: เราตั้งใจจะต่อปริญญาโทค่ะ ก็มีทุนที่เล็งๆ ไว้เหมือนกันค่ะ หรือไม่ก็อาจหาประสบการณ์ทำงานก่อนซักปีสองปีค่ะ
แก้ม: อยากต่อป.โทค่ะ หรือถ้ามีโอกาสทำงานในเกาหลีก็อยากเก็บประสบการณ์สัก 2-3ปีก่อนค่ะ
สุดท้ายนี้ พี่เชื่อว่า มีน้องๆ ชาว Dek-D หลายคนที่สนใจอยากได้ทุนรัฐบาลเกาหลี น้องๆ มีคำแนะนำดีๆ หรือ มีอะไรจะฝากมั้ยเอ่ย
พลอย: น้องๆ ที่ตั้งใจจะสมัครทุนนี้ สู้ๆ น้า ใส่ความตั้งใจและแสดงออกมา (ผ่านตัวอักษร 5555) ให้กรรมการเห็นถึงตัวตนและจุดเด่นของเรา สำหรับเรา เรารู้สึกว่าที่สำคัญที่สุดคือการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง เราเชื่อว่าจะทำให้มีความโดดเด่นประทับใจกรรมการได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องผลสอบวัดระดับภาษามากนะๆๆ (แต่ว่าก็อย่าทิ้งภาษาอังกฤษนะ 5555) เราแนะนำว่าไปทุ่มกับ Personal statement และ Study plan มากๆ แล้วก็ต้องเตรียมเอกสารเช็กดีๆ ต้องรวบรวมสติไว้ตอนจัดการ เพราะมันเยอะจริงๆ 5555 ยังไงก็ตาม ทำให้เต็มที่นะคะ เราเป็นกำลังใจให้ :D
เอิร์น: ถึงน้องๆ ทุกคนที่อยากได้ทุนนี้ เป็นกำลังใจให้นะค้า สู้ๆ กล้าทำ กล้าเสี่ยงอย่างเต็มที่ พี่รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเสี่ยงมาเตรียมเอกสารสมัครทุนในตอนที่ต้องเตรียมอ่านหนังสือเข้ามหาลัย แต่โอกาสที่เราจะได้ลองสู้เพื่อความฝันของเรามันมีไม่มาก จะสำเร็จหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าเราได้ทุ่มสุดตัวแล้วจริงๆ แล้วมันก็ไม่สำคัญว่าคู่แข่งน้องจะมีกี่คน จะเก่งแค่ไหน สำคัญว่าน้องคิดว่าตัวเองเหมาะสมแค่ไหนมากกว่า คิดในแง่ดีไว้เสมอ พี่รออยู่ที่เกาหลีนะค้า <3
มิ้น: สำหรับเรานะ ตอนเราสมัครเราไม่ได้คิดถึงผลที่จะออกมาเลยค่ะ เพราะได้ยินชื่อเสียงมาว่าทุนนี้ยากมากแถมรับน้อยด้วย แต่เราก็ต้องไม่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนามนะคะ ทำส่วนที่เราทำได้นั่นก็คือส่วนของเอกสารต่างๆ เขียนออกมาให้เต็มที่ให้น่าสนใจเป็นตัวของตัวเองค่ะ อย่าไปเสียเวลากังวลกับผลลัพธ์มันเป็นเรื่องของอนาคต เราเชื่อว่าถ้าทำปัจจุบันให้ดี ผลที่ตามมาก็จะดีเองค่ะ ทุนนี้ไม่ใช่ทุนสำหรับเด็กฉลาดที่สุดหรือเก่งที่สุดนะ เราว่ามันเป็นทุนสำหรับเด็กที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้านเพื่อไปใช้ชีวิตเรียนต่อต่างประเทศถึง 5 ปีได้สบายๆ ค่ะ ใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเอกสารปรึกษาได้ตลอดเลยนะ หรือคำถามจิปาถะอย่างสงสัยว่าผู้ชายปูซานหล่ออย่างที่เค้าลือกันหรือเปล่าก็ถามได้ค่ะ 55555555
แก้ม: สำหรับน้องๆ ที่กำลังสนใจทุนนี้ ตอนเตรียมเอกสารอาจจะมีเหนื่อยบ้าง แต่อย่าเพิ่งท้อไปนะคะ ตั้งใจทำให้เต็มที่ ลองนึกวันนี้ที่ผลออกมามีชื่อเรา หายเหนื่อยแน่นอนค่ะ คนได้ทุนนี้อาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เป็นคนที่เตรียมตัว และพร้อมมากที่สุดมากมากกว่าค่ะ ก็ขอให้น้องๆ ทุกคนตั้งใจ และพยายามทำฝันให้เป็นจริงนะคะ พี่เป็นกำลังใจให้ :)) แล้วเจอกันที่เกาหลีน้าาา
ป้ายชื่อของทุกคนในวันปฐมนิเทศของนักเรียนทุน KGSP
ขอบคุณน้องๆ ทั้งสี่คนที่มาให้สัมภาษณ์กันอย่างเจาะลึก ทุกคนทั้งน่ารักและเก่งกันมากๆเลย แถมข้อมูลและประสบการณ์ที่น้องๆ ให้มา เรียกว่าจัดเต็ม เป็นประโยชน์กับน้องๆ ชาว Dek-D.com ที่กำลังสนใจทุนรัฐบาลเกาหลีหรือสนใจไปเรียนที่ประเทศเกาหลีอย่างมากเลยค่ะ พี่ก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับน้องๆ ที่กำลังวางแผน หรือเตรียมตัวสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีทุกคนเลยนะคะ !
7 ความคิดเห็น
อยากได้ช่องทางติดต่อพี่ๆอ่าค่ะ หนูกำลังจะสมัครปีนี้
ข่อช่องทางการติดต่อด้วยได้ไหมครับ
ถ้าเลือกคณะเกี่ยวกับการละครและภาพยนต์ยื่นผ่านมหาลัยได้ไหมค่ะ เพราะยื่นทางนี้มีสิทธิได้มากกว่ายื่นผ่านทูต