ครัวโหด Hell's Kitchen เรียลลิตี้โชว์สุดพีค ราวกับ เดอะ เฟซ เวอร์ชั่นพ่อครัว

        หารายการเรียลลิตี้ต่างประเทศดูไปเรื่อยๆ แล้วก็เจอเรียลลิตี้โชว์ชื่อ Hell's Kitchen เวอร์ชั่นอเมริกา ที่ดูแล้วบอกเลยว่าแซ่บ ตื่นเต้น จิกเบาะ พอๆ กับ The Face ทีเดียว ถ้าใครไม่รู้จัก หรือเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ยังไม่เคยลิ้มรสความเผ็ดร้อนของรายการนี้ ก็มาทำความรู้จักกันในบทความนี้เลยจ้า
 

คอนเซปต์รายการ Hell's Kitchen

        เหมือนเรียลลิตี้โชว์ทั่วไป Hell's Kitchen เป็นรายการที่เฟ้นหาผู้เข้าแข่งขันที่สามารถทำภารกิจได้จนถึงด่านสุดท้ายและรับรางวัลอันล่อตาล่อใจนั่นคือ ได้มีโอกาสเปิดร้านอาหาร โดยมีตัวเองเป็น Hed Chef หรือหัวหน้าพ่อครัวนั่นเอง
        รายการนี้เปิดตัวที่ประเทศอังกฤษก่อน และได้รับความนิยมมากจนอเมริกาซื้อลิขสิทธิ์มาทำบ้าง โดยมีไอคอนของรายการเป็น เชฟ กอร์ดอน แรมซีย์ เชฟผู้มีชื่อเสียงทั้งเรื่องรสชาติอาหารที่คนดังทุกคนอยากลิ้มลอง มาตรฐานการบริการอันสูงปรี๊ด และวาจาอันเผ็ดร้อนที่ใช้ต่อว่าผู้เข้าแข่งขันจนชาวอินเทอร์เน็ตชอบเอามาทำเป็น meme บ่อยๆ
        เวอร์ชั่นที่พี่น้องดูเป็นเวอร์ชั่นอเมริกา ซึ่งค่อนข้างแซบกว่าเวอร์ชั่นอังกฤษกว่าค่ะ
 

กติกาการแข่งขัน

        เวอร์ชั่นที่ฉายที่อังกฤษดั้งเดิมนั้นจะมีเชฟแรมซีย์แค่ซีซั่นแรก (หลังจากนั้นติดสัญญา เลยมาออกรายการของช่องนี้ไม่ได้อีก) ซึ่งเป็นการคัดเลือกเซเลบมาแข่งทำอาหารในครัว โดยมีเชฟแรมซีย์เป็นผู้สอน และคัดคนออกจากเสียงส่วนมาก
        เวอร์ชั่นของอเมริกาเป็นเวอร์ชั่นที่เป็นที่นิยมมากกว่า และขายลิขสิทธิ์ไปประเทศอื่นๆ มากกว่า นั่นคือยกเอาเชฟแรมซีย์เป็นไอคอนของรายการเลย และคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเป็นคนธรรมดาทั่วไป 12 คนมาแบ่งทีมเป็นทีมสีน้ำเงิน และทีมสีแดง
        ถึงแม้ว่ารายการนี้มีคนชนะได้แค่คนเดียว แต่ในช่วงแรก 2 ทีมนี้จะต้องแข่งกันเองก่อน (คล้ายๆ The Face ที่ตอนแรกแข่งกันเป็นทีม รอบท้ายๆ จึงค่อยแข่งเดี่ยว) ผู้เข้าแข่งขันจะได้นอนในหอพักใกล้กับครัวที่ใช้ถ่ายทำรายการ และได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
        ในแต่ละวัน สองทีมนี้จะได้รับภารกิจช่วงเช้า เป็น Challenge เล็กๆ จากเชฟแรมซีย์ อาจเกี่ยวกับการฝึกทำพาสต้า หรือหั่นเนื้อ ทีมที่ชนะเงื่อนไข จะได้รางวัลเป็นกินอาหารกลางวันสุดหรู ล่องเรือ หรือเที่ยวสวนสนุก ส่วนทีมที่แพ้ส่วนใหญ่ก็จะได้ทำความสะอาดห้องครัว ซักผ้า ทำความสะอาดหอพัก
        ส่วนภารกิจหลักจะเริ่มในตอนค่ำ นั่นคือ เปิดร้านอาหารที่ชื่อ Hell's Kitchen แล้วช่วยกันทำอาหารในครัวเสิร์ฟแขกที่มารับประทานอาหารให้ได้เร็วที่สุด อร่อยที่สุด และครบหมดทุกออเดอร์
        เชฟแรมซีย์จะทำหน้าที่เป็น Head Chef หรือหัวหน้าพ่อครัว คอยรับออเดอร์ ดูแลความเรียบร้อยในครัวทั้ง 2 สี และเช็กอาหารที่จะปล่อยออกไปยังโต๊ะแขกต่างๆ
        เมื่อเสร็จงาน เชฟแรมซีย์จะตัดสินว่าทีมไหนเป็นผู้แพ้ และจะให้คนที่ทำดีที่สุดของสีนั้นเลือกคนในทีมมา 2 คนที่จะถูกเชฟแรมซีย์พิจารณาคัดออก
 

ความร้อนแรงของครัวนรก

        ขึ้นชื่อว่า Hell's Kitchen แน่นอนว่าร้านอาหารนี้ไม่ธรรมดาค่ะ
        ความแตกต่างของรายการนี้จากเรียลลิตี้โชว์อื่นๆ คือ เขาไม่ได้เลือกผู้เข้าแข่งขันแค่ทักษะที่จำเป็นสำหรับโชว์เพียงอย่างเดียว อย่าง The Face เราคงเห็นว่าคุณแม่ลูกเกด และกรรมการอีก 2 ท่านต่างก็พยายามเลือกผู้เข้ารอบที่ได้ทั้งรูปร่าง หน้าตา และทักษะในการเป็นนางแบบ
        แต่ Hell's Kitchen ทักษะเป็นเรื่องรอง นิสัยเป็นเรื่องหลัก โปรดิวเซอร์กับทีมงานวางมาตรฐานไว้ว่าคนที่มาร่วมรายการนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อครัวมือฉมัง ไม่จำเป็นต้องทำอาหารได้ระดับภัตตาคาร 5 ดาว ขอแค่ "ใช้มีดเป็น" พอ จบ
        ที่เหลือเป็นเรื่องของ passion หรือความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง และบุคลิกที่โปรดิวเซอร์เชื่อว่าจะทำให้รายการน่าสนใจ เช่น มั่นใจในตัวเองสูง ฯลฯ
        ด้วยความที่ผู้ร่วมรายการหลายคนไม่ได้มีประสบการณ์เป็นเชฟในร้านอาหาร ทำให้พอมาอยู่ในไลน์ห้องครัวก็สร้างหายนะไปตามๆ กัน อย่างซีซั่นแรกมีตั้งแต่ คุณแม่ลูก 6 ที่ทำอาหารเก่งมาก พนักงานบริษัท และผู้ช่วยบริกร
        ความร้อนแรงของรายการมันอยู่ตรงความเป็นมืออาชีพของผู้เข้าแข่งขันนี่แหละค่ะ หลายคนไม่เคยทำงานเชฟในครัวมาก่อน อาจจะรับแรงกดดันไม่ได้ แยกประสาทไม่ออก เพราะหูก็ต้องฟังออเดอร์จากเชฟแรมซีย์ ในหัวก็ต้องคำนวณว่าจะทำอาหารในเสร็จภายในกี่นาที มือก็ต้องกลับสเต๊กไป และต้องทำหลายๆ เมนูพร้อมกันได้ด้วย ไม่งั้นไม่ทันแน่ แถมอาหารบางจานยังต้องทำร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่อยู่อีกฝั่งครัว
        และที่สำคัญที่สุดคือ แรงกดดันจากเชฟแรมซีย์ ซึ่งตามรูปแบบรายการจะต้องรับบทบาทเป็นหัวหน้าพ่อครัวที่ขวานผ่าซาก และพูดจาตรงไปตรงมา ถ้าใครทำพลาด ก็จะเจอเชฟแรมซีย์เรียกมาต่อว่า ใครกล้าสวนกลับนี่เรื่องยาวแน่
        พี่น้องจะไม่สปอยล์อะไรมาก แต่เคยมีผู้เข้าแข่งขันที่ทนคำด่าทอไม่ไหวจนถึงขั้นจะทำร้ายร่างกายเชฟแรมซีย์แล้ว แต่โดนทีมงานลากออกไปซะก่อน และก็มีผู้เข้าแข่งขันที่เดินออกจากห้องครัวไปดื้อๆ เลยด้วยซ้ำ
        แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ทำให้ผู้เข้าแข่งขันหลายคนได้บทเรียนดีๆ และได้รับบทเรียนในการทำงานในครัวจนสามารถทำภารกิจสำเร็จได้ในวันต่อๆ มา
 

ทำไมเชฟแรมซีย์ต้องว่าผู้เข้าแข่งขันขนาดนั้นด้วย

        หลายคนอาจจะมองว่าเชฟแรมซีย์นี่อารมณ์รุนแรงเนอะ แทนที่จะสอนดีๆ ให้กำลังใจลูกน้อง กลับเอาแต่ตะโกนด่าจนลูกค้าที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าครัวทำหน้าเจื่อน (แถมยังเคยว่าแขกที่มาถามหาอาหารถึงในครัวด้วย)
        แต่ที่เชฟแรมซีย์ต้องทำตัวเป็นเครื่องทรมานหูเคลื่อนที่เพราะภาพลักษณ์แบบนี้แหละที่ทำให้ Hell's Kitchen ฝั่งอเมริกันประสบความสำเร็จกว่าฝั่งอังกฤษ (นับว่าโปรดิวเซอร์มองการณ์ไกลมาก)
        และภาพลักษณ์แบบนี้ก็ติดตัวเชฟแรมซีย์ไปยังรายการทำอาหารรายการอื่นๆ ที่เขาไปเข้าร่วมอีกมาก แต่ความจริงแล้วเชฟแรมซีย์เป็นผู้ชายที่สุขุม มีเหตุผล และให้เกียรติคนอื่นมากค่ะ ถ้าได้ดูในรายการ เวลาเชฟแรมซีย์พาผู้เข้าแข่งขันที่ชนะ Challenge ไปกินอาหาร หรือล่องเรือ เชฟก็จะทำตัวปกติ พูดจาดี และพูดเล่นกับผู้เข้าแข่งขันอย่างสนิทสนม
        เชฟแรมซีย์เคยให้สัมภาษณ์ด้วยว่าหลังจบรายการ เขามักจะไปเยี่ยมเยียนผู้เข้าแข่งขันที่ออกไปจากรายการหลังโดนด่า เพื่อสร้างความสมานฉันท์ (แต่ก็มีผู้ร่วมรายการบางคนเหมือนกันที่โกรธจนไม่แม้แต่จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับรายการนี้)
 

ในครัวแรงแล้ว ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันแรงกว่า

        นอกจากการแข่งขันแบบดุเดือดเลือดพล่านในรายการแล้ว หลังจบการแข่งขันแต่ละวัน และผู้เข้าแข่งขันบางคนต้องเลือกเพื่อนร่วมทีมไปให้เชฟแรมซีย์คัดออกนี่ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันค่ะ
        พี่น้องว่าตรงนี้อาจจะต่างจาก The Face ตรงที่เมนเทอร์เลือกส่งคนเข้าห้องดำ ทำให้ตัดปัญหาเรื่องความขัดแย้งในกลุ่ม แต่ Hell's Kitchen นั้นจะให้ผู้เข้าแข่งขันที่ทำได้ดีที่สุดในกลุ่มที่แพ้ ส่งเพื่อนร่วมทีมออกมาแทน คนที่ได้รับคัดเลือก แม้จะรอดจากการโดนคัดออก แต่ก็อาจโดนแรงกดดันจากเพื่อนในทีม
        บางคนถึงขั้นทำการบลัฟ หรือเข้าไปคุยกับคนที่มีสิทธิเลือก ว่าเลือกคนนั้นสิ คนนี้สิ คนนั้นทำแย่กว่าฉันตั้งเยอะ เธอเกลียดคนนั้นไม่ใช่เหรอ ฯลฯ บางคนกอดกัน จับมือกันซะดิบดี บอก ฉันไม่ส่งเธอไปหรอก ฉันจะส่งคนนี้กับคนโน้นแทน พอถึงเวลาจริงกลับหักหลัง ส่งเพื่อนตัวเองนี่แหละออกไปแทน
        แต่ถึงแม้จะมีการแทงข้างหลัง ต่อว่ากันโต้งๆ หรือฟ้องเชฟแรมซีย์ตรงๆ ว่ายัยคนนี้สตรอว์เบอร์รี่แค่ไหน สุดท้ายผู้เข้าแข่งขันทุกคนก็ยังอยู่ร่วมกันได้ ไม่ถึงขั้นตบตีกัน หรือมองหน้ากันไม่ติดเสียทีเดียว
 

จัดฉากใช่มั้ย? รายการไหนก็ทำกัน?

        คนดูมักตั้งคำถามเกี่ยวกับเรียลลิตี้โชว์ว่าจัดฉากหรือเปล่า มีสคริปต์มั้ย ทำไมมันช่างดราม่ามากขนาดนี้ คนๆ นึงจะยอมทำตัวงี่เง่าออกหน้ากล้องให้คนทั้งโลกรู้เลยเหรอ
        สำหรับ Hell's Kitchen พี่น้องก็พยายามหาข้อมูลว่าจัดฉากหรือเปล่า มีใครจับไต๋ได้มั้ย หรือมีผู้เข้าแข่งขันคนไหนออกมาแฉบ้างหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานชัดเจน มีเพียงบทสัมภาษณ์ของโปรดิวเซอร์เรื่องการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน
        โปรดิวเซอร์บอกว่ารายการนี้ไม่ได้จัดฉาก แต่พยายามคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันให้มาสร้างดราม่าในรายการแต่แรกแล้ว (งั้นจะเรียกว่าจัดฉากก็ไม่ได้เนอะ)
        นอกจากนี้ยังเผยว่า อาศัยการตัดต่อช่วยด้วย เพราะเราคงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตลอดตั้งแต่ต้นยันจบวันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โปรดิวเซอร์กับทีมงานจะช่วยกันเลือกบางฉากบางตอน มาเน้นความดราม่าให้มากขึ้น
        มีหลายเหตุการณ์ที่ถูกตัดออกไป ไม่ได้ถ่ายทอดให้ผู้ชมเห็น หลายๆ ครั้งเป็นฉากที่ผู้เข้าแข่งขันท้อแท้ สติหลุด และทนไม่ไหวแล้ว อยากออกจากรายการจะแย่ ซึ่งเชฟแรมซีย์ก็จะเข้าไปคุยกับผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้และเสนอให้ออกจากรายการหรือจะอยู่ต่อ
 

Hell's Kitchen คือร้านอาหารจริงๆ เหรอ?

        ไม่ใช่ค่ะ Hell's Kitchen เป็นแค่ร้านอาหารที่จำลองขึ้นมาในสตูดิโอสำหรับถ่ายเรียลลิตี้โชว์นี้โดยเฉพาะ เปิดเฉพาะวันที่ต้องถ่ายรายการเท่านั้น ไม่ใช่ร้านอาหารที่เราจะขับรถเข้าไปใช้บริการได้
        วิธีการเข้าไปนั่งกินในร้านอาหารนี้จะเหมือนกับการสมัครไปเล่นเป็นบทตัวประกอบตามหนังค่ะ เราต้องลงทะเบียนในเว็บไซต์ของ FOX (ช่องที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการนี้ในอเมริกา) กรอกฟอร์มต่างๆ พร้อมแนบรูปตัวเองด้วย
        หลังจากนั้นที่ต้องทำคือ "รอ" ค่ะ รอว่าเขาจะเลือกเรามั้ย ทีมงานจะคัดเลือกจากข้อมูลที่เรากรอกไป เพราะเขาพยายามคัดเลือกคนมากหน้าหลายตา และมีบุคลิกที่แตกต่างกัน
        เมื่อเราได้รับเลือก ก็แค่แต่งตัวสวยๆ หล่อๆ นั่งรถไปถึงหน้าสตูดิโอ เดินเข้าประตูร้านอาหารที่จัดฉากขึันเหมือนปกติ สั่งอาหาร และ "หวังว่าจะได้อาหาร"
        ยิ่งช่วงแรกๆ ของการถ่ายทำรายการ ผู้เข้าแข่งขันจะทำอาหารไม่ค่อยทันเท่าไร บางครั้งก็เละเทะจนถึงขนาดที่เชฟแรมซีย์ต้องสั่งปิดครัวก่อนเวลาร้านปิดจริง (ร้านปิด 5 ทุ่ม)
        ในการถ่ายทำ มีลูกค้าที่ต้องรออาหารเรียกน้ำย่อยเกิน 2 ชั่วโมงเป็นจำนวนมาก (แค่เรียกน้ำย่อยนะ ยังไม่ถึงอาหารหลักเลย) บางคนทนรอจนได้อาหาร บางคนทนรอ แต่ก็โดนสั่งปิดครัวเสียก่อน บางคนไม่ทน แต่โบกมือลาไปทั้งๆ ที่ท้องว่าง บางคนถึงกับต่อว่า แมตเทรอ'ดี (เป็นคล้ายๆ หัวหน้าฝ่ายบริการ) หรือบริกร
        แต่รายการก็ไม่ใจร้ายใจดำขนาดนั้น ตลอดการกินอาหารที่นี่ เราจะได้รับบริการเครื่องดื่มแบบรีฟิลตลอดเวลา และเครื่องดื่มที่ว่าก็คือไวน์ชั้นดีนั่นเอง และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ เราไม่ต้องจ่ายค่าอาหารเลยสักดอลลาร์เดียว (เพราะงั้นใครที่ได้ไปกินช่วงท้ายๆ รายการที่ผู้เข้าแข่งขันเริ่มปรับตัวทำอาหารได้เร็วขึ้นแล้วก็จะได้กินอาหารมาตรฐานเชฟแรมซีย์แบบฟรีๆ กันเลย)
        และถ้าครัวโดนปิดก่อน เรายังไม่ได้อาหารสักจาน ทางรายการก็เตรียมห้องครัวพิเศษที่อยู่หลังสตูดิโอเอาไว้สำหรับทำอาหารเสิร์ฟแทนไว้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะท้องว่างกลับบ้าน และถ้าใครเมาจากไวน์ไม่อั้น ทางรายการก็แจกเวาเชอร์ให้นั่งแท็กซี่กลับบ้านฟรีๆ ด้วย
 

ความสำเร็จและความล้มเหลวของรายการ

        รายการนี้ประสบความสำเร็จมากค่ะ โดยเฉพาะฝั่งอเมริกัน ที่ผลตอบรับดีเสมอมา นับว่าเป็นรายการเรียลลิตี้ที่มาแรงพอสมควร แต่ก็มีข่าวซุบซิบนินทาออกมาหนาหูเช่นกัน
        เช่นเรื่องที่ว่า แม้รายการนี้จะใช้เชฟระดับโลก แต่ผู้เข้าร่วมรายการกลับเป็นแค่มือสมัครเล่น และผู้ชนะที่รายการสัญญาว่าจะเปิดร้านอาหารให้ก็ไม่ได้ทำตามนั้น บางคนต้องไปเปิดร้านเอง บางคนต้องไปทำงานกับร้านอาหารอื่น และมีอีกหลายคนที่ได้รับมอบหมายจากทางรายการให้ไปเป็นหัวหน้าเชฟประจำร้านอาหาร แต่เจ้าของร้านอาหารกลับปฏิเสธ และบอกให้ทำงานเป็นลูกมือแทน เนื่องจากฝีมือยังไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าครัว
     

    
       บางทีรายการ
Hell's Kitchen อาจประสบความสำเร็จในฐานะเรียลลิตี้โชว์ในวงการอาหาร แต่คงไม่ประสบความสำเร็จในการพาผู้ชนะไปถึงฝั่งฝัน
 
ขอบคุณข้อมูลจาก
wikipedia.org
quora.com

ภาพประกอบจาก FOX
พี่น้อง
พี่น้อง - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

มารร้าย♥ Member 24 ก.ย. 59 18:19 น. 1

ตอนแรกๆที่มี UBC เรื่องนี้ฉายอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นไม่รู้ซี่ซั่นอะไร แต่ว่ามันดูดราม่ามาก บางครั้งเชฟปัดจานผู้เข้าแข่งขันทิ้ง เพิ่งมารู้จากบทความนี่ว่า อ้อ คือผู้แข่งขันไม่มีประสบการณ์มาก่อนสินะ ก็ว่าอยู่ ทำไมอาหารมันดูเละๆ 555 

 แต่เรื่องดราม่าบอกเลย จัดหนักจริงๆ ผู้เข้าแข่งขันใช่เล่นเลย แต่ล่ะคนอยากเอาชีวิตรอดจากครัวนี้มากๆ แถมด่าเชฟตอนสัมภาษณ์ด้วย เราคิดว่าจัดฉากนะ ตอนนี้กระจ่างแล้วครับ เขิลจุงขอบคุณบทความดีๆ(ไม่รู้ว่าหลายปีล่ะ 555)

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด