สุดสยอง! ชวนอ่าน 2 คดี "ฆ่าตัวตายหมู่" ที่แปลกและน่ากลัวที่สุดที่เคยเกิดขึ้น

    สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com บางครั้งการที่เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ดีนะคะ หากมันทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในบางด้านหรือเป็นกำลังใจให้ชีวิตเรา แต่บางครั้งเรามักเห็นข่าวแปลกๆ ของกลุ่มลัทธิหรือกลุ่มคนที่มีความเชื่อและคำสอนที่คนส่วนมากไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ และบางครั้งพวกเขาก็มักมีกิจกรรมแปลกๆ ที่คนธรรมดาก็เข้าไม่ถึง วันนี้ พี่นิทาน จะมาเล่าเรื่อง 'การฆ่าตัวตายหมู่' ที่น่ากลัวและแปลกที่สุดเท่าที่ที่พี่เคยอ่านเจอมาเลยค่ะ โดย 2 คดีนี้ก็มีความสยองและแปลกแตกต่างกันไป ล้วนแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นมาจาก 'ความเชื่อ' บางอย่างร่วมกัน เรามาดูกันเลยว่าจะน่ากลัวขนาดไหน

*คำเตือน อาจมีรูปภาพที่กระทบกระเทือนจิตใจได้*


การฆ่าตัวตายหมู่ใน Jonestown 

ภาพน่าสลดของชาวโจนส์ทาวน์
Photo credit : europe.newsweek.com
   
    ย้อนกลับไปในปี 1978 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ได้เกิดเหตุการณ์สุดสยองชวนขนลุกขึ้นเมื่อผู้คนในเมืองโจนส์ทาวน์ (Jonestown) จำนวน 900 กว่าคนได้ทำการ 'ฆ่าตัวตายหมู่' อย่างเงียบๆ และเมื่อมีผู้มาพบเห็นภายหลังก็พบกับภาพที่น่าสยดสยองและไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบนโลกจริงๆ

     โจนส์ทาวน์เป็นชื่อเรียกหนึ่งของสถานที่แห่งหนึ่งที่ก่อตั้งโดย จิม โจนส์ (Jim  Jones) ผู้นำที่มีเสน่ห์และวาทศิลป์เป็นเลิศ เขาได้ชักจูงคนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มคนผิวสีให้ไปอยู่ในดินแดนแห่งใหม่ที่เขาจะสร้างขึ้นมา หรือเป็นอีกหนึ่งยูโทเปีย (Utopia) เมืองในฝันที่ทุกคนจะสามารถอยู่ร่วมกันโดยปราศจากศาสนา ชนชั้นและการแบ่งแยก โดยกลุ่มคนที่โจนส์ชักจูงมาได้นั้นมีชื่อเรียกว่า "Peoples Temple" ที่ฟังแล้วก็ดูเป็นกลุ่มลัทธิบางอย่างยังไงก็ไม่รู้นะคะ โครงการขายฝันของโจนส์นั้นเริ่มต้นที่รัฐอินเดียนาโพลิสในสหรัฐอเมริกา โดยมีสถานที่รวมตัวของกลุ่ม Peoples Temple อยู่ในสถานที่คล้ายโบสถ์แห่งหนึ่ง 
 
    โจนส์เป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับการต่อต้านการเหยียดสีผิวและความเท่าเทียมของมนุษย์มาตลอด ด้วยความที่โตมากับครอบครัวที่มีพ่อเป็นหนึ่งในสมาชิก คู คลักซ์ แคลน KKK (Ku Klux Klan) หรือกลุ่มต่อต้านคนสีผิวจึงทำให้เขาฝังใจ และอยากเติบโตมาเป็นคนที่ให้ความเท่าเทียมและให้ความสำคัญกับมนุษย์ทุกคน ด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีเสน่ห์และพูดจาชักจูงคนได้ดีจึงทำให้มีคนสนใจเข้าร่วมกลุ่ม Peoples Temple เป็นจำนวนไม่น้อย ภายหลังเมื่อเขาได้รวบรวมรับเงินบริจาคจากสมาชิกเป็นจำนวนมาก โจนส์จึงพากลุ่ม 'ประชาชน' ของเขาไปยังเมืองยูโทเปียแห่งใหม่ในป่าลึกของประเทศกายอานา (Guyana) โดยสถานที่แห่งนี้มีลักษณะเป็นค่ายที่พักอาศัยขนาดใหญ่ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำงานเกษตรเพื่อดำรงชีวิต สถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า Peoples Temple Agricultural Project หรือเรียกว่าโจนส์ทาวน์ให้สั้นๆ และเข้าใจง่ายกว่าเดิม 

จิม โจนส์
Photo credit : wikipedia 
   
    แต่เหตุการณ์กลับแปลกประหลาดเมื่อก่อนหน้านี้ที่โจนส์ขายฝันให้ประชาชนของเขาว่า ยูโทเปียแห่งนี้ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่าง 'มีความสุข' กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อสมาชิกทุกคนถูกใช้ให้ทำงานอย่างหนักหน่วงกลางทุ่ง และใครที่อู้งานหรือไม่ทำงานก็จะได้รับการลงโทษอย่างหนัก ไม่มีใครกล้าสงสัยว่า 'แล้วโจนส์กำลังทำอะไรอยู่?' ในขณะที่อำนาจและบทบาทของโจนส์ค่อนข้างก้ำกึ่งกับการเป็นต้นแบบในบางอย่าง เช่น เป็นผู้นำที่น่านับถือ, ศาสดา, ต้นแบบของความเป็น 'พ่อ' ที่น่าเคารพ และอื่นๆ ประชาชนของโจนส์ทาวน์ส่วนมากเป็นชาวผิวสีและมาจากสังคมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะจน จะรวย มีหรือไม่มีมาก่อน ทุกคนที่ตามโจนส์มาที่นี่ล้วนนับถือและหลงเชื่อคำพูดแทบทุกอย่างของโจนส์

     นอกจากบทบาทหน้าที่ที่จะต้องทำงานกันอย่างหนักหน่วงในโจนส์ทาวน์แล้ว ที่นี่ยังมีกฏที่เข้มงวดและแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเสพยาต่างๆ ห้ามคนรักกัน ห้ามมีเพศสัมพันธ์กัน ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันโจนส์ทำทุกอย่างโดยที่ประชาชนไม่เคยรู้มาก่อน กลุ่ม Peoples Temple นี้ยังมีความเป็นลัทธิที่เชื่อมั่นในความคิด (ที่โน้มน้าวใจเก่ง) ของโจนส์ บางอย่างที่โจนส์คิดและทำก็ออกจะกึ่งศาสนาและอิงไปทางคริสตศาสนาอยู่บ้าง แต่ที่แปลกและสุดโต่งที่สุดนั้นคือ กิจกรรมสยองที่โจนส์คิดขึ้นมาโดยให้ประชาชนของเขาฝึกฝนทำกันหลายต่อหลายครั้ง นั่นก็คือ "การซ้อมการฆ่าตัวตายหมู่" และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องประหลาดๆ ที่ทำให้ประชาชนเริ่มเกิดความกลัวและสงสัยในตัวโจนส์ขึ้นมา
 
    การซ้อมฆ่าตัวตายหมู่เริ่มต้นจากการประกาศเสียงตามสายซ้ำไปซ้ำมาของโจนส์ที่ทุกคนจะต้อง 'หยุด' ทำกิจกรรมทุกสิ่ง รวมไปถึงหยุดพูดคุยกัน หลังจากนั้นทุกคนจะไปรวมตัวกันในจุดรวมตัวของโจนส์ทาวน์ กิจกรรมนี้โจนส์เรียกว่า "White Night" ซึ่งเป็นการซ้อมฆ่าตัวตายเพื่อการปฏิวัติปรับเปลี่ยน โดยมีการทำมาตั้งแต่สมัยที่ทุกคนอยู่ที่สหรัฐอเมริกากับโจนส์แล้ว โจนส์จะคอยบอกประชาชนของเขาอยู่เสมอว่าผู้คนในสหรัฐอเมริกาจะจับตัวพวกเรา (คนผิวสี) ไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ใครที่แตกต่างจะต้องถูกฆ่า ดังนั้นเราจะต้องไม่โดนอย่างนั้น (แต่ฆ่าตัวตายเนี่ยนะ) และเขาก็มักจะจัดฉากการสังหารแบบโหดๆ ขึ้นมาให้ประชาชนของเขาดูโดยที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคือเรื่องลวงโลกมาตลอด

     การซ้อมฆ่าตัวตายนี้ประชาชนก็ไม่รู้อย่างชัดเจนว่าครั้งไหนจะเป็นครั้งสุดท้ายและเป็นของจริง โดยทุกครั้งเมื่อดื่มน้ำที่อาบยาพิษ (ปลอม) ไปแล้วและพบว่าตัวเองไม่ตาย โจนส์ก็จะหัวเราะแล้วพูดประมาณว่า 'ฮ่าๆ พวกคุณนี่เชื่อใจได้จริงๆ เอาล่ะ ไปนอนกันได้แล้วประชาชนที่รักของผม' ซึ่งก็ไม่มีใครมีกะจิตกะใจนอนได้เต็มอิ่มหลังจากคืนของ White Night

     แต่เหตุโศกนาฏกรรมของจริงนั้นก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อครั้งหนึ่งกลุ่มเจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ รู้สึกสงสัยในเมืองยูโทเปียแห่งนี้และเข้ามาตรวจตราความเรียบร้อย แต่เหตุชุลมุนก็เกิดขึ้น เมื่อมีประชาชนจากโจนส์ทาวน์หลายคนขอร้องให้กลุ่มเจ้าหน้าที่สหรัฐนำเรื่องกลับไปบอกคนที่นั่นและขอให้ช่วยนำตัวพวกเขาออกไปจากที่นี่ซะ โจนส์รู้ดังนั้นจึงไม่พอใจจึงจัดการสังหารพวกเขาในที่สุด และหลังจากนั้นจึงได้เริ่มทำการ "ฆ่าตัวตายหมู่" ของจริงขึ้น

เมือง Jonestown จากด้านบน
Photo credit : blog.longreads.com
   
    เหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่นี้เริ่มขึ้นด้วยอำนาจเด็ดขาดของโจนส์ ที่สั่งให้ประชาชนทุกคนมารวมตัวกันที่ศูนย์กลางและทำทุกอย่างเหมือนกับ White Night ที่เคยทำมาก่อน แต่ครั้งนี้เหมือนทุกคนจะมีเซนส์เป็นของตัวเองและรู้ดีว่ามันเป็น 'ของจริง' และเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นเหตุการณ์แรกที่ทำให้ทุกคนแทบขาดใจก็คือ การบังคับฆ่าตัวตายให้กับเด็กที่มีอายุน้อยที่สุดเรียงตามลำดับ โดยให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กๆ ใช้หลอดดูดยาป้อนยาพิษที่ผสมน้ำผลไม้ให้เด็กๆ กลืนลงไป หลังจากนั้นเหล่าผู้ใหญ่ต้องต่อแถวเพื่อรับยาพิษผสมน้ำองุ่นเพื่อดื่มไปตามๆ กัน ใครที่ขัดขืนหรือตั้งใจจะหนีจากเหตุนี้จะต้องถูกผู้คุ้มกันยิงจนตายคาที่ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจบชีวิตตัวเองในที่แบบนี้ แต่ก็นีไม่พ้นจากอำนาจที่น่ากลัวและบ้าคลั่งของโจนส์
 
    เหตุสยองนี้ได้เกิดขึ้นจริงและจบลงด้วยเจ้าหน้าที่ของกายอานาเข้ามาสำรวจโจนส์ทาวน์และพบร่างไร้ชีวิตของผู้คนกว่า 900 คนนอนอยู่ตามพื้น ทั้งข้างในและข้างนอกอาคาร บางร่างกอดกันและจับมือกันเอาไว้ก่อนตาย ทำให้เป็นภาพที่น่าสลดใจและชวนสยองขวัญมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ส่วนตัวโจนส์เองนั้นถูกพบว่ามีกระสุนปืนเจาะทะลุศีรษะและภายหลังชันสูตรพบว่าเขาเสพยาจำนวนมากมาเป็นเวลานาน เหตุนี้จึงบอกได้ชัดว่าโจนส์นั้นมีความคิดที่น่ากลัวและถูกครอบงำด้วยฤทธิ์ของสารเสพติดมาตลอด พร้อมกับอาการป่วยทางจิตที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจ...



การฆ่าตัวตายถวายมนุษย์ต่างดาว

   
    ปี 1997 ตำรวจพบร่างผู้เสียชีวิต 39 คนนอนเรียงรายกันอยู่ในแมนชั่นแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดแบ่งเป็นเพศหญิง 21 ราย เพศชาย 18 ราย ทุกร่างสวมเสื้อและกางเกงสีดำสนิทและใส่รองเท้ากีฬาไนกี้สีดำ จากการตรวจพบไม่เจอร่องรอยการถูกทำร้าย ไม่มีเลือดไหลหรือบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น ภายหลังเมื่อระบุตัวตนได้แล้วก็ได้รู้ว่าผู้เสียชีวิตกลุ่มนี้เป็นสมาชิกของกลุ่มลัทธิแปลกประหลาดที่มีชื่อว่า "Heaven's Gate" นั่นเอง
 
    Heaven's Gate เป็นลัทธิสหัสวรรษ (Millenarism) ที่เชื่อว่าสังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แต่ลัทธินี้จะเน้นความเชื่อไปยังมนุษย์ต่างดาวและ UFO เป็นหลัก และต้นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็มาจากความเชื่อของศาสดามาร์แชล (Marshall Applewhite) ที่เคยกล่าวไว้กับผู้คนในลัทธิว่า "การฆ่าตัวตายนั้นจะเป็นการข้ามไปยังอีกมิติหนึ่ง" เพื่อให้เราไปอยู่บนยานของมนุษย์ต่างดาวในดาวหางเฮล-บอพพ์ (Hale-Bopp) ที่ทุกคนในลัทธิเฝ้าฝันหา มาร์แชลหรือศาสดาของกลุ่มลัทธินี้มีประวัติการเข้าพบจิตแพทย์หลายครั้ง และเขามักมีความคิดประหลาดๆ และการกระทำแปลกๆ มาโดยตลอด รวมทั้งการป่าวประกาศกับคนในลัทธิเองว่าเขาเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระเยซู จากนั้นเขาจึงนำเรื่องต่างๆ มาผสมรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา, UFO และสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก เขามีความเชื่อที่หนักแน่นว่าสักวันมนุษย์ต่างดาวจะเข้ามา 'กวาดล้าง' ทำความสะอาดทุกอย่างบนโลกนี้ และสิ่งที่พวกเราต้องทำนั้นก็คือการหายไปจากโลกนี้ ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงการฆ่าตัวตายนั่นเอง

ภาพจากหนึ่งในศพสมาชิกที่ฆ่าตัวตาย
Photo credit : Youtube
   
    แรกเริ่มมาร์แชลบอกกับสาวกในลัทธิ Heaven's Gate ว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งความสะดวกสบายต่างๆ ให้หมด รวมไปถึงเรื่องความต้องการทางเพศ, ความชอบพอกันระหว่างมนุษย์, เงิน, งาน ทุกคนจะต้องนำตัวเองเข้าสู่ขั้นสูงกว่าความต้องการเหล่านั้นให้ได้ และก็น่าแปลกที่มีคนหลงเชื่อไม่น้อย และหลังจากที่มีผู้เข้าร่วมลัทธิเขาจึงเริ่มต้นควบคุมชีวิตคนเหล่านั้นด้วยความเชื่อแปลกๆ ของเขา ในปีนั้นเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับดาวหางเฮล-บอพพ์เคลื่อนตัวมาใกล้โลกพร้อมภาพถ่ายในอวกาศออกมาใประชาชนเห็น มาร์แชลจึงบอกกับสาวกว่าในภาพนั้นเป็นภาพของหนึ่งในผู้ก่อตั้งลัทธิ (ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในช่วงปี 1980) กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ในอวกาศในยานที่ไม่ไกลจากดาวหาง ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นภาพหลอกที่ทำขึ้นมาเท่านั้น

    จุดพีคเกิดขึ้นเมื่ออาการทางจิตของมาร์แชลเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ประกอบกับการเคลื่อนตัวของดาวหางเฮล-บอพพ์ที่ใกล้โลกเข้ามาเรื่อยๆ มาร์แชลจึงตัดสินใจจัดกิจกรรมฆ่าตัวตายหมู่ขึ้นมาในบ้านสุดหรูแห่งหนึ่งในซานดิเอโกพร้อมกับการอัดคลิปวิดีโอไว้เพื่อเตือนประชาชน กิจกรรมฆ่าตัวตายหมู่นี้จะเรียกผู้ที่เข้าร่วมว่า 'Heaven's Gate Away Team' โดยทุกคนจะสวมใส่ชุดดำ กางเกงดำ รองเท้าไนกี้สีดำ พร้อมกับผ้าสีม้วงที่ใช้คลุมหน้า ข้างๆ ตัวทุกคนจะมีกระเป๋าเดินทางตั้งอยู่ และภายหลังค้นพบเงินประมาณ 5 ดอลลาร์กว่าๆ อยู่ติดกระเป๋าแต่ละคนไว้ด้วย การฆ่าตัวตายของทุกคนนั้นทำโดยการผสมยาพิษที่มีผลต่อประสาทลงในขนมพุดดิ้งและของหวานบางอย่าง ก่อนจะดื่มวอดก้าตามลงไปพร้อมกับนำถุงพลาสติกมาผูกคลุมหัวไว้เพื่อให้อากาศหายใจลดลงทำให้ใช้เวลารวดเร็วขึ้นในการเสียชีวิต การฆ่าตัวตายนี้จะมีการจัดการโดยการผลัดกันทำ คนที่ยังอยู่จะจัดการเรียงศพของคนที่เพิ่งตายให้เป็นที่เป็นทาง สรุปแล้วคือโศกนาฏกรรมครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 3 วันเรียงกันจนกระทั่งทุกคนเสียชีวิตหมด รวมทั้งมาร์แชลด้วย

    การฆ่าตัวตายหมู่ครั้งนี้เป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงและน่ากลัวที่สุดที่เคยเกิดในสหรัฐอเมริกา และจากเหตุกรณ์นี้ทำให้ประชาชนต้องตั้งสติและระวังตัวก่อนจะไปนับถือหรือยุ่งเกี่ยวกับลัทธิอะไรแปลกๆ เพราะจากทั้งเหตุกการณ์ในโจนส์ทาวน์จนถึงเหตุการณ์นี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่คล้ายกับการ 'ล้างสมอง' และชักจูงให้คนกระทำในสิ่งที่ไม่ได้คิดหรือตัดสินใจเองจากภายในใจ...

Clip

คำกล่าวของมาร์แชลก่อนจะจากโลกนี้


 

เว็บไซต์ Heaven's Gate : http://heavensgate.com/
   


      การมีคนให้นับถือหรือมีความเชื่อในบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แปลกนะคะ แต่อย่าลืมว่าต้องคอยสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว และตัวเราเองด้วย เพราะหากเชื่อในบางอย่างแล้วและมีแต่จะทำให้ชีวิตแย่ลง หรือทำให้เราออกห่างจากสังคมหรือคนรอบข้างอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก และต้องขอแสดงความเสียใจกับเหตุทั้งสองที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะผ่านมานานแล้วแต่ก็ถือว่าสองเรื่องนี้สามารถเป็นเรื่องเล่าที่ใช้เตือนใจคนได้อีกหลายต่อหลายรุ่นเลยค่ะ  

อ้างอิง
พี่นิทาน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

8 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
RaBbiT piG Member 25 ก.ย. 59 14:29 น. 2
สำหรับเราอะมันดูบ้าๆบอๆนะ แต่กับใครที่เค้าเชื่อจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้นี่มันน่ากลัวจริงๆ ขนลุกเลยอะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด