ไม่ได้มีแค่ในอียิปต์เท่านั้น! ยังมี "5 มัมมี่แปลกๆ" จากทั่วโลกที่อยากให้รู้จัก

    สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่าเวลามนุษย์เราตายไปแล้วจะได้ไปอยู่ในอีกโลกนั่นก็คือโลกหลังความตาย จึงทำให้มีการทำมัมมี่ขึ้นมาเพื่อรักษาสภาพศพของคนที่ตายไปแล้วให้ดีที่สุด ทั้งภายนอกและภายใน นอกจากนั้นการทำมัมมี่ก็มีในวัฒนธรรมอื่นๆ รวมไปถึงการคงที่ของสภาพศพด้วยธรรมชาติหรือบางเหตุการณ์ที่อาจไม่ได้เกิดจากการตั้งใจของมนุษย์ วันนี้ พี่นิทาน เลยยกตัวอย่างมัมมี่หลายๆ แบบมาให้ดูกันค่ะ 


มัมมี่เกลือ

Photo credit : http://halehsworldofarchaeology.blogspot.com
    
   มัมมี่เกลือ หรือมนุษย์เกลือ (Saltmen) ถูกค้นพบที่บ่อแร่ขุดเกลือในประเทศอิหร่าน จากการสำรวจพบว่ามัมมี่เหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นโดยปรากฏการณ์ของธรรมชาติ โดยเกลือทำให้สภาพศพสามารถคงอยู่ไม่เน่าเปื่อยสลายไป มัมมี่เกลือถูกพบทั้งหมด 6 ร่างด้วยกัน และแต่ละร่างเกิดขึ้นในหลายๆ ยุคคละกันไป ร่างแรกถูกพบในปี 1993 ในสภาพที่มีหนวดเคราสีขาว ใส่ต่างหูทอง และถือมีดที่ทำด้วยเหล็ก นักคติชนวิทยา (folklorist) ของมหาวิทยาลัย Stanford University ประเทศสหรัฐอเมริกาสันนิษฐานว่ามัมมี่เกลือเหล่านี้อาจเป็นต้นกำเนิดของเซเทอร์ (satyr) มนุษย์ครึ่งคนครึ่งแพะจากตำนานเทพปกรณัมด้วยลักษณะต่างๆ ที่ชวนให้คิด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างของส่วนหัว จมูก เครา และส่วนอื่นๆ ปัจจุบันหัวของมัมมี่เกลือร่างแรกถูกนำไปโชว์ที่พิพิธภัณฑ์ National Museum of Iran ในเมืองเตหะราน ประเทศอิหร่าน
 

มัมมี่ที่กลายเป็นโคลนสีดำ


Photo credit : www.cultofweird.com
    
   ด้วยอายุประมาณ 7,000 กว่าปี ของมัมมี่ชนเผ่าชินโชร์โร (Chinchorro) จึงทำให้เป็นมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคาดว่ามีมาตั้งแต่ก่อนอียิปซ์ซะอีก ปัจจุบันมัมมี่ของชนเผ่าถูกเก็บไว้ประมาณ 120 ร่างที่พิพิธภัณฑ์ University of Tarapacá’s archeological museum ในประเทศชิลี และด้วยเวลาที่ผ่านมาหลายพันปีจึงทำให้นักวิทยาศาสตร์สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวมัมมี่เหล่านี้ คือสีผิวของมัมมี่ดูคล้ำลงและมีลักษณะคล้ายของเหลวหนืดๆ ในบางส่วน เมื่อเป็นอย่างนี้นักวิทยาศาสตร์จึงทำการหาคำตอบและคาดว่าน่าจะเป็นเพราะแบคทีเรียเข้าไปอาศัยอยู่ตามพื้นผิวชั้นนอกของมัมมี่ เนื่องจากสภาพอากาศที่ชื้นจากการถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม และถ้าอากาศมีความชื้นกว่านี้พวกแบคทีเรียอาจทำให้มัมมี่เสียหายกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพราะสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนไปจึงส่งผลให้อากาศภายในพิพิธภัณฑ์เปลี่ยน ก็เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันค่ะว่าเมื่อคุณภาพของอากาศบนโลกเปลี่ยนจะมีผลต่อหลายๆ สิ่งบนโลกเหมือนกัน 
 

มัมมี่หนองน้ำ

Photo credit : euro-t-guide.com
    
   มัมมี่หนองน้ำมีอีกชื่อเรียกคือ "มนุษย์พรุพีต" ที่พี่เองก็เพิ่งได้ยินคำนี้ครั้งแรกก็วันนี้แหละค่ะ ถ้าจะอธิบายให้ฟังดูง่ายขึ้นก็คือมัมมี่ที่ถูกทำให้เป็นมัมมี่โดยกระบวนการทางธรรมชาติ คำว่าพรุมีความหมายว่าหนองน้ำหรือบึงต่างๆ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีพีต หรือซากพืชที่ตายแล้วต่างๆ มัมมี่หนองน้ำที่ถูกค้นพบและมีชื่อเสียงที่สุดก็คือ "Tollund Man" ที่ถูกพบที่ประเทศเดนมาร์กในสภาพดีมากจนคนที่ไปเจอคิดว่าเขาน่าจะเพิ่งเสียชีวิต ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วชายคนนี้น่าจะเสียชีวิตมานานมากแล้ว นอกจากชายคนนี้แล้วยังมีการพบเจอมัมมี่หนองน้ำในอีกหลายประเทศในยุโรป สาเหตุที่สภาพของมัมมี่เหล่านี้ยังดูดีและไม่แห้งหรือเน่าเปื่อยเหมือนมัมมี่แบบอื่นเป็นเพราะปฏิกิริยาทางธรรมชาติของพืชในแถบบึงหรือลุ่มน้ำที่สามารถทำให้ศพคงสภาพได้ดี แต่ทำไมถึงต้องมาทิ้งศพไว้ที่หนองน้ำด้วย? หลายคนสงสัยและคาดว่ามัมมี่เหล่านี้เคยถูกทารุณกรรมหรือเป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าเพื่อพิธีกรรมบางอย่างมาก่อนค่ะ 
 

มัมมี่สัตว์

Photo credit : www.liverpoolmuseums.org.uk
    
   ใครเคยมีโอกาสไปดูพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอียิปต์โบราณมาน่าจะเคยเห็นมัมมี่สัตว์ที่ดูแปลกตากว่ามัมมี่คนธรรมดาทั่วไป มัมมี่สัตว์นั้นมีที่มาจากความเชื่อชาวอียิปต์โบราณว่าเมื่อมนุษย์ตายไปแล้วจะมีโลกหลังความตายรออยู่ เหตุผลที่ทำมัมมี่ให้สัตว์ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำมัมมี่คนเลยค่ะ สัตว์ต่างๆ ที่ถูกทำเป็นมัมมี่นั้นมีหลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นแมว, หมา, จระเข้, แพะ, ปลา และอื่นๆ ที่ไม่คาดคิดด้วยเหตุผลหลายประการของชาวอียิปต์ ทั้งสัตว์เลี้ยงของบุคคลสำคัญที่เชื่อว่าหากทำมัมมี่ไปด้วยกันพวกเขาจะได้เจอกับสัตว์เลี้ยงอีกครั้งในโลกหลังความตาย, ทำเพื่อส่งไปเป็นอาหารในโลกหน้าของคนที่ตายไป หรือถวายเทพต่างๆ ที่ชาวอียิปต์นับถือ เป็นต้น ปัจจุบันมัมมี่สัตว์เป็นมัมมี่อีกแบบที่ผู้คนให้ความสนใจพอๆ กับมัมมี่คน และสามารถหาดูได้ตามพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมอียิปต์โบราณค่ะ 
 

มัมมี่พระ

Photo credit : matome.naver.jp
    
   ในวัดบางแห่งของประเทศญี่ปุ่นมีการเก็บมัมมี่ของพระหรือนักบวชต่างๆ ในสมัยก่อนที่เคยบำเพ็ญทุกรกิริยาละจากทางโลกโดยการนั่งสมาธิไปจนสิ้นลมหายใจโดยที่ไม่ดื่มน้ำหรือทานอะไรทั้งสิ้น โดยกระบวนการก่อนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นมัมมี่นั้นเริ่มมาจากการงดอาหารจำพวกแป้ง และทานแต่ผลไม้ พืชผักและถั่วแทน หลังจากนั้นประมาณ 1,000 วัน จะทานได้แค่เปลือกไม้และใบของต้นสน แต่กระบวนการในการทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่นั้นไม่ง่ายและทรมานร่างกายมาก พระส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังการทรมานที่สุดแล้วจะกินยางของต้นไม้บางชนิดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งยางเหล่านี้จะมีพิษและทำให้อาเจียนออกมามาก แต่จะมีผลต่อร่างกายเมื่อตายไปแล้วเพราะจะรักษาสภาพของร่างกายให้คงที่ไม่สลายหรือโดนแมลงต่างๆ มาแทะกิน นอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้วยังมีการทำแบบนี้ที่ประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียเหมือนกันค่ะ เช่นในประเทศจีน, มองโกเลีย เป็นต้น 
 
    ดูแล้วก็น่าทึ่งเหมือนกันนะคะที่ร่างกายคนเราสามารถถูกเก็บรักษาให้อยู่ในสภาพดีได้ขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ดีเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ แต่อย่างน้อยก็ยังไม่สูญสลายไป และสามารถเป็นความรู้และความทรงจำให้คนรุ่นหลังๆ ได้มาดูกันด้วยค่ะ 

อ้างอิง
http://www.ancient-origins.net/
http://www.atlasobscura.com/places/salt-men-iran
http://www.huffingtonpost.com/
http://www.nbcnews.com/science/
http://nautil.us/
http://www.history.com/
https://www.damninteresting.com/
พี่นิทาน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด