ที่จริงตำแหน่งนี้มีอยู่ 2 เมืองด้วยกัน นั่นก็คือเมืองเรคยาวิก (Reykjavik) ประเทศไอซ์แลนด์ และเมืองนูค (Nuuk) ประเทศกรีนแลนด์ แต่เนื่องจากไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นรัฐเอกราช (กรีนแลนด์ยังคงเป็นของเดนมาร์กอยู่) เลยขอยกแค่เรคยาวิกมาก่อนแล้วกันค่ะ 

    หลายคนที่เคยไปเที่ยวไอซ์แลนด์มาหรือใฝ่ฝันอยากไปน่าจะเคยเห็นรูปเมืองเรคยาวิกผ่านตามาบ้างแล้ว ประเทศไอซ์แลนด์ขึ้นชื่อว่ามีประชากรน้อยมากๆ ดังนั้นในเมืองเรคยาวิกจึงมีประชากรเพียงแค่ประมาณ 123,246 คนเท่านั้น ประชากรไม่หนาแน่นอึดอัด แต่ช่วงหลังๆ มานี้ก็ค่อนข้างเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวพอสมควรเนื่องจากไอซ์แลนด์กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของหลายๆ คนทั่วโลก รวมถึงคนไทยด้วยนะคะ (พี่เองยังไม่เคยไปเลย) ทั้งนี้ก็เป็นเพราะตัวเมืองเป็นศูนย์รวมแห่งวัฒนธรรมไอซ์แลนด์และศิลปะต่างๆ ใครที่ชื่นชอบในศิลปะและความเรียบง่ายสไตล์สแกนดิเนเวียน เมืองเรคยาวิกก็ควรเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ในชีวิตนี้ต้องไปให้ได้สักครั้งค่ะ 

    อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกที่จะมีดอกไม้เกิดขึ้นและผลิบาน แต่ที่เกาะ Kaffeklubben Island นี้อยู่บนมหาสมุทรอาร์คติก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศกรีนแลนด์ และเป็นเกาะที่มีดอกไม้ 2 ชนิดขึ้นอยู่ ซึ่งในแถบละแวกนี้หรือเหนือไปกว่านี้ก็ไม่มีดอกไม้ชนิดใดๆ ขึ้นแล้ว เกาะนี้จึงเป็นเกาะเดียวที่มีดอกไม้ขึ้น จึงเป็นจุดที่เหนือสุดที่มีดอกไม้ผลิบานอยู่นั่นเองค่ะ 

    ชื่อของเกาะ Kaffeklubben Island นั้นก็น่ารักเสียจนอยากลองไปเยี่ยมชมสักครั้งเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะชื่อนี้มาจากภาษาเดนมาร์กที่แปลว่า "Coffee Club Island" หรือเกาะของชมรมกาแฟนั่นเอง ที่มาของชื่อนี้มาจากนักสำรวจชาวเดนมาร์กที่ชื่อ Lauge Koch ที่ตัดสินใจมาสำรวจเกาะในช่วงปี 1921 หลังจากเกาะถูกค้นพบโดยชาวอเมริกันในปี 1900 และที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะว่าเขาอยู่ในชมรมกาแฟของมหาวิทยาลัย University of Copenhagen Geological Museum นั่นเองค่ะ

    ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนเกาะนี้จะมี 2 ชนิดด้วยกัน คือดอกแซกซิเฟรจสีม่วง (purple saxifrage) ที่มักขึ้นตามภูมิภาคขั้วโลกเหนือและตามภูเขาสูงต่างๆ และดอกป๊อปปี้ขั้วโลกเหนือ (Arctic poppy) แต่นอกเหนือจากนั้น เกาะแห่งชมรมกาแฟนี้ก็ไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตหรือผู้อยู่อาศัยอื่นๆ เลยค่ะ แถมยังไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่ใครทั่วไปจะสามารถไปเยี่ยมชมได้ด้วย นอกจากจะเป็นนักสำรวจที่เตรียมตัวมาพร้อมและมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนจริงๆ ค่ะ 

    ใครว่าเซเว่นอีเลฟเว่นมีแต่ในไทยเท่านั้น ถึงแม้ในไทยเราจะมีเยอะทุกถนน แต่รู้กันรึเปล่าว่าที่เมือง Tromsø เมืองที่มีชื่อเสียงในการไปล่าแสงเหนือและอยู่ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ ก็มีเซเว่นฯ กับเค้าด้วยเหมือนกันนะ และพอมาอยู่ที่เมืองนี้ เซเว่นฯ สาขานี้ก็เลยกลายเป็นสาขาที่อยู่ในจุดที่ "เหนือที่สุด" ของโลกไปทันที 

    เมือง Tromsø เป็นเมืองที่อยู่เกือบสูงสุดของนอร์เวย์ และเป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุดในละแวกนั้น (ประมาณว่าละแวกอื่นแถวนั้นจะชนบทกว่าหน่อยๆ) และเซเว่นฯ สาขานี้ก็มีเอกลักษณ์ตรงที่เป็นเหมือนบ้านไม้สีแดงดูสวยน่าเข้าและเปิดตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ

    Ny-Ålesund Town and Mine Museum เป็นชื่อของพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในจุดเหนือสุดของโลก ตั้งอยู่ในเมือง Ny-Ålesund ในสวาลบาร์ด หมู่เกาะของนอร์เวย์ที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอาร์กติก อยู่กึ่งกลางระหว่างนอร์เวย์และขั้วโลกเหนือ จึงทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า Svalbard Museum นั่นเองค่ะ 

    ก่อนหน้านี้ตรงพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นเหมืองแร่เก่าที่เกิดเหตุการณ์และอุบัติเหตุมากมายจึงต้องปิดตัวลงที่สุดในปี 1962 แต่ตัวตึกที่เป็นพิพิธภัณฑ์ปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นมานานแล้วเมื่อปี 1917 เพื่อเป็นคลังเก็บสินค้าในเมือง จากนั้นก็เคยเปิดเป็นร้านขายของจนกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ตอนปี 1988 เป็นต้นมาและถูกบำรุงรักษารูปร่างของตึก (ที่มีลักษณะคล้ายบ้าน) นี้ให้อยู่คงทนมีสภาพเหมือนเดิมจนมาถึงปัจจุบัน ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับสวาลบาร์ดและประวัติความเป็นมาของการทำเหมืองแร่ที่นี่ และเรื่องของสัตว์น้ำ, ทะเล, ธรณีวิทยา, การค้นพบต่างๆ เป็นต้น 

ลิงค์พิพิธภัณฑ์ : http://svalbardmuseum.no/en/

    University of Tromsø เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ทางตอนเลือสุดของโลก โดยตั้งอยู่ในเมือง Tromsø อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ (เผลอๆ หน้าหนาวนักเรียนก็น่าจะได้แหงนหน้ามองฟ้าดูแสงเหนือกันด้วย) และเน้นสอนสาขาวิชาที่เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งชาวนอร์เวย์และชาวต่างชาติเข้าเรียนเป็นจำนวนเกือบ 20,000 คน และมีวิทยาเขตแบ่งย่อยออกถึง 6 วิทยาเขตทั่วประเทศนอร์เวย์ด้วยค่ะ 

  

      และนอกจาก 5 สิ่งที่พี่ยกมาให้น้องๆ ดูกันแล้วนะคะ ที่เมืองลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) ในสวาลบาร์ดก็มีร้าน "นวดแผนไทย" ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ในจุดเหนือสุดของโลกอีกด้วย เห็นแล้วก็แอบภูมิใจเบาๆ ที่ส่วนหนึ่งของประเทศเราก็ได้ไปอยู่ในจุดเหนือสุดของโลกบ้างเหมือนกันนะเนี่ย 

อ้างอิง