มารู้จัก "หั่วกัว" หม้อไฟสไตล์จีนที่ฮิตสุดๆ

      สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com พอพูดถึงอาหารจีน ก็คงจะมีอาหารหลายอย่างหลายชนิดเข้ามาในหัวเลยใช่มั้ยคะ บางคนก็อาจจะนึกถึงขนมจีบ ซาลาเปา เกี๊ยว เป็ดปักกิ่ง บางคนก็อาจจะนึกถึงอาหารประเภทเส้น อย่างก๋วยเตี๋ยว แต่วันนี้พี่ดังกิ้นจะพาน้องๆ มารู้จักกับอาหารที่ชาวจีนนิยมทานกันมากๆ นั่นก็คือ หม้อไฟ (火锅) นั่นเองค่ะ


火锅 อ่านว่า หั่วกัว แปลตามตัวได้ว่าหม้อไฟ



Photo Credit : pixabay.com

      หม้อไฟของจีนไม่ได้เพิ่งมีในยุคปัจจุบันแต่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยยุครณรัฐ (战国) แล้วค่ะ  ในสมัยก่อนพวกเขาจะเรียกหม้อไฟนี้ว่า “กู่ต่งเกิง” (古董羹) ค่ะ เป็นเสียงที่เหมือนกับตอนเราเอาเนื้อลงไปต้มในน้ำเดือด นิยมใช้เนื้อวัวและเนื้อแกะมารับประทานค่ะ ลักษณะพิเศษของหม้อไฟก็คือการที่เราสามารถทานไปพลางลวกเนื้อไปพลางค่ะ และรสชาติของซุปกับน้ำมันที่ใช้ลวกจะมีรสเผ็ดร้อน และมีความมัน เหมาะสำหรับทานในช่วงฤดูหนาวค่ะ



 

หม้อและอาหารที่ใช้ลวก



Photo Credit : www.gaoyhcn.com

      หม้อต้มในปัจจุบันมีหลายแบบมากๆค่ะ ทั้งหม้อที่มีหนึ่งช่อง สองช่อง สามช่อง ไปจนถึงเก้าช่อง แต่ที่ใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นหม้อแบ่งสองช่องที่เรียกว่า ‘หม้อยวนยาง' (鸳鸯锅) แปลว่าหม้อรูปทรงเป็ดแมนดาริน หม้อนี้จะมีความพิเศษตรงที่จะมีที่กั้นตรงกลางเอาไว้แบ่งระหว่างซุปเผ็ดกับซุปจืดค่ะ ถ้าเป็นสมัยก่อนจะใช้ภาชนะดินเผามาทำเป็นหม้อค่ะ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาและเปลี่ยนมาเป็นหม้อที่ทำจากโลหะในแบบปัจจุบัน สำหรับเนื้อและวัตถุดิบที่ใช้ในการลวกก็จะมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักสด ถั่ว เห็ด ไข่ สามารถเลือกได้ตามต้องการเลย



Photo Credit : pixabay.com

      หม้อไฟเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน และหม้อไฟในเมืองต่างๆ ก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปค่ะ อย่างเช่น ถ้าแยกตามอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำอาหาร เราจะแยกได้หลายอย่างมากๆ ตั้งแต่ไฟที่ใช้ ไปจนถึงหม้อที่ต้มค่ะ ถ้าแยกตามรสชาติอาหาร ก็จะได้เป็นเอกลักษณ์ของรสชาติในแต่ละท้องที่ค่ะ อย่างในภาคเหนือของประเทศจีนจะเน้นความมัน ความเผ็ด เพื่อให้ความร้อนแก่ร่างกาย เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทางตอนใต้ของประเทศอย่างเมืองยูนานก็จะใส่เห็ดหอม และเนื้อขาหมูแบบพื้นเมืองด้วยค่ะ เพื่อให้มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกหม้อไฟต่างๆ ตามชื่อเมืองด้วย อย่างเช่นหม้อไฟที่ขึ้นชื่อของเสฉวนและฉงชิ่งก็จะเรียกว่า หม่าล่าหั่วกัว (麻辣火锅), หม้อไฟที่เจ้อเจียงก็จะเรียกว่า “ปาเชิงหั่วกัว”(八生火锅), หม้อไฟของหางโจวก็จะเรียกหม้อไฟของพวกเขาว่า “ซานเซิงหั่วกัว” (三鲜火锅)เป็นต้น


 

หม้อไฟของประเทศจีนไม่ได้มีแค่ในประเทศจีนเท่านั้น



Photo Credit : pixabay.com

      การทานอาหารในลักษณะแบบที่ มีไฟ หม้อ และทานด้วยวิธีการจุ่มลงในน้ำหรือซุปที่ร้อนๆ เพื่อให้อาหารสุกไม่ได้มีแค่ที่ประเทศจีนเท่านั้นนะคะ ที่ประเทศอื่นที่มีการทานในลักษณะแบบนี้ก็มีเหมือนกัน อย่างเช่นหม้อไฟแกงกะหรี่ของประเทศอินเดีย ที่มักจะใช้เนื้อไก่ในการลวกในน้ำแกงกะหรี่ค่ะ หรือประเทศที่ใกล้ๆ ประเทศจีนอย่างญี่ปุ่นเองก็มีเช่นกันค่ะนั่นก็คือชาบูกับสุกี้นั่นเอง แน่นอนว่าในประเทศไทยก็มีเหมือนกันค่ะ นั่นก็คือจิ้มจุ่ม หมูกระทะนั่นเอง หลายๆ คนก็น่าจะชอบด้วย หรือแม้แต่ฟองดูว์ชีสกับช็อคโกแลตเอง ประเทศจีนก็ถือว่าเป็นอาหารประเภทหม้อไฟค่ะ


วัฒนธรรมหม้อไฟในแต่ละท้องที่



Photo Credit :  由User: Ningling - 自己的作品,CC BY-SA 3.0,https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=1088671

      ที่ประเทศจีน วัฒนธรรมการทานหม้อไฟในแต่ละท้องที่ก็มีความแตกต่างกันไป อย่างเช่นในมณฑลฉงชิ่ง การทานหม้อไฟก็จะใช้ความพิถีพิถันตั้งแต่ลำดับขั้นการใส่วัตถุดิบ ลำดับการกิน ไปจนถึงวิธีการลวกเนื้อเลยค่ะ อย่างเช่นขั้นตอนแรกพวกเขาจะใส่น้ำมันงา ขิง ต้นหอมและกระเทียมก่อน เพื่อให้ได้กลิ่นของหม้อไฟค่ะ และในการลวกก็ต้องใช้วิธีการลวกแบบจุ่มขึ้นลง 15 ครั้ง (七上八下) ค่ะ หมายถึงการจุ่มลงในน้ำ 7 ครั้ง เอาขึ้นจากน้ำ 8 ครั้ง ขึ้นลงสลับกันรวมเป็น 15 ครั้งค่ะ

       ที่ไต้หวันก็มักจะใส่เนื้อและผักที่มีความหมายที่เป็นมงคลค่ะ อย่างเช่นเนื้อปลา ที่มีความหมายว่า เหลือกินเหลือใช้  ขึ้นช่าย ที่มีความหมายว่า ขยันขันแข็ง กระเทียม ที่มีความหมายสื่อถึงความรอบคอบ เป็นต้นค่ะ

       ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนก็จะเน้นในเรื่องของตำแหน่งการวางผักและเนื้อสัตว์ ทางซ้ายจะวางปลา ทางขวาจะวางกุ้ง เนื้อสัตว์ปีกจะวางไว้ด้านหน้าใกล้ๆ ปล่องไฟของหม้อไฟ เนื้อสัตว์เช่น เนื้อหมู เนื้อวัวจะวางไว้ด้านหลัง และล้อมรอบด้วยผักต่างๆ ค่ะ


 

การทานหม้อไฟ



Photo Credit : 由英语维基百科的Chensiyuan - 從en.wikipedia轉移到共享資源,由Ryuch使用CommonsHelper轉移。,CC BY-SA 3.0,https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=5765072

      ในการทานหม้อไฟแบบจีนจะมีทั้งแบบต้มและแบบลวกค่ะ ถ้าหากว่าเนื้อสัตว์อันไหนสามารถทานแบบไม่ต้องให้สุกมากได้ก็จะใช้วิธีการลวกแบบพอสุก อย่างเนื้อแกะ เนื้อวัว ไส้เป็ด ก็จะลวกได้เพราะว่าเนื้อพวกนี้ถ้าหากต้มจนสุกนานเกินไปจะทำให้เหนียวและไม่อร่อยค่ะ แต่ถ้าเป็นเนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลาดาบเงินใหญ่ เห็ดหอม ต้องใช้การต้ม เพื่อให้แน่ใจว่าสุกจริงๆ ถึงจะสามารถทานได้ค่ะ ส่วนน้ำซุปที่ใช้ลวกและต้ม ไม่แนะนำให้ซดทานเพราะว่า ในน้ำซุปของหม้อไฟแบบจีนจะรสจัดและมันมากๆ ไม่ดีต่อสุขภาพตับและไตแน่นอน เมื่อทานเสร็จก็ต้องดื่มน้ำชาเพื่อเป็นการล้างปาก ลดรสชาติเผ็ดและความมันค่ะ หลังจากที่เราทานเสร็จ 20-30 นาที อาจจะหาผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่นสาลี่ แอปเปิ้ล มาทานเพื่อปรับสมดุลความร้อนในร่างกายและป้องกันอาการร้อนในค่ะ


 
      ตอนนี้ในประเทศไทยก็เริ่มมีร้านหั่วกัวให้ได้ลองทานกันแล้วค่ะ หรือใครที่มีโอกาสได้ไปประเทศจีน ก็ลองไปทานหั่วกัวที่ประเทศจีนดูได้นะคะ นอกจากจะหาทานง่ายแล้วในแต่ละท้องที่ก็มีเอกลักษณ์ต่างกันออกไปด้วย หรือใครที่เคยลองทานแล้ว จะมาแบ่งปันประสบการณ์ ในการกินให้เพื่อนๆ ได้ทราบถึงรสชาติกันก็ได้นะคะ ^^




ที่มา
https://baike.baidu.com/item/%E7%81%AB%E9%94%85/274015
http://travel.sohu.com/20121128/n358819558.shtml
พี่ดังกิ้น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด