สุดสลด! นักเรียนชายชาวอังกฤษฆ่าตัวตาย หลังโดนกลั่นแกล้งเนื่องจาก 'หน้าตาดี'

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า มีข่าวน่าเศร้ามาเล่าให้ฟังค่ะ เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบที่เกิดจากการกลั่นแกล้งกันค่ะ และจะได้ไม่มีใครต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก


     หลายคนคิดว่าเหยื่อของการโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนมักเป็นคนที่แตกต่างหรือมีลักษณะบางอย่างที่ตัวคนแกล้งมองว่าเหยื่อดู "ด้อย" กว่าตัวเอง แต่จริงๆ แล้วมีอีกหลายเคสเลยนะคะที่เหยื่อของการกลั่นแกล้งโดนรังแกเพียงเพราะตัวคนแกล้งรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่สู้เหยื่อไม่ได้ ประมาณว่าไม่อยากเห็นเหยื่อได้ดีกว่าหรือมีดีมากกว่า ดังเช่นในกรณีนี้ค่ะ


Raj และ Mina Rayat ถือภาพถ่ายของลูกชาย Credit: Michael Scott/Caters

     นักเรียนชาวอังกฤษอย่าง Brandon Rayat ก็เป็นเหยื่อจากการรังแกที่โรงเรียนอีกคนหนึ่งค่ะ แบรนดอนเป็นเด็กหนุ่มร่าเริง นิสัยดี และหน้าตาคมคายมีเสน่ห์ เดิมเขาไปโรงเรียนอย่างมีความสุขทุกวัน แต่พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่นักเรียนเริ่มสนใจเรื่องเพศตรงข้าม เพื่อนนักเรียนหญิงหลายคนชื่นชอบแบรนดอนและมักจะมาชวนคุยด้วยเสมอ นั่นทำให้ชีวิตในโรงเรียนของแบรนดอนค่อยๆ เปลี่ยนไปค่ะ

     นักเรียนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจแบรนดอนในเรื่องนี้จึงเริ่มกลั่นแกล้งแบรนดอน มีทั้งใช้กำลัง ใช้วาจาข่มขู่ และยังตามรังควานในโลกออนไลน์ จนแบรนดอนบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ

     กลุ่มที่รังแกเรียกแบรนดอนว่า "paedophile" ที่แปลว่าพวกคนที่ชอบมีอะไรกับเด็ก บ้างก็เรียกเขาว่า "f**ggot" ทุกวัน ถ้าให้แปลแบบใส่อารมณ์และให้เห็นภาพชัดเจนก็คงต้องบอกว่าแบรนดอนโดนเรียกว่า "ไอตุ๋ยเด็ก" กับ "ไอตุ๊ด" ทุกวัน (ขอโทษสำหรับการใช้ภาษารุนแรงในบทความด้วยนะคะ)

     พวกนั้นยังสร้างแอคเคานต์ปลอมในชื่อ Jimmy Savile เพื่อส่งข้อความในเชิงทางเพศไปถล่มแบรนดอนอีกด้วย จิมมี่เป็นดีเจชื่อดังคนหนึ่งในอังกฤษที่หลังเขาเสียชีวิตในปี 2011 ก็มีเหยื่อหลายคนออกมาเล่าเรื่องที่โดนเขาล่วงละเมิดทางเพศเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ค่ะ เหยื่อส่วนมากเป็นเด็ก แถมมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายด้วย ด้วยความที่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมาก่อนอยู่แล้ว พอเรื่องนี้แดงขึ้นมาก็ทำให้ทุกคนในอังกฤษรู้เรื่องนี้ และชื่อของจิมมี่ก็กลายมาเป็นชื่อของ "นักล่า" ที่ใครๆ ก็รู้จัก

     ขนาดวันที่ไปโรงเรียน ในคาบคอมพิวเตอร์ พวกที่รังแกแบรนดอนก็เปิดตำแหน่งบ้านของเขาใน Google Maps แล้วข่มขู่ว่าพวกเขารู้ว่าบ้านแบรนดอนอยู่ที่ไหน และจะไปข่มขืนแม่ของแบรนดอน


ข้อความแชตที่แสดงว่าตัวคนพูดว่าจะข่มขืนแม่แบรนดอนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูด และบอกว่าตอนนั้นคงแค่ล้อเล่น แต่สำหรับตัวคนฟังแล้ว เขาจำได้เสมอว่าได้ยินตอนไหน และไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องล้อเล่นแน่นอน Picture: brandonsinghrayat/Facebook

     แม่ของแบรนดอนให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนั้นแบรนดอนถึงกับยอมโกนหัวเพื่อให้เหมือนกับคนในกลุ่มที่รังแกเขา เขาคิดว่าถ้าเขาดูเหมือนคนพวกนั้นการกลั่นแกล้งก็น่าจะจบ แต่ก็ไม่เป็นผลค่ะ การรังแกยังคงมีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาปีกว่า แบรนดอนบอกพ่อกับแม่บ้างว่าเขาไม่อยากไปโรงเรียน เขาไม่ชอบโรงเรียน แต่พ่อแม่ก็ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ จนกระทั่งเดือนเมษายน 2015 ที่เขาวิ่งเข้ามาในบ้านและกรีดร้องราวกับเสียสติว่าเขาอยากตาย พ่อกับแม่จึงเข้าใจแล้วว่าปัญหาการโดนรังแกของแบรนดอนรุนแรงขนาดไหน พ่อแม่จึงพาเขาไปพบแพทย์ค่ะ

     แบรนดอนถูกส่งตัวไปพบจิตแพทย์ที่ Child and Adolescent Mental Health Service (CAMHS) เขาเข้ารับการรักษา 11 ครั้ง แม้พ่อแม่จะขอร้องให้ทางนั้นรับแบรนดอนเป็นผู้ป่วยในไปเลย แต่ทางนั้นบอกว่าไม่ดีและแนะนำให้แบรนดอนกลับไปเข้าโรงเรียนจะดีกว่า จนในเดือนธันวาคม 2015 แพทย์ก็จ่ายยาต้านเศร้าให้กับแบรนดอน แต่ในเดือนมกราคม 2016 แบรนดอนก็พยายามฆ่าตัวตายเป็นครั้งแรก

     หลังช่วยแบรนดอนไว้ได้ แพทย์เพิ่มโดสยาต้านเศร้าให้กับแบรนดอนเรื่อยๆ จนกลายเป็น 4 เท่าในระยะเวลา 8 เดือน

     จนกระทั่งถึงเดือนที่แล้วที่แบรนดอนเริ่มทำตัวต่างไปอีกครั้ง แม่ของแบรนดอนบอกกับเจ้าหน้าที่ของทางศูนย์สุขภาพจิตว่าเธอกังวลว่าเขาจะพยายามฆ่าตัวตายอีกครั้ง เพราะแบรนดอนค่อยๆ ทิ้งข้าวของของตัวเองไปทีละชิ้นสองชิ้น บางชิ้นก็ยกให้คนอื่นไป จนแทบไม่เหลืออะไรในห้องแล้ว ในการนัดกับจิตแพทย์ครั้งล่าสุดของแบรนดอน เขาก็บอกจิตแพทย์ว่าเขาลองพยายามแขวนคอตายแล้ว แต่สุดท้ายทางนั้นก็บอกพ่อแม่แบรนดอนว่าให้คอยดูเขาทุก 15 นาทีก็พอ

     และ 11 วันหลังจากนั้นแบรนดอนในวัย 15 ปีก็ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอในห้องนอนตัวเอง

     แม้จะยังอยู่ในช่วงเวลาโศกเศร้าหลังเสียลูกชายได้ไม่กี่วัน พ่อแม่ของแบรนดอนก็เริ่มแคมเปญ Stop Ignoring Me ที่มุ่งหวังให้มีกฎหมายเอาผิดพวกนักเรียนที่รังแกคนอื่น และให้มีการฝึกและให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการต่อต้านการรังแกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของทุกโรงเรียน

     ส่วนทางศูนย์ดูแลด้านสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน CAMHS ก็สร้างโครงการใหม่ขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ของแบรนดอน โดยสร้างทีมวิกฤตพิเศษที่จะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตไปดูแลเด็กและเยาวชนได้ถึงบ้าน


    

      เป็นอีกเรื่องราวที่น่าเศร้าใจมากๆ เลยนะคะ สงสารแบรนดอนมากๆ เลยที่ต้องทนเจออะไรแบบนั้นเป็นเวลานานมากโดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครที่ต้องเจอแบบแบรนดอนอีก และจะไม่มีใครที่ไปรังแกใครอีก ไม่ว่าจะเป็นการล้อปมด้อย ล้อลักษณะบางอย่าง การด่าทอ การข่มขู่ หรือแม้แต่การใช้กำลัง ขอให้ทุกคนได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตวัยเรียนกันนะคะ


ที่มา
www.telegraph.co.uk
metro.co.uk
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

C.toon Member 24 ก.ย. 60 16:13 น. 5

มันต้องใจเขาใจเรา ทั้งคนที่แกล้งเขา คนที่อยู่ในเหตุการณ์การกลั่นแกล้ง และบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง คนที่แกล้งเขาควรคิดว่าถ้าเราเจอแบบเขาบ้างเราจะรู้สึกยังไง


คนที่แกล้งเขา

การที่เรากดเขาเพื่อที่จะได้อยู่สูงกว่าเขาไม่ได้ทำให้เราสูงส่งอะไรเลยนะ มีแต่ตกต่ำยิ่งกว่าคนที่เราแกล้งอีก


คนที่อยู่ในเหตุการณ์การกลั่นแกล้ง

เราเองก็เคยเป็นเหยื่อของการโดนกลั่นแกล้งค่ะ แต่เรารอดจากตรงนั้นมาได้ เพราะ ครอบครัวล้วนๆ

ตอนเราโดนแกล้งจะมีคนรับรู้อยู่แทบทุกครั้ง แต่!!! จะมีน้อยคนมากกกกกกกกกกกก(กอไก่ล้านตัว) ที่เข้ามาช่วยเหลือเรา นับเป็นเปอร์เซ็นก็ประมาณ4% แค่นี้จริงๆ ตอนนี้สถานะเราเปลี่ยนจากการที่เป็นคนถูกแกล้งมาเป็นคนที่มักอยู่ในเหตุการณ์การกลั่นแกล้งแล้ว เวลาเราเจอเหตุการณ์แบบนี้เราจะเข้าไปห้ามโดยคำพูด ซึ่งทุกครั้งก็จะมีคนอื่นๆตามมา แล้วคนที่กำลังแกล้งก็จะหยุด ซึ่งเหตุการณ์ที่เราอยู่จะเปนคนในห้องรังแกกัน


บุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกคุณครูกับพ่อแม่ โดยส่วนตัวที่เราเคยเจอ เราจะรู้สึกโอเคกับคุณครูค่ะ เพราะท่านจะจัดการปัญหาได้แบบ ณ ตอนนั้นเฉียบขาด แต่สำหรับพ่อแม่ หลายท่านๆจะงานยุ่งไม่ค่อยได้เอาใจใส่ลูก หรือ ไม่ก็คิดว่าปัญหาการกลั่นแกล้งของเด็กไม่ค่อยหนักเท่าไร กว่าจะมานั่งรู้ว่าปัญหาที่เด็กเจอหนักหนาสาหัสก็เล่นซะได้แผลใจไปใหญ่และลึกกันเลยทีเดียว เราอยากให้บุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องและรับรู้ถึงปัญหาเรานี้ได้โปรดอย่าคิดว่าปัญหาที่เด็กเจอเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ เพราะสำหรับคนที่เจอนั้นไม่ใช่เบาๆเลย






0
กำลังโหลด
I'mEllza -3- Member 23 ก.ย. 60 23:25 น. 2

เหมือนเราเลย เราเรียนอาชีวแห่งหนึ่งตอนเราได้เขาไปเรียนใหม่(ตอนแรกเราจะเรียน ม.4 แต่ไม่มีตังจ่ายค่าเทอม) เพื่อนๆ ในห้องไม่คุยกับเรา นินทาเราไปทั่ว แกล้งทำเป็นไม่สนใจเรา เคยมีคนพูดกับเราว่า " นี่-มา รร. -มีความสุขไหม?" (ด้วยความที่เราหน้าตาเหมือนลูกคุณหนูด้วยแหละ พ่อไปรับ-ส่ง ทุกวัน) เราเคยถามเพื่อนคนอื่นว่าทำไมไม่คยกับเราเลย เพื่อนบอกว่ากูคิดว่า-เป็นลูกคุณหนูเสียอีก TT. มีตอน ชม.พละ เรากำลังเดินไปเอาลูกบาสมีทอมมาสกัดขาเรา แล้วก็หัวเราะกับพวกเพื่อน ๆ ตอนแข่งเก็บคะแนนทุกคนต้องเล่นบาส แต่เราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เล่นเพื่อนบอก กูไม่เห็น-นิ! ทั้งๆที่เรานั่งตรงนั้น แล้วมีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อน ผช.เดินทำมาเนียนเหยีบตีนเรา แล้วก็พูดขอโทษทั้งที่เดินมาเหยีบจังๆ ตลอดปีที่ผ่านมาตอนนีจะจบแล้ว เรามีเพื่อนสนิทแค่คนเดียวเอง (ตอนปี1) ส่วนตอนปี 2 ก็ไม่มีไรมากแล้วบางคนก็ออก บางคนท้อง บางคนก็ย้ายไปอยู่ห้องเกรดต่ำๆ เราอดทนเพื่อให้จบปี 3 เร็วๆ แต่ตอนนี้เราไม่เป็นไรมากแล้ว เราเคยร้องไห้กับพ่อแล้วพ่อบอกว่าใครที่ไม่ดีกับเราอย่าไปสนใจเขานะ อย่าไปมีเรื่องกับใคร ใครดีมาเราดีตอบ ตอนนี่จิตใจเราแข็งแกร่งพอมาก ๆ ฟังแล้วอาจไม่ได้อะไรแต่เราขอเล่าไว้ให้ฟัง ขอบคุณค่ะ -/\-

0
กำลังโหลด
When_I_Was_Young Member 24 ก.ย. 60 15:35 น. 4

เราว่าควรแก้ที่ต้นตอมากกว่าจะแก้ผลเสียที่ตามมา ควรให้เขาออกห่างจากเพื่อนแบบนั้นอ่ะ ไม่ก็ย้ายไปเลย

1
katiJ Member 5 ต.ค. 60 00:03 น. 4-1

แอบคิดเหมือนกันนะคะ ว่าพ่อแม่น่าจะรับฟังปัญหาของลูกมากกว่านี้ การส่งไปพบจิตแพทย์ก็เป็นเรื่องดีแต่น่าจะทำควบคู่กับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วย

0
กำลังโหลด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
I'mEllza -3- Member 23 ก.ย. 60 23:25 น. 2

เหมือนเราเลย เราเรียนอาชีวแห่งหนึ่งตอนเราได้เขาไปเรียนใหม่(ตอนแรกเราจะเรียน ม.4 แต่ไม่มีตังจ่ายค่าเทอม) เพื่อนๆ ในห้องไม่คุยกับเรา นินทาเราไปทั่ว แกล้งทำเป็นไม่สนใจเรา เคยมีคนพูดกับเราว่า " นี่-มา รร. -มีความสุขไหม?" (ด้วยความที่เราหน้าตาเหมือนลูกคุณหนูด้วยแหละ พ่อไปรับ-ส่ง ทุกวัน) เราเคยถามเพื่อนคนอื่นว่าทำไมไม่คยกับเราเลย เพื่อนบอกว่ากูคิดว่า-เป็นลูกคุณหนูเสียอีก TT. มีตอน ชม.พละ เรากำลังเดินไปเอาลูกบาสมีทอมมาสกัดขาเรา แล้วก็หัวเราะกับพวกเพื่อน ๆ ตอนแข่งเก็บคะแนนทุกคนต้องเล่นบาส แต่เราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เล่นเพื่อนบอก กูไม่เห็น-นิ! ทั้งๆที่เรานั่งตรงนั้น แล้วมีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อน ผช.เดินทำมาเนียนเหยีบตีนเรา แล้วก็พูดขอโทษทั้งที่เดินมาเหยีบจังๆ ตลอดปีที่ผ่านมาตอนนีจะจบแล้ว เรามีเพื่อนสนิทแค่คนเดียวเอง (ตอนปี1) ส่วนตอนปี 2 ก็ไม่มีไรมากแล้วบางคนก็ออก บางคนท้อง บางคนก็ย้ายไปอยู่ห้องเกรดต่ำๆ เราอดทนเพื่อให้จบปี 3 เร็วๆ แต่ตอนนี้เราไม่เป็นไรมากแล้ว เราเคยร้องไห้กับพ่อแล้วพ่อบอกว่าใครที่ไม่ดีกับเราอย่าไปสนใจเขานะ อย่าไปมีเรื่องกับใคร ใครดีมาเราดีตอบ ตอนนี่จิตใจเราแข็งแกร่งพอมาก ๆ ฟังแล้วอาจไม่ได้อะไรแต่เราขอเล่าไว้ให้ฟัง ขอบคุณค่ะ -/\-

0
กำลังโหลด
ิิbb 24 ก.ย. 60 00:28 น. 3

เอาจริงๆนะ พบเเพทย์ไม่ใช่ทางออกเสมอไป ยาไม่ได้ได้ช่วยไรเท่าไหร่หรอก ทางออกที่ดีสุดคือให้ย้าย รร ไม่ใช่่เอะอะจับเข้าโรงบาล มันจะทำให้สภาพจิตเเย่ลงจริงๆ ควรเปลี่ยนสภาพเเวดล้อมในทางที่ดีขึ้น ไม่งั้นมันจะสายไป สงสารอ้ะไม่น่าเลย

0
กำลังโหลด
When_I_Was_Young Member 24 ก.ย. 60 15:35 น. 4

เราว่าควรแก้ที่ต้นตอมากกว่าจะแก้ผลเสียที่ตามมา ควรให้เขาออกห่างจากเพื่อนแบบนั้นอ่ะ ไม่ก็ย้ายไปเลย

1
katiJ Member 5 ต.ค. 60 00:03 น. 4-1

แอบคิดเหมือนกันนะคะ ว่าพ่อแม่น่าจะรับฟังปัญหาของลูกมากกว่านี้ การส่งไปพบจิตแพทย์ก็เป็นเรื่องดีแต่น่าจะทำควบคู่กับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วย

0
กำลังโหลด
C.toon Member 24 ก.ย. 60 16:13 น. 5

มันต้องใจเขาใจเรา ทั้งคนที่แกล้งเขา คนที่อยู่ในเหตุการณ์การกลั่นแกล้ง และบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง คนที่แกล้งเขาควรคิดว่าถ้าเราเจอแบบเขาบ้างเราจะรู้สึกยังไง


คนที่แกล้งเขา

การที่เรากดเขาเพื่อที่จะได้อยู่สูงกว่าเขาไม่ได้ทำให้เราสูงส่งอะไรเลยนะ มีแต่ตกต่ำยิ่งกว่าคนที่เราแกล้งอีก


คนที่อยู่ในเหตุการณ์การกลั่นแกล้ง

เราเองก็เคยเป็นเหยื่อของการโดนกลั่นแกล้งค่ะ แต่เรารอดจากตรงนั้นมาได้ เพราะ ครอบครัวล้วนๆ

ตอนเราโดนแกล้งจะมีคนรับรู้อยู่แทบทุกครั้ง แต่!!! จะมีน้อยคนมากกกกกกกกกกกก(กอไก่ล้านตัว) ที่เข้ามาช่วยเหลือเรา นับเป็นเปอร์เซ็นก็ประมาณ4% แค่นี้จริงๆ ตอนนี้สถานะเราเปลี่ยนจากการที่เป็นคนถูกแกล้งมาเป็นคนที่มักอยู่ในเหตุการณ์การกลั่นแกล้งแล้ว เวลาเราเจอเหตุการณ์แบบนี้เราจะเข้าไปห้ามโดยคำพูด ซึ่งทุกครั้งก็จะมีคนอื่นๆตามมา แล้วคนที่กำลังแกล้งก็จะหยุด ซึ่งเหตุการณ์ที่เราอยู่จะเปนคนในห้องรังแกกัน


บุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกคุณครูกับพ่อแม่ โดยส่วนตัวที่เราเคยเจอ เราจะรู้สึกโอเคกับคุณครูค่ะ เพราะท่านจะจัดการปัญหาได้แบบ ณ ตอนนั้นเฉียบขาด แต่สำหรับพ่อแม่ หลายท่านๆจะงานยุ่งไม่ค่อยได้เอาใจใส่ลูก หรือ ไม่ก็คิดว่าปัญหาการกลั่นแกล้งของเด็กไม่ค่อยหนักเท่าไร กว่าจะมานั่งรู้ว่าปัญหาที่เด็กเจอหนักหนาสาหัสก็เล่นซะได้แผลใจไปใหญ่และลึกกันเลยทีเดียว เราอยากให้บุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องและรับรู้ถึงปัญหาเรานี้ได้โปรดอย่าคิดว่าปัญหาที่เด็กเจอเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ เพราะสำหรับคนที่เจอนั้นไม่ใช่เบาๆเลย






0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เรโกะ จิทาคุ Member 26 ก.ย. 60 08:13 น. 7

ของหนูโดนกีดกันและเมินตั้งแต่จำความได้ อืม...เพื่อนก็คุยกันจนตั้งแต่ต้นเทอมยันปลายเทอม แน่นอน อยากย้ายรร.ตั้งนาน พ่อแม่ไม่ให้ย้าย ลาออก ก็ไม่ให้ ต้องทนอยู่กับไอพวกนี้จนจบม.6สินะ? หนูเลย เมินมัน ไม่คิดจะมีสังคมแล้ว

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด