"เมโม" นายแบบเชื้อสายอียิปต์ หลงรักเมืองไทย จนได้ทำงาน 3 อาชีพอยู่ที่กรุงเทพ!

    สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com พบกับ พี่นิทาน ใน Humans of Dek-D ที่จะรวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจของชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย หรือเคยทำอะไรเจ๋งๆ ในเมืองไทย มาเล่าให้น้องๆ ฟังกันค่ะ สำหรับวันนี้พี่มีเรื่องราวสุดคูลของหนุ่มหล่อชาวอียิปต์ที่มาอยู่ไทยกว่า 10 ปีแล้ว! มาดูกันว่าเขาทำอะไรที่เมืองไทย

 

    เมโม อิมาม (Memo Emam) หนุ่มอียิปต์มากความสามารถ จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาขาบริหารธุรกิจ (Business Administration) และปัจจุบันกำลังเรียน ป.โท อยู่ที่เดียวกัน ในสาขาวิชาการสื่อสารสากล (Global Communication) โห เรียนเยอะขนาดนี้ น้องๆ คงสงสัยกันแล้วใช่ไหมคะว่าเมโมมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ และเพราะอะไรกันนะ..


แค่อยากมาเที่ยวชิลล์ๆ กลับหลงเสน่ห์เมืองไทย

 

    สิบปีก่อนผมกำลังจะเรียนจบมัธยมที่อียิปต์ ตอนนั้นเด็กมาก อายุประมาณ 19 ก็เลยคิดว่าหลังจบอยากหาอะไรสนุกๆ ตื่นเต้นทำ เช่น ไปเที่ยวต่างประเทศ ผจญภัย และอยากหางาน เลยนึกถึงเมืองไทยขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจบินมาเมืองไทยทั้งๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้จักเมืองไทยเท่าไหร่ ในหัวก็คิดว่าประเทศไทยคงมีแต่ชายหาด ทะเล เกาะต่างๆ แต่พอมาถึงกรุงเทพก็แอบตกใจมีความ Culture shock เหมือนกัน เพราะไม่คิดมาก่อนว่ากรุงเทพเป็นแบบนี้ แถมแอบงงด้วยว่า อ้าว! ไม่เห็นมีช้างเหมือนที่คิดเลย (หัวเราะ) 

    ผมมาจากเมืองชื่ออเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในอียิปต์ เมืองนี้จะคล้ายๆ พัทยาแต่ใหญ่กว่า เดินทางจากไคโร (เมืองหลวงอียิปต์) ไปได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง เป็นเมืองหลวงเก่าของอียิปต์และใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ มีห้องสมุดในอเล็กซานเดรียที่เป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกด้วย 

 
ตอนเรียนจบ ป.ตรี 

    ผมคิดว่ากรุงเทพเป็นเมืองใหญ่และมีชีวิตชีวา มีความวุ่นวายสไตล์เมืองหลวงพอๆ กับไคโรเลย แต่ว่ากว้างกว่า ใหญ่กว่า ปลอดภัยกว่าและมีการจัดการต่างๆ ดีกว่าเยอะเลย และสำหรับผู้หญิงก็ปลอดภัยกว่าไคโรมากๆ ในไคโรถ้าผู้หญิงเดินคนเดียวก็อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยนัก แต่ในกรุงเทพคือโอเคกว่าเยอะครับ 

    สิ่งที่ชอบที่สุดในเมืองไทยคือผู้คนใจดี คนไทยนิสัยดี กรุงเทพสวยมากและมีความอิสระในหลายๆ เรื่อง ผมเลยอยู่มาประมาณสิบปีได้แล้ว ตอนแรกที่มาใหม่ๆ ก็ไม่ได้แพลนอะไรเลย คิดแค่ว่าจะมาเที่ยวเฉยๆ ผจญภัยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจสมัครเรียนมหาลัยที่ม.กรุงเทพ เรียนสาขาบริหารธุรกิจเพราะตอนนั้นสนใจเรื่องเกี่ยวกับออกแบบเครื่องประดับ และอยากเปิดร้านขาย เลยคิดว่าน่าจะช่วยในเรื่องการวางแผนธุรกิจได้ ปัจจุบันผมมีงานหลักๆ ทำอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ งานออกแบบเครื่องประดับ และงานถ่ายแบบครับ 


อยู่ๆ ก็ได้เป็นนายแบบอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน 

 

    งานนายแบบนี้เริ่มตอนที่ผมมาไทยใหม่ๆ เป็นช่วงที่เรียนมหา'ลัย แต่ก่อนผมไม่เคยคิดว่าตัวเองดูดีขนาดจะถ่ายแบบได้เลย แต่อยู่ๆ เพื่อนที่มหา'ลัยก็บอกให้ลองไปถ่ายแบบดูเพราะเราน่าจะเหมาะ ผมเลยคิดว่า เออ ลองดูก็ไม่เสียหาย ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ เลยเริ่มจากรับงานเอเจนซี่ต่างๆ และก็ได้ถ่ายแบบให้ทาง ม.กรุงเทพ ด้วย มีถ่ายโฆษณาและโปสเตอร์โปรโมตมหาวิทยาลัยในแคมเปญต่างๆ เคยมีบนบีทีเอสด้วย ตอนนี้ในเว็บมหาลัยก็ยังมีรูปผมอยู่เหมือนกัน

 

    ทุกวันนี้ไม่ได้รับงานถ่ายแบบเยอะเท่าไหร่ เพราะผมมีงานหลักในโรงพยาบาลแล้ว ถ้ามีเอเจนซี่โทรมาให้ไปถ่ายอะไรถึงค่อยไป งานถ่ายแบบที่เคยทำก็จะเป็นโฆษณาทางทีวี ถ่ายแบบให้แบรนด์แว่นกันแดด ชุดว่ายน้ำ เสื้อผ้าต่างๆ แล้วแต่ว่าใครจะจ้างอะไร แต่ตอนนี้พอทำงานกับโรงพยาบาลก็อาจถ่ายแบบได้ไม่เหมือนเดิม เช่น ถ่ายแบบออกแนวเซ็กซี่ๆ ชุดว่ายน้ำ อะไรประมาณนี้ ก็อาจจะดูไม่เหมาะสมกับงานปัจจุบัน เลยพักแนวนั้นไว้ก่อนครับ (หัวเราะ)   


มีเครื่องประดับที่ออกแบบเองด้วย!

 
งานออกแบบเครื่องประดับ

    นอกจากเป็นนายแบบแล้ว ตอนผมเรียน ป.ตรี ก็ทำหลายงานเหมือนกันครับ ทั้งช่วยงานในมหา'ลัย และก็เริ่มออกแบบเครื่องประดับหลายอย่าง เป็นงานที่ทำอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่ใช่งานหลัก แต่ก่อนผมก็จะขายส่ง และออกแบบพวกสร้อยคอ แหวน เครื่องประดับต่างๆ ตามสั่ง และให้พวกนักร้อง Hip-hop ด้วย 

 
งานออกแบบเครื่องประดับ 
สามารถเข้าไปดูได้ที่เพจ Silver Dragon 925 

    ผมชอบงานนี้มากเพราะสนใจพวกเครื่องประดับ แต่สำหรับชาวต่างชาติแล้วก็ยากนิดนึงถ้าจะเอาดีด้านธุรกิจเครื่องประดับในเมืองไทย เพราะบางครั้งผมยังไม่มีคอนเนคชั่นพอ และในวงการธุรกิจก็ขึ้นๆ ลงๆ ขึ้นอยู่กับตลาดด้วย งานโรงพยาบาลตอนนี้เลยเป็นงานหลักของผมที่ค่อนข้างมั่นคง ส่วนงานถ่ายแบบและออกแบบเครื่องประดับก็กลายเป็นงานเสริมในปัจจุบันครับ 


งานล่ามในโรงพยาบาลที่สุดแสนจะท้าทาย

 

    ตอนแรกผมเข้ามาทำที่โรงพยาบาลในตำแหน่ง PR (Public Relations) และพอทำสักพักก็ได้เรียนรู้รายละเอียดงานในโรงพยาบาลมากขึ้น หัวหน้าในโรงพยาบาลเลยย้ายให้ไปอยู่แผนกศัลยแพทย์ตกแต่ง ที่ต้องมาแผนกนี้เพราะเป็นแผนกที่เจอปัญหาเรื่องการสื่อสารบ่อยที่สุดเพราะคนป่วยส่วนมากจะมาจากตะวันออกกลางและบางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แผนกศัลยแพทย์ตกแต่งจะรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น คนที่เป็นโรคเบาหวานและเป็นแผลที่ขา พวกเขาก็จะมาที่นี่ หมอก็จะรักษาให้เดินได้อีกครั้ง 

    งานของผมในห้องผ่าตัดคือสื่อสารกับคนป่วยที่มาจากตะวันออกกลาง และต้องใช้ภาษาอาหรับในการพูดคุย ผมจะช่วยสื่อสารให้หมอผ่าตัดในแต่ละขั้นตอนได้ง่ายขึ้น บางครั้งผมก็ต้องถ่ายรูป อัดวิดีโอในการผ่าตัดบันทึกไว้ใช้ในการศึกษาในโรงพยาบาลต่อไป ถ้าคนไข้รู้สึกตัวผมก็ต้องชวนคุยเพื่อเบนความสนใจไม่ให้เขาเครียดหรือกังวล เช่น ถามนู่นนี่ หรือคุยเรื่องสนุก ตลกๆ ให้เขาหัวเราะก็ช่วยให้เขาคลายเครียดไปได้อีกทาง 

 
ได้รับรางวัลจากคนไข้ 
เป็นรางวัลขอบคุณที่ดูแลและเอาใจใส่

    ด้วยความที่ต้องพูดคุยสื่อสารผมเลยคิดว่าสาขาที่เรียนโทอยู่ตอนนี้ก็มีความเกี่ยวข้องและเอามาใช้ได้ทั้งปัจจุบันและในอนาคต นอกจากงานสื่อสารหรือถ่ายรูปในห้องผ่าตัดแล้วผมก็ช่วยเรื่องอื่นๆ ให้หมอ พยาบาลและทีมงานในห้องผ่าตัดด้วยครับ เนื้องานอาจไม่ได้ลงลึกเท่าพยาบาล แต่ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ให้มากที่สุด


เอาชนะความกลัวด้วยความพยายาม

 
งานในโรงพยาบาล

    จริงๆ แล้วผมกลัวเลือดมาก แบบสามารถเป็นลมได้เลยถ้าเห็นเลือดเยอะๆ แล้วเราต้องเข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดเลยต้องเจอกับแผลต่างๆ หรือเคสอุบัติเหตุที่น่ากลัวๆ ตามสไตล์โรงพยาบาล แต่ด้วยความที่เป็นงานเราก็ต้องชินกับมัน ถึงบางครั้งอาจจะกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกเครียดๆ หนักๆ บ้าง

    แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่างานนี้ท้าทายและเจ๋งดี เพราะเราต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง อีกอย่างคือผมไม่ได้จบสายการแพทย์หรือที่เกี่ยวข้องมาเลย พอมีโอกาสมาทำที่นี่เลยได้เรียนรู้และเห็นงานในโรงพยาบาล ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ทำ และเป็นประสบการณ์ใหม่มากๆ 

 
ได้รับโล่รางวัลจากคนไข้

    ช่วงแรกๆ ที่อยู่เมืองไทยก็เจอปัญหาหลักๆ บ้าง เช่น เรื่องภาษา เรื่องการเดินทาง เรื่องการปรับตัวให้เข้ากับผู้คน วัฒนธรรมและเมือง (กรุงเทพใหญ่มาก) และก็เรื่องการหางานด้วย ช่วงแรกๆ ที่ยังหางานไม่ได้ก็ค่อนข้างลำบากเหมือนกัน เพราะจะไม่มีเงินใช้ ตอนตัดสินใจสมัครเข้าเรียนที่ ม.กรุงเทพ ก็ต้องส่งตัวเองเรียนด้วย เพราะพอจบมัธยมมาครอบครัวผมก็ไม่ได้ซัพพอร์ทเรื่องเรียนต่อแล้ว แต่มันก็ยังมีข้อดี เพราะเมื่อเรารู้สึกว่าเราลำบากหรือมีอุปสรรค เราก็ต้องสู้และพยายามให้มากกว่านี้ 

    ส่วนเรื่องงาน ด้วยความเป็นชาวต่างชาติเลยจะหางานยากกว่าคนไทย เพราะพวกเราต้องการงานที่มั่นคงและสามารถช่วยเรื่องวีซ่าและพาสปอร์ตได้ งานส่วนมากในไทยจะไม่ค่อยมีนโยบายด้านนี้เพราะเขาต้องทำเอกสารเยอะ เว้นแต่เราจะหางานทำในบริษัทใหญ่ๆ ได้ เขาถึงจะซัพพอร์ตเรื่องนั้นให้ เช่น งานในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ฯลฯ ซึ่งงานผมตอนนี้ก็ช่วยเรื่องนี้เช่นกัน  


ความประทับใจในหลายๆ อย่างของประเทศไทย 

 
กับรถโรงพยาบาลที่ทำงานร่วมกัน

    ผมชอบงานปัจจุบันที่โรงพยาบาลมากเพราะได้ช่วยเหลือคน และประทับใจการทำงานกับคนไทยมากเพราะคนไทยใจดี ใจเย็นมาก พวกเขาทำงานช่วยเหลือคนจากใจจริง และตั้งใจมาทำอาชีพนี้เพราะ 'อยากทำ' ไม่ใช่เพราะ 'ต้องทำ' ผู้หญิงส่วนมากที่มาสมัครเป็นพยาบาลก็ดูตั้งใจมากและรักในงานนี้จริงๆ อยากช่วยคนจริงๆ ในขณะเดียวกันในบางประเทศ คนบางคนมีเหตุผลในการเลือกอาชีพบางอย่างไม่เหมือนกัน เช่น ต้องมาทำงานนี้เพราะเรียนจบมาได้เกรดไม่ดี เลยสมัครอันนี้ แต่ที่นี่ผมเห็นถึงความตั้งใจมากจนทำให้ประทับใจมากๆ  

    นอกจากนั้นผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากประเทศไทย ด้วยความที่อยู่ที่นี่มา 10 ปีแล้ว ผมก็พูดภาษาไทยได้ด้วย เพราะสำหรับชาวต่างชาติอย่างเรา ภาษาไทยจำเป็นมากในการสื่อสาร บางครั้งคนไทยบางคนไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ และถ้าเราพูดไทยไม่ได้เลยมันจะลำบากกับหลายๆ อย่าง เช่น การเดินทาง เรียกแท็กซี่ สั่งอาหาร อยากบอกอะไรใครหรืออยากคุยกับเพื่อนไทย ก็จำเป็นต้องรู้ไว้ 

    ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าผมโตที่นี่เช่นกัน เพราะประเทศไทยทำให้ผมมีทั้งความทรงจำดีๆ มีเพื่อน มีงานและประสบการณ์ต่างๆ ได้เที่ยว ได้ผจญภัย ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ชอบครับ  


เป้าหมายต่อไป อยากทำงานใน UN

 

    ผมอยู่ไทยมาก็นานแล้ว และยังไม่มีแพลนจะกลับไปอยู่ที่อียิปต์ เว้นแต่ไปเยี่ยมบ้าง แต่ปัจจุบันที่อียิปต์มีปัญหาเรื่องการเมือง ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ มีทหารคุมประเทศ อาจจะคล้ายไทยบางทีแต่ว่ารุนแรงกว่า และความเท่าเทียมในมนุษย์ก็ค่อนข้างน้อย ผมเลยคิดว่าประเทศไทยปลอดภัยและอยู่ง่ายมาก เพราะที่นี่เราไม่ต้องเครียดหรือกลัวอะไรเวลาเดินไปไนมาไหนหรือทำอะไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบกับอียิปต์ ในไทยคือทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เบียดเบียนกัน ไม่ว่าจะมาจากไหน เชื้อชาติอะไรก็ตาม 

    ตอนนี้ใกล้จบ ป.โท แล้ว หลังเรียนจบก็คิดเหมือนกันว่าจะทำอะไรต่อไป อนาคตอยากทำงานกับองค์การสหประชาชาติ (UN) ในตำแหน่งที่คล้ายๆ กับที่ทำอยู่ในโรงพยาบาลตอนนี้ แต่อาจจะกว้างกว่านั้น คือทำงานกับผู้คน ติดต่อและช่วยเหลือ เช่น ชาวต่างชาติที่มีปัญหาร้ายแรงต่างๆ จะเป็นงานที่กว้างกว่า ติดต่อกับต่างประเทศ ดังนั้นผมเลยเลือกเรียน ป.โท สาขาวิชาการสื่อสารสากล (Global Communication) ครับ

    และนอกจากงาน UN แล้วก็อยากพัฒนาและเอาจริงเอาจังในเรื่องเครื่องประดับ ถึงตอนนี้จะมีงานหลักจริงจังแต่ก็ไม่เคยทิ้งเรื่องออกแบบเครื่องประดับไปเลย ผมแค่รอหาโอกาสและช่วงเวลาที่เหมาะที่จะได้ต่อยอดไปเรื่อยๆ 


อย่าคิดว่าทำไม่ได้ จงพยายามต่อไป

 

    ผมอยากบอกทุกคนว่า ถ้าใครมีฝันหรืออยากทำอะไรก็อย่าไปกลัว อย่าสงสัยในตัวเองว่า 'เฮ้ย เราจะทำได้เหรอ?' หรือ 'เราจะเหมาะเหรอ' เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่าชีวิตเราจะเจออะไรหรือในอนาคตจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่าจะทำไม่ได้ ให้พยายามต่อไป มีครั้งหนึ่งผมเคยเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า 'คุณอยากบอกอะไรกับตัวเองเมื่อ 2 ปีก่อนใน 2 ประโยค' ผมเลยคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปบอกตัวเองว่า "Keep going" หรือให้พยายามต่อไป 

    บางครั้งเราอาจจะเจออุปสรรคและคิดในใจว่าไม่อยากทำแล้ว พอแล้ว แต่ถ้าเราพยายามต่อไปและผ่านอุปสรรคพวกนั้นมาได้ เราจะมองกลับไปแล้วภูมิใจว่า เออ เราก็ทำได้นี่นา และสิ่งสำคัญที่สุดคือ "กล้าที่จะทำสิ่งที่เราคิด" ครับ

   

     เรื่องราวของเมโมทำให้พี่รู้สึกมีแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นเยอะเลย และหวังว่าน้องๆ น่าจะรู้สึกเหมือนกันนะคะ ใครที่มีความตั้งใจ อยากทำอะไร อยากประสบความสำเร็จในสิ่งใดก็ตาม อย่ารอช้า "เริ่ม" เลยค่ะ การเริ่มต้นอาจไม่ง่ายเสมอไป แต่อย่างน้อยถ้าได้ทำ ก็ดีกว่าแค่คิดไว้เฉยๆ ค่ะ :) 

     ส่วนใครมีเพื่อนหรือคนรู้จักเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยแล้วทำอะไรเจ๋งๆ ก็ส่งเบาะแสมาได้นะคะ เราจะตามไปสัมภาษณ์แน่นอน
พี่นิทาน

แสดงความคิดเห็น

กระทู้นี้ถูกปิดการแสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

10 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และทะเลาะกันอย่างรุนแรง หรือมีเนื้อหาต่อว่า วิจารณ์ หรือประจานผู้อื่น ที่มิได้เป็นบุคคลสาธารณะ

กำลังโหลด
กำลังโหลด