'ดัฟฟี่' สาวอเมริกันที่ติดใจชีวิตในรั้วจุฬาฯ จนยอมมาอยู่ไทยคนเดียวตั้งแต่อายุ 17


     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า มาพร้อมกับ Humans of Dek-D บทความพิเศษที่จะรวบรวมเรื่องราวน่าสนใจของชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตในเมืองไทยค่ะ สำหรับวันนี้พี่มีเรื่องราวของชาวอเมริกันเชื้อสายไทยที่โตเมืองนอกมาทั้งชีวิต พูดไทยก็ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจมาเรียนต่อที่ประเทศไทยค่ะ มาดูกันว่าสาวคนนี้มีเรื่องอะไรสนุกๆ มาเล่าให้ฟังกันบ้าง



ภาพออฟฟิเชียลจาก MC of Chula
Photo credit: Duffy


ทำความรู้จักกันก่อน


     สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อ "ดัฟฟี่" ค่ะ ตอนนี้เป็นนิสิตปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ ถึงแม้จะหน้าตาไม่ไทยซักเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วฉันเป็นลูกครึ่งไทย-ไอริชนะคะ แต่ฉันโตมาในอเมริกาและเม็กซิโกค่ะ ฉันเคยอยู่ที่ซานฟรานซิสโกค่ะ แต่พอเรียนจบไฮสคูลที่อเมริกา ฉันก็มาเรียนต่อในไทยตอนอายุ 17 ปีค่ะ


ตั้งใจมาไทยแต่ไม่ตั้งใจจะอยู่ยาว


     ตอนนั้นฉันคิดไว้ว่าอยากมาเรียนต่อในเอเชีย กะว่าจะลงทะเบียนเรียนในหลายๆ ประเทศไปเรื่อยๆ แต่เล่าไปแล้วก็ตลก พอจบไฮสคูลฉันก็สมัครมาเรียนที่นิเทศจุฬาค่ะ คิดว่าจะมาเรียนภาษาไทยซักหนึ่งปี มาเรียนรู้วัฒนธรรมอะไรแบบนี้ เสร็จแล้วก็คิดไว้ว่าจะสมัครที่ประเทศอื่นต่อ แต่ทีนี้พอได้เข้ามาซึมซับไลฟ์สไตล์แบบนิเทศจุฬาแล้วก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของคณะแล้ว ก็เพลินและสนุกมากจนลึมสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฮ่องกงและสิงคโปร์ไปเลยค่ะ

     ทีแรกก็โมโหตัวเองนะคะ แต่ซักพักก็รู้สึกว่านี่อาจเป็นโชคชะตา ฉันได้เพื่อนดีๆ มากมาย รวมถึงได้คอนเน็คชัน ฉันรู้สึกสบายใจกับที่นี่ก็เลยเลือกที่จะเรียนที่นี่ต่อเลย โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่เข้าใจแล้วก็สนับสนุนการตัดสินใจในครั้งนี้ด้วยค่ะ


Photo credit: Duffy


ประสบการณ์น่าอายในเมืองไทย


     ฉันเคยอยู่ในคลิปไวรัลที่ดังมากๆ ในเมืองไทยช่วงนึงค่ะ คลิปมีชื่อว่า "Farang Struggle" เป็นคลิปตลกๆ ที่ฉันทำกับรุ่นพี่ปี 4 เมื่อ 3 ปีก่อนเกี่ยวกับการรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนน ตอนนั้นมีคนดูกว่า 1 ล้านคนบนยูทูบเลยนะคะ นอกจากนี้คลิปก็ถูกพูดถึงในรายการทีวีหลายรายการอย่างรายการของคุณสรยุทธในตอนนั้นค่ะ

     ฉันจำได้ว่าตอนที่สรยุทธสัมภาษณ์ฉัน ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียงมากในไทย แล้วก็ไม่ได้เตรียมตัวสัมภาษณ์มาล่วงหน้าด้วย อันที่จริงฉันไปดื่มกับรุ่นพี่ในคืนก่อนหน้าแถมไม่ได้สระผมไปด้วย เรียกได้ว่าโผล่ไปที่สตูดิโอแบบเหมือนเพิ่งมาจากถนนข้าวสารโดยตรงเลยค่ะ พอเขาถามคำถามอะไรมาฉันก็ได้แต่นั่งเหวอ ฉันพูดภาษาไทยแบบจริงๆ จังๆ ไม่ได้เลยด้วย ตอนแรกการสัมภาษณ์จะเป็นการถ่ายทอดสด แต่พอฉันตอบไม่ได้แม้แต่คำถามเดียว ทีมงานก็เลยหยุดการถ่ายทำแล้วบอกว่าบันทึกไว้ออกอากาศทีหลังดีกว่า สุดท้ายก็ได้ออนแอร์ช่วงเจาะข่าวเด่นเย็นวันศุกร์ค่ะ บอกเลยว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าย้อนกลับไปดูคลิปสัมภาษณ์นั้นซ้ำอีก

Clip

ดัฟฟี่


เมื่อชื่อเสียงกลายเป็นดาบสองคม


     จริงๆ ฉันมักจะหัวเราะไปด้วยเวลามีคนมาทักเพราะจำฉันได้จากคลิปนั้น เพราะนั่นทำให้ฉันนึกถึงความทรงจำฮาๆ ที่เกิดในตอนทำคลิป พอคลิปดังก็มีคนเสนอให้ฉันเล่นโฆษณามากมายเลย ทั้งเชิญไปออกรายการดึกๆ เชิญไปเล่นหนังสั้น รวมถึงเชิญไปเป็นพิธีกรรายการทีวี ฉันคิดว่านี่คงเป็นฝันที่เป็นจริงของใครหลายๆ คนเลย ที่อยู่ๆ ก็ได้ดังเปรี้ยงข้ามคืนแล้วคนทั่วประเทศก็ให้ความสนใจ

     แต่ตอนนั้นฉันเป็นแค่เด็กอายุ 17 ที่มาอยู่เมืองไทยคนเดียว ไม่มีครอบครัว ไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทย แถมยังพูดไทยไม่ได้เลยอีก ช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นช่วงที่สับสนและยากสำหรับฉันมาก จากที่เคยมีชีวิตส่วนตัวก็กลายเป็นคนสาธารณะในชั่วข้ามคืน และฉันก็ไม่ได้เตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลงนี้เลย มีคนบอกว่าคนดังที่อายุเท่านี้ทำแบบนั้นแบบนี้เวลาที่พวกเขาดัง แต่ฉันรู้สึกว่าถ้าต้องเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าฉันไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจและทนไม่ได้จริงๆ ค่ะ

     ภาพจำของฉันในหัวคนอื่นคือเป็นฝรั่งฮาๆ ที่พูดแต่คำหยาบ ซึ่งนั่นทำให้คนมองไม่เห็นลักษณนิสัยที่แท้จริงของฉัน และมองข้ามศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์และพรสวรรค์ของฉันไป ฉันรู้ดีว่าฉันจะต้องโมโหตัวเองมากแน่ๆ ถ้าปล่อยให้สังคมไทยจำภาพฉันในแบบนั้น รวมไปถึงคนที่จะเข้ามารู้จักกับฉันก็จะเห็นแต่ภาพแบบนั้นมาก่อน ฉันคิดว่าฉันยังต้องเรียนรู้อีกเยอะกว่าจะกลายเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี ฉันต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่ฉันจะได้ใช้สิ่งที่ตัวเองทำได้ช่วยสร้างสิ่งที่ดีขึ้นกว่านี้


Photo credit: Duffy


ปัจจุบันที่ดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ


     ตอนนี้ฉันเรียนอยู่เทอมสุดท้ายของนิเทศแล้วค่ะ แล้วก็กำลังทำธีสิสโปรเจกต์อยู่ ฉันจะกำกับภาพยนตร์กับเพื่อนๆ ในธีมเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ, การเข้าทรง, และหมอผีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ปีนี้ฉันก็ยุ่งกับการเป็น MC of Chula ตลอดทั้งปีด้วยค่ะ นี่ถือเป็นหนึ่งในสามชมรมดังของจุฬา (ที่เหลือคือจุฬาคฑากรและหลีดจุฬา) ฉันเป็นหนึ่งในผู้ชนะจากผู้สมัคร 400 คนที่ได้เป็นพิธีกรของจุฬาในภาคอินเตอร์ค่ะ

     การได้เป็น MC ช่วยพัฒนาทักษะด้านการพูด สื่อสาร และการแสดงต่อหน้าคนจำนวนมาก แถมยังต้องมีพลังพอที่จะส่งไปให้ทุกคนด้วย ซึ่งการเป็น MC เป็นสิ่งที่ฉันจริงจังด้วยมากจริงๆ เพราะถือเป็นศิลปะการแสดงที่ต้องใช้ทั้งการสื่อสาร พลังงาน และสัญชาติญาณ งานนี้ทำให้ฉันให้เจอกับคนดังของไทยมากมายจากหลายสาขา ฉันดีใจมากๆ ด้วยที่ได้เป็นพิธีกรในงานใหญ่ๆ อย่างงานกีฬามหาวิทยาลัย หรืองาน Harvard College in Asia Program (HCAP)

     การเป็น MC of Chula ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก และนำไปสู่ประสบการณ์ดีๆ อีกมากมายนอกมหาวิทยาลัยด้วยค่ะ สัปดาห์ก่อนนี้เอง UN ก็เพิ่งเสนองานให้ฉันเป็นพิธีกรการประชุม APYF (Asia Pacific Youth Exchange)

     นอกจากนี้ฉันก็ยังเป็นประธานชมรมนิเทศอินเตอร์ และเป็นนักโต้วาทีของชมรมโต้วาทีของจุฬาด้วยค่ะ


การเป็นพิธีกรในงาน APYF
Photo credit: Duffy


กิจกรรมส่วนตัวก็ไม่ขาดหาย


     ฉันเคยสมัครเป็นตัวแทนประเทศไทยไปร่วมการประชุม Model ASEM Meeting ครั้งที่ 8 ในประเทศเมียนมาร์แล้วก็ได้รับคัดเลือกด้วยค่ะ เคยมีโอกาสไปร่วมทานอาหารค่ำและพูดคุยกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศด้วย


ถ่ายภาพร่วมกับคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ที่กรุงเนปิดอว์
Photo credit: Duffy

     ส่วนงานอดิเรกส่วนตัวจริงๆ ฉันชอบสะสมผ้าไหมไทยค่ะ รวมถึงผ้าพื้นเมืองต่างๆ จากทั่วประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ฉันมีเป็นคอลเลคชั่นใหญ่เลยแหละ นอกจากนี้ฉันก็ชอบออกแบบเสื้อแจ็กเก็ตในเวลาว่าง หลายคนที่มหาวิทยาลัยจำฉันได้เพราะสไตล์การแต่งตัวของฉัน ที่จะผสมผสานความดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัยและใส่สัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาลงไปด้วย พูดได้เลยว่าสไตล์ของฉันคือเป็นของฉันแท้ๆ คนเดียวเลย พวกสบู่ออร์แกนิกจากธรรมชาติฉันก็ชอบทำเหมือนกันนะคะ


สไตล์การแต่งตัวแบบไม่ซ้ำใครของดัฟฟี่
Photo credit: Duffy


ปัญหาของความต่างทางวัฒนธรรม


     สิ่งที่ทำให้ฉันช็อกมากที่สุดคือการตามกระแสของวัยรุ่นไทยค่ะ ที่ดูจะตามเทรนด์ไปซะเยอะ ในฐานะคนเรียนด้านการโฆษณาเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก ทำให้การบ้านง่ายมากเลยค่ะ แต่ในฐานะคนที่ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกที่เป็นตัวของตัวเอง เรื่องนี้ทำให้รู้สึกเศร้าเลย ฉันหวังว่าในอนาคต วัยรุ่นไทยที่อายุเท่าฉันหรือน้อยกว่าจะสามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัวเองชอบและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวจะมีผลกระทบไม่ดีตามมา หวังว่าทุกคนจะกล้ามากขึ้นที่จะไม่ไม่ตามเทรนด์ และหันมาทำตามที่หัวใจของตัวเองต้องการมากขึ้น


การมิกซ์เสื้อผ้าสไตล์ภาคเหนือเข้ากับผ้าอินเดีย โสร่งพม่า และรองเท้าเม็กซิกัน
Photo credit: Duffy


ความรู้สึกที่มีต่อเมืองไทย


     ช่วงเวลาที่ฉันอยู่ในไทยมีทั้งสุขทั้งทุกข์ ซึ่งก็เหมือนกับคนทุกคนในทุกประเทศนั่นแหละ แต่ฉันก็จะชื่นชมการเติบโตของตัวเองที่ได้จากที่นี่ ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเป็นนิสิตในเมืองไทย แล้วก็คงจะได้เรียนรู้มากกว่าที่ไหนๆ จะให้ได้ด้วย ฉันไม่เคยเสียใจเลย มีแต่รู้สึกตื่นเต้นและรอดูว่าจะมีอะไรดีเกิดขึ้นในอนาคตอีกบ้าง

     ตัวฉันเองก็เติบโตมากขึ้น ช่วงปีหนึ่งฉันมักโดนรุ่นพี่สอนคำหยาบให้โดยแกล้งบอกว่าเป็นประโยคทักทายทั่วไปของคนไทย ฉันก็เคยหน้าแตกหลายครั้งจากการไปพูดประโยคนั้นๆ กับคนแปลกหน้า ตอนนั้นตัวฉันเองก็พูดคำหยาบเยอะเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้แทบไม่ค่อยพูดแล้ว และก็พยายามจะระมัดระวังในการเลือกใช้คำทุกครั้งก่อนพูดด้วยค่ะ


Photo credit: Duffy


ดัฟฟี่ในอนาคต


     ฉันคิดว่าจะทำงาน MC เพิ่มขึ้น รวมถึงแสดงหนังหรือกำกับหนังด้วยค่ะ ฉันใกล้จะจบแล้ว ก็หวังว่าจะได้งานที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์นะคะ ฉันจะได้ใช้พลังงาน ความทุ่มเท และความสามารถพิเศษของตัวเองให้เกิดประโยชน์ได้

     ไม่ว่าต่อไปฉันจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ฉันจะทำก็คือการเปลี่ยนแปลงโลกค่ะ ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงโลกได้นั้น ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ซะก่อน แล้วเมื่อนั้นคุณก็จะสามารถเปลี่ยนโลกของคนแต่ละคนที่คุณได้พบเจอได้


Photo credit: Duffy


     บอกเลยว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่พี่นำมาแปลอีกที ซึ่งพอคุยด้วยแล้วก็รู้สึกชื่นชมดัฟฟี่มากๆ ทั้งที่อายุยังน้อย แต่ก็มีความคิดที่ดูโตมาก แถมโตในแบบที่ยังคงความสดใสไว้ได้ด้วยนะคะ ใครที่มีความฝันอะไรก็อย่าลืมฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาแบบดัฟฟี่ด้วยนะคะ แล้วตัวเราก็จะเข้าใกล้สิ่งที่ฝันไว้เองมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

     ส่วนใครอยากติดตามความเคลื่อนไหวของดัฟฟี่ สามารถเข้าไปดูได้ที่ IG: LORDWAHTIHDAH หรือที่บล็อก medium.com/@wahtihdahduffy เลยนะคะ
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด