‘Nannie Doss’ ฆาตกรหญิงที่ฆ่าสามีต่อเนื่อง เพราะพวกเขาไม่โรแมนติกเหมือนในนิยาย!

      สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าใครที่คิดว่าตัวเองอินกับซีรี่ส์หรือนิยายรักโรแมนติกมากๆ แล้ว วันนี้คงต้องยอมชิดซ้ายไปก่อน เพราะพี่จะพาไปรู้จักของจริง แต่เป็นของจริงที่ห้ามเอาเยี่ยงอย่างนะคะ ...รับรองว่าพออ่านจบ จะต้องสะพรึงกับวิธีตามหารักแท้ของผู้หญิงคนนี้ไปอีกนานแน่ๆ

 

"แนนนี่ ดอส" กับชีวิตวัยเด็กที่ไร้ความบันเทิง
 

Photo Credit: Gizmodo.com
 
      หากมองเพียงผิวเผิน “แนนนี่ ดอส” (Nannie Doss) หรือผู้หญิงในรูป คงเป็นแค่สาวหวานที่ไม่มีพิษสงอะไร เธอมักจะยิ้มและหัวเราะเสมอๆ ชีวิตก็น่าจะคล้ายผู้หญิงทั่วไป ...ได้แต่งงาน ได้มีลูกที่น่ารัก 4 คน และได้ใช้ชีวิตอยู่กับหลานๆ ของเธอ แต่ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น เธอกลับไม่ต่างจากคนที่หยิบมีดมาตัดกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่จนเกลี้ยง นับตั้งแต่ฆ่าสามี แม่ของเธอ แม่สามี น้องสาวสองคน ลูกสองคน และหลานชายอีกสองคน ในระยะเวลาตั้งแต่ปลายช่วง 1940 ถึง 1954 เธอสังหารไป 11 คนด้วยสารหนูที่เธอผสมลงไปในลูกพรุนเชื่อม กาแฟ หรือเหล้าที่เหยื่อกินเข้าไป!


Photo Credit: Murderpedia.org

 
      แนนนี่ ดอส เกิดวันที่ 4 พฤศจิกายน 1905 ในครอบครัวชาวนาที่รัฐอลาบามา ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ทั้งตัวเธอเองและแม่ต่างก็เกลียด “เจมส์ แฮเซิล” (James Hazle) หัวหน้าครอบครัวที่อารมณ์ร้ายและชอบทำร้ายร่างกาย จนบางครั้งอาจเรียกได้ว่าบ้าด้วยซ้ำ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นทั้งพ่อและสามีจอมบงการด้วย เจมส์จะบังคับให้ลูกทุกคนทำงานในไร่ของครอบครัวแทนที่จะให้ไปเรียนหนังสือ สั่งห้ามไม่ให้เธอและน้องสาวแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ เพื่อป้องกันการถูกลวนลาม อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ไปเต้นรำหรือออกงานสังคมอื่นๆ ด้วย
 
      ตอนอายุ 7 ขวบ แนนนี่ประสบอุบัติเหตุขณะที่เธอและครอบครัวนั่งรถไฟเพื่อไปเยี่ยมญาติในอลาบามาตอนใต้ โดยศีรษะของเธอไปโขกแท่งเหล็กตรงหน้าอย่างจังตอนที่รถหยุดกะทันหัน จากนั้นหนึ่งปีให้หลัง เธอต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัว หน้ามืด และภาวะซึมเศร้า (เธอโทษว่าอาการป่วยทั้งหลายแหล่เกิดจากอุบัติเหตุครั้งนั้น)


Photo Credit: Nanniedoss.weebly.com      
 
      พอเริ่มเป็นวัยรุ่น แนนนี่ก็ฝันอยากใช้ชีวิตร่วมกับสามีในอนาคตอย่างมีความสุข อาจเป็นเพราะเธอซึมซับจากงานอดิเรกสุดโปรดของเธอก็ได้ค่ะ เพราะในเวลาว่าง เธอชอบอ่านนิตยสารรักโรแมนติกของคุณแม่ โดยเฉพาะคอลัมน์ "Lonely hearts” (แปลตรงๆ ก็ประมาณว่า “หัวใจว้าเหว่”) 
 
      ตัดภาพมาที่ชีวิตรักในโลกความจริงของเธอบ้าง การที่พ่อของเธอห้ามนู่นห้ามนี่อยู่ตลอด ทำให้เธออยากรู้อยากเห็นมากขึ้น พอสบโอกาสเมื่อไหร่ เธอก็จะแอบหนีออกจากบ้านไปยังโรงนาเพื่อหาพวกเด็กผู้ชายที่ชอบเธอ (ซึ่งพวกเขาก็รักเธอเพราะเห็นว่าเธอใจง่ายนั่นแหละ) จนในที่สุดพ่อของเธอก็ทนไม่ไหว จัดการหาผู้ชายที่เหมาะสมมาเป็นสามีเธอ ปรากฏว่าแจ็กพอตก็ตกมาอยู่ที่ “ชาร์ลี แบรกส์” 
 
      ...แล้วเรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดก็เปิดฉากขึ้น!



Photo Credit: TheRichest.com

 

สามีคนแรก: ชาร์ลี แบล็กส์
 

      “ชาร์ลี แบล็กส์” (Charlie Braggs) เป็นชายขยันและนิสัยดี แต่ไม่ค่อยเป็นคนสนุกๆ เท่าไหร่ หลังจากทั้งคู่พบกัน 5 เดือนก็ได้แต่งงานกันในปี 1921 และมีลูกด้วยกัน 4 คน แต่ปัญหาคือเธอต้องเครียดกับบรรดาลูกๆ และแม่สามีจอมบ้าคลั่งที่คอยจ้องบงการชีวิตของเธอและสามีตลอดเวลา ซึ่งไม่ต่างกับพ่อของเธอเลย ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ เหตุผลนี้ทำให้จึงเริ่มเดินเข้าสู่สายแอลกอฮอล์และแอบลักลอบคบชู้ ในขณะที่สามีก็แอบไปควงผู้หญิงใหม่เหมือนกัน 
 


Photo Credit: Youtube
 
      จนมาวันนึงในปี 1927 ลูกสาวคนกลางสองคนก็เสียชีวิตหลังอาหารมื้อเที่ยง สาเหตุการตายก็เป็นปริศนามาก เพราะเด็กสองคนนั้นสุขภาพแข็งแรง แต่กลับจบชีวิตลงแบบไม่มีสาเหตุ ทางด้านหมอวินิจฉัยออกมาว่าตายด้วยอุบัติเหตุ แต่สามีของเธอไม่เชื่อและแอบสงสัยในตัวภรรยา ในที่สุดเขาก็ขอจบชีวิตคู่ในปี 1928 โดยที่พา “เมลวินา” (Melvina) ลูกสาวคนโตหนีไปด้วย แล้วทิ้งทารกเกิดใหม่ไว้กับอดีตภรรยาและแม่ยาย (แต่ชาร์ลีก็พาเมลวิน่ากลับมาคืนในภายหลัง)
 
      นับว่าพระเจ้ายังเจ้าข้างชาร์ลีอยู่บ้าง ทำให้เขาตัดสินใจหนีออกมาซะก่อน ต่างกับชายอีก 4 คนที่มารับช่วงเป็นสามีของเธอคนต่อไป!
 

Photo Credit: 
Gizmodo.com

 

สามีคนที่สอง: แฟรงก์ ฮาร์เรลสัน
 

      หลังจากหย่ากับชาร์ลีแล้ว แนนนี่ได้อาศัยและทำงานในแอนนิสตัน (Anniston) เธอยังคงเยียวยาแผลใจด้วยการอ่านนิตยสารและนิยายรักโรแมนติกของเธอเหมือนเดิม จนในที่สุด คอลัมน์ Lonely hearts ก็ทำให้พบรักครั้งใหม่กับ “แฟรงก์ ฮาร์เรลสัน” (Frank Harrelson) หนุ่มโรงงานวัย 23 ปีจากแจ็กสันวิลล์ (Jacksonville) เขาคนนี้ได้ส่งกลอนรักโรแมนติกให้เธอ และเธอส่งเค้กกลับไปให้เขา ในที่สุดก็ได้พบเจอและแต่งงานกันในปี 1929 ในตอนนั้นเธออายุ 24 ปี และหย่ากับสามีคนเก่ามาแล้ว 2 ปี แฟรงก์ปรนนิบัติเธอราวกับเป็นเจ้าหญิงเหมือนที่เธอวาดฝันไว้ไม่มีผิด แต่แค่ 2-3 เดือนต่อมาก็เหมือนรักหมดโปรโมชั่น เพราะเธอค้นพบว่าเขาเป็นคนขี้เหล้าเมายา แถมยังติดคุกคดีร้ายแรงด้วย!


Photo Credit: Boredomtherapy.com
 
      อย่างไรก็ตาม ชีวิตคู่ของพวกเขาดำเนินมาอย่างยาวนานจนปี 1945 เมลวิน่าโตเป็นสาวและมีลูก แต่แนนนี่ได้จัดการฆ่าหลานสาวของเธอที่เป็นทารกเพิ่งเกิด ด้วยการแทงปิ่นปักหมวกลงที่ศีรษะของเด็กจนเสียชีวิต แล้วอีกไม่กี่เดือนต่อมาก็ถึงคิว “โรเบิร์ต” หลานชาย 2 ขวบที่ตายด้วยภาวะขาดอากาศหายใจในวันที่ 7 กันยายน การฆาตกรรมครั้งนั้นทำได้เธอได้เงินประกันถึง 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะในตอนนั้นเธอมีชื่อเป็นผู้ดูแลโรเบิร์ต
 
      แล้วช่วงสุดท้ายของแฟรงก์ก็มาถึง ตอนนั้นเป็นช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร แฟรงก์ซึ่งเป็นหนึ่งในทหารก็เดินทางกลับบ้านและดื่มแบบจัดหนักในเย็นวันนั้น และจัดการข่มขืนภรรยาของตัวเอง เหตุการณ์นั้นถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับแนนนี่เลยค่ะ เพราะในวันต่อมา เธอได้แอบใส่ส่วนผสมลับลงในเหล้ากลั่น ทำให้เขาเสียชีวิตอย่างทุรนทุรายในวันที่ 15 กันยายน 1945 ในขณะที่คนอื่นๆ คิดว่าเขาตายจากอาหารเป็นพิษ ส่วนเธอเองได้เงินประกันจากการตายของสามี และนำไปซื้อบ้านพร้อมที่ดินใกล้แจ็กสันวิลล์


Photo Credit: Theciminalcode.com

 
      เป็นอันว่าชีวิตรักระหว่างแนนซี่และแฟรงก์ที่ดำเนินมายาวนานถึง 16 ปี ก็จบลงแบบโศกนาฎกรรม...

 

สามีคนที่สาม: อาร์ลี แลนนิ่ง
 

      หลังการตายของแฟรงก์ก็ทิ้งช่วงไปพักใหญ่ๆ จนมาปี 1952 แนนนี่พบสามีผู้โชคร้ายคนที่สาม “อาร์ลี แลนนิ่ง” (Arlie Lanning) จากคอลัมน์บทกวีรักโรแมนติกเหมือนเดิม ทั้งคู่เปลี่ยนสถานะเป็นสามี-ภรรยาหลังจากเจอกันแค่ 3 วันเท่านั้น แต่แล้วก็พบว่าอาร์ลีไม่ได้ต่างจากสามีคนก่อนเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นคนเจ้าชู้ที่ขี้เหล้าครบสูตร ในเมื่อความรักครั้งนี้ไม่โรแมนติกอย่างที่เธอฝันไว้ เธอจึงใช้วิธีเดิมกำจัดสามีคนนี้ทิ้ง และภาพที่ออกมาคืออาร์ลีตายด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ นอกจากนี้ แม่ของ(อดีต)สามีก็เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาขณะนอนหลับด้วย


Photo Credit: Theciminalcode.com

      ตัดภาพมาที่ภรรยามหาภัย เธอได้ออกจากรัฐนอร์ทแคโรไลนา และไปอาศัยอยู่ที่บ้านของ "โดวี่" (Dovies) น้องสาวของเธอที่กำลังป่วยเรื้อรัง ซึ่งเสียชีวิตลงหลังจากแนนนี่ไปถึงไม่นาน… (ความจริงคือโดนเธอเก็บไปอีกรายนั่นเองค่ะ)

 

สามีคนที่สี่: ริชาร์ด แอล มอร์ตัน
 

      แล้วรักแท้ของแนนนี่ก็มาถึงอีกครั้งหลังจากเธอเข้าไปใช้บริการบริษัทจัดหาคู่ที่ชื่อ “the Diamond Circle Club” จนได้พบกับ “ริชาร์ด แอล มอร์ตัน” (Richard L. Morton) จากเมืองเจมส์ทาวน์ (Jamestown) ทางตอนเหนือของรัฐแคโรไลนา ถึงแม้เขาคนนี้ไม่ได้เป็นนักดื่ม แต่ก็เป็นเสือผู้หญิงเหมือนกัน เขาแอบเอาเวลาไปหาผู้หญิงอื่นอยู่ตลอดถึงแม้จะมีภรรยาเป็นตัวเป็นตน เพราะเธอกำลังยุ่งๆ อยู่กับเรื่องอื่นเลยไม่ทันสังเกต ส่วน "เรื่องยุ่งๆ" ที่ว่าคือ พ่อของแนนนี่เสียชีวิตหลังจากเธอแต่งงานใหม่ไม่นาน ส่วนแม่ก็เกิดล้มสะโพกหักในปี 1953 ทำให้ภาระการดูแลแม่ตกมาอยู่กับเธอ ทว่าดูแลได้ไม่กี่เดือน แม่ของเธอก็เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยยาพิษอีกเช่นเคย


Photo Credit: Theciminalcode.com
 
      เมื่อเสร็จธุระแล้ว เธอจึงมีเวลาหันมาเอาใจใส่สามีเต็มที่ ทำให้เธอเห็นรักแท้ปลอมๆ ของริชาร์ด เดาไม่ยากใช่มั้ยคะว่าเขาต้องเจออะไร? ...ในวันที่ 19 พฤษภาคม 1953 เขาเสียชีวิตอย่างปริศนาเหมือนเหยื่อคนก่อนๆ นั่นแหละ

 

สามีคนสุดท้าย: ซามูเอล ดอส
 

      มาถึงคิวสามีคนสุดท้ายแล้วค่ะ ในเดือนมิถุนายน 1953 แนนนี่แต่งงานกับรักครั้งใหม่ “ซามูเอล ดอส” (Samuel Doss) จากเมืองทัลซา รัฐโอกลาโฮมา ซามูเอลเป็นชายน่าสงสารที่สูญเสียครอบครัวจากภัยพายุทอร์นาโดที่อาร์แคนซัส (Arkansas) เขาไม่ใช่ทั้งนักดื่มและเสือผู้หญิง เพียงแค่ไม่ชอบใจภรรยาที่จดจ่ออยู่กับบทกวีและนิยายรักโรแมนติก แทนที่จะอ่านนิตยสารหรือดูทีวีเพื่อหาความรู้ 
 
      ด้วยเหตุนี้ เธอจึงจัดการเสิร์ฟเมนูเค้กพรุนสูตรพิเศษให้สามีในช่วงเดือนกันยายน ทำให้เขาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการที่คล้ายไข้หวัดใหญ่ ผลวินิจฉัยได้ระบุว่าเขาติดเชื้อในทางเดินอาหารขั้นรุนแรง และใช้เวลาพักฟื้นแค่ไม่กี่วันก็กลับบ้านได้ในวันที่ 5 ตุลาคม แต่แล้วในวันต่อมา ภรรยาช่างเอาใจก็ได้เสิร์ฟกาแฟพิษให้สามีดื่มอีกครั้ง ทำให้เขาเสียชีวิตลงในช่วงเย็น 


Photo Credit: Youtube
 
      แต่ครั้งนี้ถือว่าเธอพลาดมากค่ะ เพราะแพทย์ที่รักษาเขาเพิ่งอนุญาตให้ซามูเอลกลับบ้านไปเมื่อวานนี้ ทำไมอยู่ๆ ถึงมาเสียชีวิตเอากะทันหันแบบนี้ได้ เขาจึงสงสัยและยังพุ่งเป้าไปที่แนนนี่ทันที แพทย์ได้พยายามโน้มน้าวให้เธออนุญาตให้ชันสูตรศพสามีของเธอ โดยให้เหตุผลว่า การค้นหาสาเหตุการตายของเขาจะช่วยคนได้อีกหลายชีวิต 
 
      ในที่สุด ผลการชันสูตรก็ออกมาว่า ในร่างกายของซามูเอลมีสารหนูในปริมาณที่มากพอจะฆ่าม้าตายได้หลายตัว แพทย์จึงแจ้งตำรวจให้จับกุมแนนนี่ทันทีในฐานะ “ฆาตกร” นับเป็นการปิดฉากซีรี่ส์สะเทือนขวัญที่ดำเนินต่อเนื่องมานานกว่าทศวรรษ
 

Photo Credit: Nanniedoss.weebly.com

 
ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มขณะให้ปากคำ
 

      แนนนี่ได้สารภาพในชั้นศาลเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1955 ว่าเธอได้ฆ่าสามี 4 คน รวมทั้ง แม่ น้องสาว หลาน และแม่สามีของเธอด้วย รวมทั้งสิ้น 11 คน ...ถ้าใครกำลังสับสน เดี๋ยวเราจะมาสรุปรายชื่อเหยื่อให้ฟังอีกครั้งค่ะ
 
  1. แฟรงก์ ฮาร์เรลสัน - สามีคนที่ 2
  2. อาร์ลี แลนนิ่ง - สามีคนที่ 3
  3. แม่ของอาร์ลี แลนนิ่ง
  4. ริชาร์ด มอร์ตัน - สามีคนที่ 4
  5. แซม ดอส - สามีคนที่ 5 ***เหยื่อคนสุดท้าย
  6. ลูกสาว 2 คน***เหยื่อสองคนแรก
  7. โดวี่ - น้องสาว
  8. หลานสาวที่ยังเป็นทารก 
  9. โรเบิร์ต - หลานชาย
  10. แม่เลี้ยง
     
      อย่างไรก็ตาม เธอถูกพิจารณาโทษจากคดีของสามีคนสุดท้ายเพียงคนเดียวเท่านั้น โทษของเธอคือจำคุกตลอดชีวิต (ไม่ถูกประหารเพราะเป็นผู้หญิง) ตอนที่เธอให้ปากคำ เจ้าหน้าที่ถึงกับตั้งฉายาให้เธอว่าเป็น “คุณยายอารมณ์ดี” เพราะเธอหัวเราะตลอดเวลาตอนที่เล่าเรื่องการตายของสามีแต่ละคน ดูเหมือนจะภูมิใจและมีความสุขกับสิ่งเลวร้ายที่ตัวเองก่อไว้


Photo Credit: Gizmodo.com


Photo Credit: Nanniedoss.weebly.com
 
      หลายคนคิดว่าเธอต้องมีแรงจูงใจหลายอย่างในการเป็นฆาตกรต่อเนื่องครั้งนี้ แต่แล้วเจ้าตัวกลับอธิบายเหตุผลให้ฟังว่า เงินไม่ได้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาฆ่าคนเลย (ถึงแม้เธอจะได้เงินประกันมาเยอะก็เถอะ) สาเหตุจริงๆ คือเธอเบื่อหน่ายชีวิตแต่งงานก็แค่นั้น เพราะความฝันของเธอคือการได้ครองคู่กับสามีในอุดมคติเหมือนในนิตยสารที่เธออ่าน ...สรุปคือเธอฆ่าสามีคนเก่าทิ้ง จะได้ไปหาสามีคนใหม่เรื่อยๆ จนกว่าจะเจอรักแท้นั่นแหละค่ะ
 
      เธอกล่าวกับเจ้าหน้าที่ผู้สอบปากคำว่า “ฉันเพียงต้องการค้นหาคนรักที่สมบูรณ์แบบ...ความโรแมนติกที่แท้จริงในชีวิต”
 
      แล้ววันสุดท้ายของฆาตกรเลือดเย็นก็มาถึง เมื่อเธอเสียชีวิตในโรงพยาบาลด้วยโรคลูคีเมียในปี 1965...


Photo Credit: Boredomtherapy.com
 
      แทรกนิดนึงค่ะ ช่วงที่แนนนี่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอาจทำให้เธอซึมซับวิถีของ "ฮิตเลอร์" ผู้นำจอมเผด็จการของเยอรมันในขณะนั้น ทั้งเรื่องความพยาบาท และการการฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไม่สนใจอะไร การกระทำของฮิตเลอร์ทำให้เธอมั่นใจ(ไปเอง)ว่าสิ่งที่เธอทำมันปกติและไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย


Photo Credit: Nanniedoss.weebly.com

      โอ้โห ต้องโหดร้ายขั้นไหนถึงฆ่าคนใกล้ตัวกับคนร่วมสายเลือดได้เยอะขนาดนี้ (แอบคิดว่าถ้าไม่พอใจ...แค่หย่าก็พอมั้ย?) จริงๆ คดีนี้ก็ทำให้เห็นบทเรียนของการหาคู่เหมือนกันนะคะ เพราะเธออยากหารักแท้ แต่กลับด่วนตัดสินใจคบผู้ชายคนนั้นคนนี้โดยที่ยังมองนิสัยไม่ทะลุสักคน... เอาเป็นว่าถ้าใครที่ชอบอ่านนิยายหรือดูซีรี่ส์รักโรแมนติกบ่อยๆ ก็ขอให้มีสติอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองอินจนลงไม้ลงมือเหมือนผู้หญิงคนนี้เลยนะคะ พี่ขอ!
 
แหล่งอ้างอิง
https://gizmodo.com/the-giggling-granny-serial-killer-who-smiled-all-the-1718086506
https://en.wikipedia.org/wiki/Nannie_Doss
http://allthatsinteresting.com/nannie-doss-giggling-granny
https://nanniedoss.weebly.com/index.html
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

888 10 มี.ค. 61 20:56 น. 1

ไม่ใช่'คาร์โรไลน่าตอนเหนือ' 'ตอนเหนือของรัฐแคโรไลน่า' นะคะ มันคือชื่อรัฐ'นอร์ทแคโรไลน่า'เลยค่ะ เคยไปแลกเปลี่ยนที่รัฐนี้ ขอบคุณสำหรับบทความนะคะ

1
kookkaii :3 Columnist 10 มี.ค. 61 22:17 น. 1-1

โอ้วจริงด้วย ต้องขออภัยจริงๆ และขอขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ถูกต้องนะคะ

แก้ไขในบทความเรียบร้อยแล้วจ้า ^^

0
กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

888 10 มี.ค. 61 20:56 น. 1

ไม่ใช่'คาร์โรไลน่าตอนเหนือ' 'ตอนเหนือของรัฐแคโรไลน่า' นะคะ มันคือชื่อรัฐ'นอร์ทแคโรไลน่า'เลยค่ะ เคยไปแลกเปลี่ยนที่รัฐนี้ ขอบคุณสำหรับบทความนะคะ

1
kookkaii :3 Columnist 10 มี.ค. 61 22:17 น. 1-1

โอ้วจริงด้วย ต้องขออภัยจริงๆ และขอขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ถูกต้องนะคะ

แก้ไขในบทความเรียบร้อยแล้วจ้า ^^

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด