8 สถานที่ลับทั่วโลก ที่คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยือน!

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com โลกของเรามีอะไรหลายอย่างที่เป็นความลับ สถานที่บางแห่งทั่วโลก ใช่ว่าจะสามารถแบกเป้ไปเที่ยวกันได้ทุกที่นะคะ วันนี้ พี่บุ๋มบิ๋ม มีสถานที่ลับๆ น่าสนใจที่คนทั่วไปไม่สามารถเฉียดกรายเข้าไปใกล้ได้ มาให้น้องๆ ทำความรู้จักกันค่ะ แต่ละที่น่าสนใจไม่ธรรมดาเลย จะมีที่ไหนบ้างนั้น เดี๋ยวเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ
      
      

1. Snake Island, Brazil 

     
 
Photo credit: amusingplanet.com
      
     คนกลัวงูคิดว่าเลื่อนผ่านไปเลยก็ได้นะคะ เพราะขนาดพี่ไม่กลัวงู แต่แค่เห็นภาพยังแอบสยองเลย แต่มันมีเกาะแบบนี้อยู่บนโลกเราจริงๆ นะกับเกาะงูที่บราซิล โดยชื่อจริงๆ ของมันเป็นภาษาโปรตุเกสคือ Ilha da Queimada Grande ตั้งอยู่นอกชายฝั่งเซาเปาโลของบราซิล บางครั้งถูกเรียกว่า "เกาะงูคลั่ง" ด้วยค่ะ ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมถึงได้ชื่อนี้ ก็เพราะเกาะที่ว่ามันมีแต่งูน่ะสิคะ และไม่ใช่งูธรรมดาด้วยนะ แต่เป็นงูพิษจำนวนมหาศาล ที่เขาว่ากันว่าเราสามารถพบงูได้ 1 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตรเชียวค่ะ
      

Clip

Snake Island

 
      
     บอสใหญ่เฝ้าสมบัติประจำเกาะแห่งนี้คืองูพิษชนิดหนึ่งที่ชื่อ โกลเดน แลนซ์เฮด (golden lancehead) เป็นงูพิษสายพันธุ์เฉพาะถิ่นในวงศ์ย่อยของงูหางกระดิ่ง พิษของมันร้ายกาจกว่างูพิษบนแผ่นดินใหญ่ถึงห้าเท่า แถมยังอาศัยอยู่ในเกาะนี้มากกว่า 5,000 ตัว โชคดีตรงที่พบงูสายพันธุ์ที่ว่าบนเกาะแห่งนี้เท่านั้น (เหมือนเทพในหมู่เทพที่ไม่สังกัดฝ่ายใดค่ะ 55555) และเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของงู ดังนั้นด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย รัฐบาลบราซิลจึงประกาศให้เกาะงูคลั่ง เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว แต่บางครั้งทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการเข้าไปทำการวิจัย ก็สามารถเข้าไปได้นะคะ มีพี่วิดีโอการสำรวจมาฝากน้องๆ ที่สนใจกันด้วยล่ะ 
      
     

2. North Sentinel Island, India 

      
Photo credit: orangesmile.com
      
     อ่าวเบงกอลในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ส่วนใหญ่เป็นดินแดนของอินเดีย หนึ่งในสถานที่น่าสนใจอย่างเกาะเซนทิเนลเหนือก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกันค่ะ โดยเกาะที่ว่านี้เชื่อกันว่ามีอายุมากกว่า 60,000 ปี อีกทั้งยังเป็นเกาะที่ถูกแยกออกจากสังคมภายนอกอย่างสิ้นเชิง แถมยังเป็นที่อยู่ของชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่เราเรียกกันว่าชาวเซนทิเนลด้วยค่ะ
     

Clip

Man in search of Man

 
      
     คนภายนอกประมาณการว่า น่าจะมีชาวเซนทิเนลอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ราวๆ 15-500 คน ตามช่วงเวลาต่างๆ แต่พวกเขาไม่เป็นมิตรกับคนนอกเกาะนัก เมื่อปี 2004 ที่เกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย มีคนของทางการเดินทางไปให้ความช่วยเหลือเรื่องการยังชีพแก่คนบนเกาะ แต่พวกเขาก็ทำทีเป็นศัตรู โดยการพุ่งหอกหรือยิงธนูเข้าใส่ นักสำรวจหรือทีมงานสารคดีมากมายเดินทางไปที่เกาะ เพื่อพยายามผูกมิตร แต่ส่วนใหญ่ก็ล้มเหลว มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถเก็บภาพวิถีชีวิตบนเกาะกลับมาได้ เพราะความเป็นปรปักษ์นี้เอง ทำให้รัฐบาลอินเดียประกาศให้สถานที่แห่งนี้ เป็นเขตหวงห้าม ไม่ให้บรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นเข้าไปในเกาะของชาวเซนทิเนลค่ะ
     
     

3. U.N. buffer zone, Cyprus 

      
Photo credit: desertedplaces.blogspot.com
      
     ไซปรัสเป็นประเทศทางฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกที่มีลักษณะเป็นเกาะ แต่น้องๆ รู้หรือเปล่าว่า บนเกาะนี้มีสถานที่ต้องห้ามที่เราไม่สามารถเข้าไปได้นะคะ สถานที่นั้นคือพื้นที่แนวกันชนของสหประชาชาติ (UN) นั่นเองค่ะ พื้นที่แนวกันชนที่ว่านี้อยู่ในเมืองหลวงของไซปรัสอย่างเมืองนิโคเซีย หากมองเข้าไปก็ดูคล้ายกับเมืองร้างในภาพยนตร์สยองขวัญสักเรื่องเลยล่ะค่ะ
     
 
Photo credit: intonomansland.org
      
     สาเหตุที่เป็นแบบนี้ เพราะกองทัพตุรกีเข้ามารุกรานไซปรัสเมื่อปี 1974 ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชาวกรีกและชาวตุรกี เมื่อการสู้รบจบลง สหประชาชาติก็ได้เข้ายึดครองพื้นที่แนวกันชนแห่งนี้ โดยที่นี่จะมีกำแพงแยกชุมชนชาวตุรกีทางตอนเหนือออกจากชุมชนชาวกรีกทางตอนใต้ ด้านหลังกำแพงจะเป็นบ้านและพื้นที่ทางธุรกิจทั้งหลายที่ร้างคน แม้ว่าในปัจจุบันพื้นที่บางแห่งในเขตกันชนนี้ได้อนุญาตให้พลเรือนเข้าไปได้แล้ว แต่พื้นที่อื่นๆ ยังคงปล่อยร้างไม่มีการแตะต้องมานานหลายทศวรรษค่ะ
      
     

4. Chernobyl, Ukraine 

      
Photo credit: news.kievukraine.info
      
     เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1986 เกิดเหตุระเบิดใกล้กับเมืองเชอร์โนบิลของยูเครน หลังจากที่นักวิศวกรทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นและระบบทำความเย็นฉุกเฉินในแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ระเบิด ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ มีขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตรังสีลอยอยู่ในอากาศนานถึง 10 วัน และมีผู้เสียชีวิตทันที 31 คน แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า น่าจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิดมากถึง 600,000 คน 
      
 
Photo credit: worldbulletin.net
      
     ในตอนนั้น ฝนกรดจากกัมมันตรังสีแพร่กระจายไปไกลถึงประเทศไอร์แลนด์เลยค่ะ แต่ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นหนีไม่พ้น ยูเครน, เบลารุส และรัสเซีย เนื่องจากมีพื้นที่ปนเปื้อนรังสีมากถึงร้อยละ 63 ทำให้เมืองในบริเวณนั้นถูกทิ้งร้างเพราะมีระดับการแพร่กระจายของรังสีในปริมาณสูง เมื่อไม่มีคนอาศัยจึงกลายเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า แต่สัตว์ที่อยู่ในละแวก 30 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลนั้น แน่นอนว่าจะมีอัตราการตายก่อนอายุขัยสูงและอาจมียีนผิดปกติ
      

Clip

The Animals of Chernobyl

 
      
     อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านมา 30 ปีแล้วและเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 3 เครื่องกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง แถมยังมีการเปิดทัวร์ให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมแบบ One day trip แต่พื้นที่บริเวณดังกล่าว จะไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้เป็นเวลาอย่างน้อย 20,000 ปีค่ะ (น้องๆ อ่านไม่ผิดค่ะ นานขนาดนี้จริงๆ) 
      
     

5. Area 51, Nevada

     
 
Photo credit: atlasobscura.com
      
     ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยยอมรับว่ามีสถานที่ที่ชื่อ Area 51 จนกระทั่งมีการเผยแพร่เอกสารลับของฐานทัพเนวาดาเมื่อปี 2013 แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ออกมาเปิดเผยว่า มีการดำเนินการอะไรอยู่บ้างภายในสถานที่แห่งนี้ และเพราะความเข้มงวดในการปกปิดความลับของฐานทัพทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) หลายข้อ แต่ส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับ UFO และบรรดาเพื่อนจากต่างดาวกันที่นี่ค่ะ
     
 
Photo credit: landlopers.com 
     
     อันที่จริงแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อศึกษาเรื่องที่ว่า แต่มีเพื่อพัฒนาและทดสอบอากาศยานรวมถึงอาวุธต่างๆ ของทางกองทัพค่ะ เราสามารถมองเห็นหลุมที่เกิดจากการทดสอบดังกล่าวได้อย่างชัดเจนบน Google Map ด้วยนะ และแม้เทคโนโลยีจะทำให้เราสามารถสำรวจพื้นที่ดังกล่าวได้บางส่วน แต่คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เขาใกล้สถานที่แห่งนี้นะคะ พื้นที่นี้มีระบบรักษาความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ อันที่จริงก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั่วๆ ไปอย่างเราได้รับอันตรายจากการทดสอบอาวุธต่างๆ นั่นแหละค่ะ
     
     

6. Vatican Secret Archives, Vatican City 

     
 
Photo credit: telegraph.co.uk
      
     ต่อมาไม่พูดถึงคงไม่ได้ค่ะสำหรับหอจดหมายเหตุลับของวาติกัน ตั้งอยู่ในนครวาติกัน เป็นสถานที่ที่ใช้เก็บเอกสารสำคัญๆ หลายชิ้นของทางวาติกัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ จดหมาย หรือบันทึกของคนสำคัญในยุคต่างๆ ตัวอย่างเช่น บันทึกการไต่สวนคดีของกาลิเลโอ กาลิเลอี, จดหมายของศิลปินดัง มิเกลันเจโล ที่เขียนถึงสมเด็จพระสันตะปาปาจูลิอุสที่ 2 หรือบันทึกส่วนพระองค์ของพระสันตะปาปาแต่ละพระองค์ 
     
 
Photo credit: telegraph.co.uk 
     
     สถานที่แห่งนี้เคยปิดไม่ให้ผู้ใดเข้าจนกระทั่งปี 1881 ที่เริ่มอนุญาตให้นักวิจัยที่ต้องการศึกษาได้เข้าไปค้นคว้าข้อมูลในหอจดหมายเหตุแห่งนี้ แต่การจะเข้าไปก็ยุ่งยากพอสมควรค่ะ เพราะต้องทำเรื่องมากมาย แถมนักวิชาการจะเข้าพร้อมกัน 60 คนไม่ได้ หากจะหาข้อมูลเรื่องใด สามารถทำได้จากการเลือกอ่านหัวข้อต่างๆ ในแฟ้มเอกสารที่เขียนด้วยมือในภาษาอิตาเลียนและละติน อนุญาตให้นำคอมพิวเตอร์เข้าไปได้ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ ดังนั้นสำหรับนักวิชาการหลายคนจึงมองว่าหอจดหมายเหตุแห่งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของพวกเขาเลยล่ะค่ะ
     
     

7. Fort Knox, Kentucky

      
 
Photo credit: rightandup.com
      
     สหรัฐฯ ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีสถานที่ลับของทางการมากมาย แต่สถานที่แห่งนี้ สร้างไว้เพื่อเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าของประเทศค่ะ ว่ากันว่ามีทองถูกเก็บไว้ที่นี่มากถึง 4,500 ตันโดยประมาณ แต่ไม่ใช่จะเก็บไว้แค่ทอง เพราะทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ ก็มีเก็บไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎของบรรดากษัตริย์ฮังการี คำประกาศอิสรภาพ หรือกฎบัตรแมกนาคาร์ตา
     
 
Photo credit: bloody-disgusting.com
      
     เพราะมีของมีค่ามากมายถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ ดังนั้นการจะเข้าไปเดินเล่นจึงไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ค่ะ ที่นี่มีระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นและดีที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก มีทหารร่วม 40,000 นายประจำการพร้อมอาวุธครบมือ กระทั่งรถถังหรือเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธยังมีเลยค่ะ ป้องกันดีขนาดนี้เลยมีคำเปรียบเปรยกันว่า “ปลอดภัยเหมือนอยู่ในฟอร์ตน็อกซ์” ให้ฟังกันเรื่อยๆ ค่ะ
     
     

8. Svalbard Seed Vault, Norway

     
 
Photo credit: atlasobscura.com
      
     เก็บทองแล้วเรามาเก็บอะไรน่ารักๆ อย่างเมล็ดพืชกันดีกว่าค่ะ กับคลังเมล็ดพันธุ์พืชโลกสวาลบาร์ดที่ประเทศนอร์เวย์ เป็นอุโมงค์ที่เจาะเข้าไปในภูเขาแถบขั้วโลกเหนืออันหนาวเหน็บ เปิดทำการครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2008 มีจุดประสงค์เพื่อทำการเก็บรักษาเมล็ดพืชจากทั่วโลก เผื่อว่าในกรณีที่เมล็ดพันธุ์ได้รับความเสียหายจนหมดไปจากโลกแล้วก็ยังสามารถนำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้ในอุโมงค์แห่งนี้มาเพาะพันธุ์ใหม่ได้
     

Clip

Svalbard Seed Vault

 
      
     สถานที่แห่งนี้ถูกเปรียบว่าเป็นเรือโนอาห์หรือสวนอีเดนที่เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด ซึ่งล่าสุดมียอดสะสมเมล็ดพันธุ์กว่า 1 ล้านชนิดแล้วค่ะ แต่เจ้าอุโมงค์แห่งนี้ไม่ใช่ว่าใครอยากเข้ามาขอเบิกหรือเปิดคลังเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้เมื่อนั้นนะคะ เพราะประตูอุโมงค์จะเปิดเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี อีกทั้งยังจำกัดจำนวนผู้ที่จะนำเมล็ดพันธุ์มาฝากด้วย แต่แม้จะตั้งอยู่ในสถานที่หนาวเหน็บและเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ แต่อุโมงค์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทนต่อทุกสภาพอากาศ มีกำแพงอันแข็งแกร่งคอยรับมือหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน และสามารถทนทานได้นานถึง 200 ปีเชียวค่ะ
     
     
     ยังมีสถานที่ลับน่าสนใจอีกมากมายบนโลกนี้นะคะ ซึ่งแต่ละที่ต่างมีข้อห้ามที่หลากหลายกันไป แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วที่ห้ามไม่ให้เข้า ก็เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเรานั่นแหละค่ะ ใครรู้จักสถานที่ลับๆ ที่ไหนอีกบ้างลองแสดงความคิดเห็นให้เพื่อนๆ อ่านกันได้นะคะ
      
     
อ้างอิง
พี่บุ๋มบิ๋ม

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Lula Lula Mae Member 19 มี.ค. 61 18:29 น. 3

ตอนแรกมาอ่านก็นึกว่าจะมีแต่สถานที่อันตรายอย่างเดียว เพิ่งรู้ว่ามันสถานที่คุ้มครองจนห้ามเข้าด้วย

0
กำลังโหลด

3 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Lula Lula Mae Member 19 มี.ค. 61 18:29 น. 3

ตอนแรกมาอ่านก็นึกว่าจะมีแต่สถานที่อันตรายอย่างเดียว เพิ่งรู้ว่ามันสถานที่คุ้มครองจนห้ามเข้าด้วย

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด