โรงเรียนในเกาหลีใต้มักมีตำนานสยองขวัญเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับโดยเฉพาะในห้องน้ำค่ะ ตำนานส่วนใหญ่มักพูดถึงห้องน้ำในโรงเรียนที่มืดและเก่า ที่นั่นมักมีนักเรียนไปผูกคอตายทำให้มีผีออกมาคอยหลอกหลอน ใครก็ตามที่ไปห้องน้ำคนเดียวจะได้เจอเหตุการณ์ประหลาดๆ ไม่ว่าจะเป็นชักโครกที่ทำงานด้วยตัวมันเอง ประตูห้องน้ำปิดเองได้โดยไม่มีลมหรือใครไปแตะต้อง หรือบางทีก็จะได้ยินเสียงร้องไห้หรือพบว่ามีใครบางคนแอบเฝ้ามองเราอยู่จากกระจกในห้องน้ำ

     นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องเล่าหนึ่งที่โด่งดังไม่แพ้กันนั่นคือผีกระดาษชำระค่ะ ว่ากันว่าเจ้าผีตัวนี้จะถามว่าเราจะใช้กระดาษชำระสีอะไร ระหว่างสีแดงกับสีฟ้า หากเราตอบว่าสีแดงผีจะเชือดเรา แต่ถ้าเลือกสีฟ้าผีก็จะบีบคอเราค่ะ

     ไม่มีอะไรบอกให้กระจ่างว่าทำไมต้องเป็นผีสาวพรหมจรรย์ แต่เราจะพบผีสาวพรหมจรรย์ได้ในอาคารร้างอย่างเช่นที่โรงพยาบาล โรงเรียน ห้องน้ำ สุสาน และพื้นที่ที่เป็นป่าค่ะ เล่ากันว่าผีสาวพรหมจรรย์จะมีผมยาวปกคลุมใบหน้า ร่างผอม และสวมชุดสีขาว (อิมเมจเหมือนผีญี่ปุ่นมากๆ) เราจะรู้ได้ว่าผีสาวพรหมจรรย์อยู่ใกล้เราในตอนที่อากาศรอบกายหนาวเหน็บเข้ากระดูก ลมเปลี่ยนทิศทาง และรู้สึกได้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว

     มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนที่เจอผีสาวพรหมจรรย์ว่า มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เก่าๆ คืนหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนเคาะประตู ชายคนนั้นตะโกนถามว่าคนที่มาเคาะประตูคือใคร กลับมีเสียงตอบกลับมาว่า เขาควรจะหลับตาลงและนับหนึ่งถึงร้อย หากไม่ทำเขาจะต้องตาย ชายคนดังกล่าวสงสัยว่าใครแกล้งเขากันแน่จึงเปิดประตูห้องออกไปและพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย แต่ชายคนนี้เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เขาเลยหลับตาแล้วเริ่มต้นนับเลขในใจ พอนับไปได้ถึงเลข 49 ยังไม่ทันถึง 100 ดี เขาก็ลืมตาขึ้นมาเสียก่อนเพราะความอยากรู้ และสิ่งที่เขาเห็นหลังเปิดตาขึ้นมาคือผีสาวพรหมจรรย์ยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วยแววตาน่าสยดสยอง

     ประเทศไหนๆ ก็มักมีเรื่องผีข้างทางเสมอ ที่เกาหลีก็มีเหมือนกันค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องดังประจำถนนชายู ซึ่งเป็นทางหลวงระหว่างเมืองโคยังและเมืองพาจูในจังหวัดคยองกี คนที่ใช้ทางหลวงสายนี้มักเล่าว่าได้พบกับหญิงสาวสวมแว่นกันแดดอันใหญ่ยืนอยู่ข้างถนน แต่ถ้ามองให้ดีแล้วจะพบว่าเธอไม่ได้กำลังสวมแว่นอยู่หรอกค่ะ เจ้าสีดำๆ บนใบหน้าคือเบ้าตาที่ลึกกลวงของเธอต่างหาก

     ยังมีเรื่องเล่าอีกว่าชายคนหนึ่งขับรถอยู่บนถนนสายนี้ ระหว่างทางเขาเจอผู้หญิงสวมแว่นดำยืนอยู่ข้างถนนกำลังโบกรถให้จอด เธอคนนั้นถามเขาว่าจะช่วยขับรถพาเธอกลับบ้านได้มั้ย ซึ่งเขาก็ใจดีรับเธอขึ้นมาและขับรถไปตาม GPS เรื่อยๆ แต่แล้วจุดหมายปลายทางที่ตาม GPS ไปกลับเป็นสุสาน และหญิงสาวที่เขาพามาก็ไม่ได้สวมแว่น หากแต่มีเบ้าตาลึกโบ๋ค่ะ

     สำหรับเรื่องนี้ ใครที่เป็นโรคกลัวรู (Trypophobia) พี่แนะนำให้ข้ามไปเลยค่ะ เพราะเรื่องที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับรูขุมขนในร่างกายเรา ไม่มีผี มีแต่ความสยอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนหนึ่งที่หมกมุ่นอยู่กับความสวยความงามของตัวเอง เธอถามหมอถึงวิธีที่จะทำให้ผิวของเธอคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้ และหมอบอกมาว่าให้ลองเอาเมล็ดงาใส่ในอ่างอาบน้ำและลงไปแช่ดู ทันทีที่กลับบ้านผู้หญิงคนนั้นก็ทำตามและหายเข้าไปในห้องน้ำอยู่นานจนแม่ของเธอมาเคาะประตู

     ผู้หญิงคนนั้นตะโกนบอกให้แม่เธอรอสักเดี๋ยวแล้วก็เงียบหายไป แม่เธอเคาะประตูอีก แต่เธอตอบกลับมาเหมือนเดิมและเงียบไปเหมือนในครั้งแรก สุดท้ายผู้เป็นแม่จึงเปิดประตูห้องน้ำออกเอง ทำให้เห็นภาพลูกสาวกำลังใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มเมล็ดงานับร้อยที่ฝังลึกอยู่ในรูขุมขนออกจากตัว ...แหม ใครที่รูขุมขนกว้าง อ่านแบบนี้ไปแล้วอาจจะสยองกันอยู่นิดๆ เลยใช่มั้ยล่ะคะ ตอนนั้นที่เกาหลีเค้าฮือฮากันมากที่ซีรีส์เรื่อง 전설의 고향  หรือ Hometown Legends มีฉากเลียนแบบการเสริมความงามด้วยเมล็ดงานี่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าดีจริงมั้ยแต่พี่คนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วยแน่นอน

     เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องผีแต่แค่เห็นชื่อก็ชวนให้สยองและอยากอาเจียนแล้วค่ะ กับเรื่องเล่าสยองที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกเจ็บท้องขึ้นมาเฉยๆ อย่างไม่มีสาเหตุ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไรเพราะทำอย่างไรก็ไม่หายเจ็บสักที ดังนั้นผู้หญิงคนนี้จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาล เมื่อไปที่นั่นแพทย์ได้เอ็กซเรย์และพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมแฝงตัวอยู่ในมดลูกของเธอ เมื่อลองตรวจสอบดูดีๆ แพทย์พบว่าเจ้าสิ่งแปลกปลอมที่ว่านั่นคือแมลงสาบค่ะ!

     เล่ากันว่าที่มันเข้าไปอยู่ในมดลูกของผู้หญิงคนนั้นได้เป็นเพราะมีแมลงสาบไปวางไข่บนผ้าอนามัยของเธอ และเมื่อเธอใช้ผ้าอนามัยที่ว่ามันก็เลย...นั่นแหละค่ะ (เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ) เรื่องนี้อาจจะน่ายี้ไปบ้างแต่ก็อิงมาจากเรื่องจริงนะคะ เพราะที่เกาหลีใต้เคยมีข่าวทำนองนี้อยู่เหมือนกัน แม้จะไม่ใช่แมลงสาบแต่ก็มีข่าวว่าพบแมลงตัวเล็กๆ บนผ้าอนามัยและผ้าอ้อมเด็กค่ะ ได้ฟังแบบนี้แล้วน้องๆ ต้องดูแลห้องให้สะอาดด้วยนะคะจะได้ไม่เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นกับเรา