สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ช่วงนี้กระแสฟุตบอลโลกกำลังมาแรงไม่ใช่น้อยเลยค่ะ แต่ที่แรงกว่าก็คงหนีไม่พ้นกระแส #นักบอลหล่อบอกต่อด้วย วันนี้ พี่ภรณ์ เลยพามารู้จักกับนักบอลตำแหน่งกองกลางสัญชาติเยอรมันที่บอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่เต็มไปด้วยความทุ่มเท เพราะกว่าจะมาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติเยอรมันได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยค่ะ จะเป็นอย่างไรกันบ้างไปอ่านกันเลย!
“สวนของพ่อแม่เป็นที่ที่ผมใช้เรียนรู้ที่จะเล่นและรักฟุตบอล”
สำหรับโยชัว คิมมิช (Joshua Kimmich) แล้ว เรื่องราวของเขาเริ่มจากสวนหลังบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า เบอซิงเงิน ในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ประเทศเยอรมนี น่าแปลกไม่น้อยที่ประชากรกว่า 1,700 คนในหมู่บ้านแห่งนี้จะรักฟุตบอล แต่กลับไม่มีสถานที่ให้เด็กเล่นฟุตบอลเลยสักที่เดียว โยชัวในวัยเพียง 5 ขวบจึงเลือกสวนหลังบ้านเป็นสถานที่ที่เริ่มสร้างความฝันของตน
ทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่พ่อของเขาสอนให้เลี้ยงลูกฟุตบอลด้วยเท้าซ้ายไปยังเท้าขวา ส่งลูก ยิงลูก จนในที่สุดเขาก็มีทีมฟุตบอลขนาดย่อมร่วมกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน แม้ว่าการเตะบอลจะทำให้หน้าต่างที่บ้านแตกไปหลายบาน แต่พ่อกับแม่ก็ยังคงสนับสนุนเขาอยู่เสมอ พวกเขาเซอร์ไพรส์โยชัวด้วยการนำโกลฟุตบอลใช้แล้วจากสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นมาให้ นั่นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ดัดแปลงสวนเปล่าๆ ให้เป็นสนามฟุตบอลของพวกเขาเอง โยชัวเล่าว่าในตอนนั้นพวกเขานำดินและเศษแผ่นไม้ที่เหลือจากการสร้างบ้านของคนในหมู่บ้านมาทำเป็นสเตเดียมประหนึ่งว่ามีแฟนๆ กำลังมองดูพวกเขาเล่นบอลกันอยู่
ทุกครั้งที่ออกไปเล่นฟุตบอล โยชัวจะใส่เสื้อบอลที่ด้านหลังมีชื่อของนักบอลคนโปรดของเขาอย่าง ซาดีน, ชไวน์ชไตเกอร์ และโรชิตสกี เพียงแค่เขาหลับตาและเดินเข้าไปในสนามจำลอง โยชัวก็มองเห็นภาพของตัวเองในฐานะของนักฟุตบอลมืออาชีพกำลังใส่เสื้อบอลที่ด้านหลังมีคำว่า ‘KIMMICH’ พร้อมกับเสียงแฟนคลับส่งเสียงร้องเชียร์ดังกึกก้องสนามแล้ว
“เธอยังไม่ดีพอ ร่างกายของเธอยังไม่แข็งแกร่งพอ”
ครั้งหนึ่งโยชัวและทีมของเขาแข่งกับทีมเยาวชนของเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ท (VfB Stuttgart) และเขาก็พาทีมชนะด้วยคะแนน 3 ประตูต่อ 2 การแข่งขันในวันนั้นทำให้โยชัวเป็นที่หมายตาของเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ท แผนกเยาวชน ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ดีที่สุดในภูมิภาค แต่เพราะตอนนั้นโยชัวยังเด็กเกินไป ทำให้พ่อกับแม่ของเขาไม่เห็นด้วยกับการย้ายไปเล่นให้ทีมนี้ จนกระทั่งเขาอายุได้ 12 ปี ทางสโมสรยังคงสนใจในตัวเขาอยู่ โยชัวจึงตอบตกลงในที่สุด
การเป็นหนึ่งในคนที่อายุน้อยที่สุดไม่ได้สวยหรูสำหรับโยชัวนัก เพราะเขาต้องทำความสะอาดห้องครัวและโต๊ะหลังมื้ออาหารทุกวัน แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเขาจากความฝันที่จะเติบโตเป็นนักฟุตบอลระดับโลก พออายุได้ 18 ปี โยชัวจึงตัดสินใจขอโค้ชย้ายจากทีมเยาวชนไปเล่นให้กับเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ทแทน แต่โค้ชกลับปฏิเสธและบอกว่าเขายังไม่มีศักยภาพที่มากพอจะสู้กับเพื่อนในรุ่นเดียวกันได้ นั่นเป็นเสมือนจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของเขา เพราะเขารู้แล้วว่าตอนนั้นสิ่งที่ตนต้องการไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียง แต่ต้องเป็นทีมที่เชื่อมั่นในความสามารถของเขาด้วย
“ผมคิดว่านั่นคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักฟุตบอลคือผู้จัดการและโค้ชที่เชื่อใจคุณ”
หลังจากโดนโค้ชปฏิเสธไป โยชัวเลือกกลับไปหากรรมการทีมเยาวชนเฟาเอ็ฟเบ ชตุทท์การ์ทที่เคยติดต่อให้เขาไปเข้าร่วมทีมด้วย ก่อนจะรู้ว่าเขาได้ย้ายไปทำงานให้กับแอร์เบ ไลป์ซิก (RB Leipzig) แล้ว วินาทีนั้นเองที่โยชัวตัดสินใจย้ายตามกรรมการคนนั้น และพบกับรัลฟ์ รังนิค (Ralf Rangnick) ผู้จัดการทีมแอร์เบ ไลป์ซิก ที่เคารพและเชื่อใจในตัวนักกีฬาเหมือนอย่างที่เขาต้องการ แต่ทุกอย่างกลับไม่ง่ายดายเหมือนที่เขาวาดฝัน
“ในฐานะของผู้เล่นอายุน้อย สิ่งสำคัญที่สุดรองจากโค้ชที่ดีคือการซ้อมให้มาก เพราะคุณจะได้พัฒนาตนเอง ดังนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับผมมาก
ทุกคนอยากจะคุยและอยากจะช่วยคุณ แต่คุณต้องรับมือกับมันคนเดียว”
การได้เข้าร่วมทีมกับแอร์เบ ไลป์ซิกเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของโยชัว แต่เขากลับได้รับอุบัติเหตุระหว่างซ้อมจนต้องพักรักษาตัวกว่า 4 เดือนในไลป์ซิก โยชัวรู้สึกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับเขา เพราะเขาต้องอยู่ในห้องพักของโรงแรมคนเดียวในเมืองที่อยู่ห่างจากบ้านของเขาถึง 550 กิโลเมตร ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมได้ซ้อมเต็มวัน เขากลับทำได้แค่ซ้อมกับโค้ชตัวต่อตัวเท่านั้น โยชัวบอกว่า “ผมรู้สึกเหงามาก แต่ผมรู้ว่าต้องผ่านมันไปได้ด้วยตัวของผมเอง” เขาเลยหันมาตั้งใจดูแลสุขภาพของตน เพื่อที่จะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง พร้อมกับแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง
โยชัวใช้เวลา 2 – 3 เดือนในการกลับมาลงสนามอีกครั้ง และหลังจากนั้นเขาก็ได้แข่งฟุตบอลครั้งสำคัญอีกครั้งกับทีมชตุทท์การ์ท และผลคือทีมไลป์ซิกของเขาเป็นฝ่ายชนะ โยชัวจึงคิดว่าการแข่งครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาดีพอและพร้อมที่จะเล่นกับทีมแนวหน้าของประเทศแล้ว
แต่แล้วการเดินทางในสายฟุตบอลของโยชัวต้องเดินทางมาถึงจุดพลิกผันอีกครั้งเมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากเอเจนซีว่า สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกต้องการตัวเขา โยชัวแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นี่คงเป็นเพราะความทุ่มเท ความรัก และความซื่อสัตย์ที่เขามีให้แก่ความฝันของตัวเองกำลังตอบแทนเขาอยู่ จากเด็กชายในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งสนามฟุตบอลจะเล่น จนวันนี้เขาได้เซ็นสัญญาย้ายทีม และได้เดินเคียงข้างมานูเอล น็อยเออร์ (Manuel Neuer) โทมัน มึลเลอร์ (Thomas Müller) ฟิลิปป์ ลาห์ม (Philipp Lahm) และเพื่อนร่วมทีมมืออาชีพอีกมากมายเข้ามาในสนามกีฬาอัลลิลันซ์อาเรนา
“ผมอยากจะเป็นตัวของตัวเองมาเสมอ ไม่ใช่โคลนของลาห์ม หรือลาห์มที่ 2”
แม้เขาจะสามารถทำความฝันในวัยเด็กให้เป็นจริงได้แล้ว แต่ด้วยวัยเพียง 23 ปี ถือว่าเขายังเด็กมาก และยังมีอนาคตในวงการลูกหนังอีกยาวไกล พอล ไบรท์เนอร์ (Paul Breitner) อดีตนักฟุตบอลคนสำคัญชาวเยอรมัน เอ่ยปากชมว่าโยชัวเข้าใจใช้ยุทธวิธีในการเล่นและรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเปลี่ยนจังหวะการเล่น โยชัวมีทุกอย่างที่ฟิลิปป์ ลาห์มมี และเขาสามารถเป็นฟิลิปป์ ลาห์มคนที่ 2 ได้ด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น แต่ไม่นานมานี้โยชัวก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเปรียบเทียบของพอล ไบรท์เนอร์ว่า สิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะเป็นมากที่สุดคือตัวของเขาเอง เพราะแม้ว่าในตอนเด็กเขาจะสวมเสื้อบอลที่มีชื่อนักฟุตบอลคนอื่นปรากฏอยู่ แต่สิ่งที่เขาต้องการมากกว่าอย่างอื่นคือเสื้อที่เขียนคำว่า ‘KIMMICH’ เท่านั้น
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กว่าจะมาเป็นนักฟุตบอลแนวหน้าของเยอรมนีได้ต้องผ่านอุปสรรคมากมายเลยทีเดียวค่ะ สำหรับน้องๆ ชาว Dek-D.com คนไหนที่มีฝันเหมือนโยชัว คิมมิช พี่ก็ขอเป็นกำลังใจให้และไปให้ถึงฝันนะคะ แล้วก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้โยชัวกับเพื่อนๆ นักเตะทีมเยอรมันกันในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ด้วยนะคะ
ข้อมูล
3 ความคิดเห็น
ือื้อหืออ หล่อ แถมล่ำอีก แจ่มมาก 555
เป็นความฝันที่สวย แต่ไม่ได้โรยด้วยกุหลาบ
โยชัว คิมมิช fc