“ลูคัส แควาร์” 3 วัน 3 คืน กับการเอาชีวิตรอดในถ้ำที่ถูกล็อค!

       สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ทุกคน หลายๆ คนคงได้ยินข่าวการหายตัวไปของเด็กๆ และโค้ชทั้ง 13 คนในถ้ำหลวง จังหวัดเชียงรายกันแล้วใช่ไหมคะ วันนี้ พี่ภรณ์ ก็เลยอยากจะนำเรื่องราวของนักศึกษาชาวอเมริกันที่ติดอยู่ในถ้ำกว่า 3 วัน 3 คืน มาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวการติดอยู่ในนั้น และการเอาชีวิตรอดของเขาค่ะ


Photo: twitter.com
 
“กฎข้อที่ 4 ของการสำรวจถ้ำ คือ ห้ามไปเพียงลำพัง”

       นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ระทึกขวัญที่สุดในชีวิตของลูคัส แควาร์ (Lukas Cavar) นักศึกษาปีที่ 1 วัย 19 ปี จากมหาวิทยาลัยอินเดียนา เมื่อเขาติดอยู่ในถ้ำซัลลิแวนโดยปราศจากน้ำและอาหารถึง 3 วัน

       เมื่อวันอาทิตย์ของเดือนกันยายนปีที่แล้ว กลุ่มนักศึกษา 11 คนจากชมรมสำรวจถ้ำของมหาวิทยาลัยอินเดียนา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อีก 1 คน ได้เดินทางเข้าไปสำรวจถ้ำซัลลิแวนที่ตั้งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยกว่า 10 ไมล์ พวกเขาเดินทางมาถึงตอนประมาณ 10 โมงครึ่ง ก่อนจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ เพื่อเดินทางเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น

       ลูคัสได้ไปเข้าร่วมกับกลุ่มที่ 2 การเดินทางของพวกเขาใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ก่อนจะมาถึงจุดที่เรียกว่า ‘Backbreaker’ ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่า การจะเดินผ่านจุดนี้ไปได้ นักสำรวจจำเป็นต้องค่อมหลังผ่านเพดานถ้ำที่โน้มลงมาต่ำมาก แต่ลูคัสกลับไม่อยากผ่านจุดนั้น เขาจึงเลือกแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อไปเข้าร่วมกับกลุ่มที่ 1 แทน แต่แล้วการพลาดจุดทางแยกในถ้ำ ทำให้เขาหลงทาง ลูคัสจึงหยุดยืนอยู่ตรงนั้น หวังว่าเพื่อนในกลุ่มจะเดินตามหาเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขากลับไม่ได้ยินเสียงใครตะโกนเรียกชื่อของเขาเลย

Photo: fox59.com

       แม้ว่าลูคัสจะสามารถเดินตามรอยลูกศรที่อยู่บนผนังจนหาทางออกได้ แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เพราะกลุ่มนักสำรวจถ้ำเดินทางกลับไปหมดแล้วตอนเวลาประมาณบ่าย 3 โมงของวันนั้น แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ประตูของถ้ำก็ถูกล็อกเอาไว้ด้วย ลูคัสเล่าให้ฟังว่าถ้ำแห่งนี้มีความอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ทุกครั้งที่กลุ่มนักสำรวจออกมาจากถ้ำจึงจำเป็นต้องล็อกประตูเหล็กหน้าถ้ำเอาไว้ด้วย

       ลูคัสเริ่มสำรวจบริเวณรอบๆ ทางออก ก่อนที่เขาจะพบกับคลิปหนีบกระดาษ และใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงเพื่อปลดล็อกแม่กุญแจ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะแม่กุญแจเหล็กยังคงล็อกแน่นอยู่เช่นเดิม เขารู้แล้วว่าตอนนี้ตนเองไม่สามารถออกไปไหนได้ ทางเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือ การเก็บออมแรงไว้ให้มากที่สุด

Photo: idsnews.com

“ผมอยากจะเจอครอบครัวอีกครั้ง ดังนั้น ผมจึงคิดว่า
ผมสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้จนกว่าพวกเขาจะหาผมพบ”

       ลูคัสเล่าว่า ในวันแรกเขาแทบครองสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เขามีเพียงถุงพลาสติก 1 ใบ เปลือกธัญพืชอัดแท่ง ขวดเปล่า 2 ขวด โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ กับการเอาตัวรอดที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เมื่อท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง ความกลัวเริ่มกลับเข้ามาสู่ความคิดของเขาอีกครั้ง ลูคัสจะต้องเตรียมตัวรับมือกับค้างคาว งู แมงมุม และซาลาแมนเดอร์ที่พร้อมจะออกมาจู่โจมเขาได้ทุกเมื่อ เขาเลือกที่จะเดินเข้าไปด้านในของถ้ำเพื่อหลีกเลี่ยงค้างคาวที่บินเข้า-ออกปากถ้ำ แต่ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ อากาศรอบตัวเขาก็ยิ่งเย็นลงเท่านั้น ความรู้สึกสิ้นหวังเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเขา ลูคัสทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเริ่มพิมพ์จดหมายบอกลาคนในครอบครัว
 
“ผมเลือกจะรับมือกับความเจ็บปวดทางร่างกาย
ดีกว่าต้องเผชิญกับความกลัวของตัวเอง”

       เมื่อวันจันทร์มาถึง ทุกอย่างกลับแย่ลงกว่าเดิม เพราะตั้งแต่ตอนที่ติดอยู่ในถ้ำก็ไม่มีอาหารตกถึงท้องของเขาเลย ลูคัสใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงในการเลียผนังถ้ำเพื่อรับความชื้นเหล่านั้นมาดับกระหายตน เมื่อเขารู้สึกหนาว ลูคัสจึงเดินวนไปวนมาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเอง และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ จากโทรศัพท์ที่เคยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เขาได้บ้าง ตอนนี้แบตเตอรี่กลับหมดลง ลูคัสต้องแสร้งทำเป็นกำลังซ้อมเล่าเรื่องที่เขาติดอยู่ที่นี่ให้ครอบครัวและเพื่อนฟังเพื่อจะได้ดึงดูดความสนใจของตนเองไม่ให้ตื่นตระหนกไปมากกว่าเดิม

Photo: bostonglobe.com
 
       “3:45—ขาดเรียนทุกวิชา มั่นใจว่า
จะต้องมีคนสังเกตเห็นบ้างว่าเราหายไป”

--นึ่งในข้อความที่ลูคัสได้บันทึกลงไปในโทรศัพท์ของเขา

       ในระหว่างที่ลูคัสหายตัวไปกลับไม่มีใครสังเกตเห็น จนกระทั่งวันจันทร์ในคาบฟิสิกส์ที่ แซม นอร์เรล (Sam Norrell) เพื่อนร่วมชั้นของเขาเห็นถึงความผิดปกตินี้เข้า แซมเล่าว่า ตั้งแต่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัยมา ลูคัสก็ไม่เคยขาดเรียนมาก่อน และถ้าลูคัสจะไม่มาทำงานที่ห้องสมุด เขาจะต้องโทรศัพท์มาบอกก่อนด้วย แต่กลับไม่มีการแจ้งลาจากเขาเลย ในตอนแรกแซมคิดว่าลูคัสอาจจะป่วยหนักมาก แต่หลังจากที่ไม่มีใครเห็นเขาที่มหาวิทยาลัยเลย แซมจึงไปแจ้งกับชมรมสำรวจถ้ำว่าเขาหายตัวไป ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเดินทางกลับไปยังถ้ำซัลลิแวนเพื่อตามหาลูคัส

“มันน่าจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดในชีวิตของผม”

       เมื่อวันที่ 3 มาถึง มันเป็นวันที่ยากลำบากที่สุดของลูคัส เขาทั้งหิว ทั้งหนาว และอยากกลับไปหาครอบครัว เขาวางแผนที่จะจับจิ้งหรีดมากินหลังจากที่ไม่สามารถทนความหิวได้อีกต่อไป แต่แล้วทันใดนั้น เขาก็เห็นแสงไฟส่องเข้ามาจากปากถ้ำ ลูคัสเล่าว่า เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า แต่เมื่อเขาตระหนักได้ว่าแสงนั้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน เขารีบตะเกียกตะกายไปที่ประตูเหล็ก ก่อนที่เขาจะเห็นหัวหน้าทีมสำรวจถ้ำปลดล็อกกุญแจและเปิดประตูที่ขังเขาเอาไว้ถึง 3 วัน 3 คืนออก

       ในเวลาเกือบเที่ยงคืนของวันนั้น เพื่อนๆ จากชมรมสำรวจถ้ำเข้ามาปฐมพยาบาลให้เขา ก่อนจะพบว่าลูคัสไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง เพียงแค่หิวและอิดโรยเท่านั้น พวกเขายังเตรียมเสื้อผ้าสะอาด น้ำ พาสต้า และเบอร์เกอร์มาให้ลูคัสกิน ก่อนจะขอโทษที่ทิ้งเขาเอาไว้ที่นั่น และพาเขากลับไปยังห้องพักอย่างปลอดภัย

“ผมดีใจมากๆ ที่รอดชีวิตมาได้ มันเหมือนผมได้รับโอกาสครั้งที่สอง”


   

       สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์ของลูคัส แควาร์คือ ควรระมัดระวังตนเองและอย่าแยกทางออกมาจากกลุ่มเมื่อต้องไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและมีความอันตราย นอกจากนี้ หากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ สติ และต้องเชื่ออยู่เสมอว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรายังมีความหวังอยู่ค่ะ




ข้อมูล
idsnews.com
washingtonpost.com
theguardian.com
พี่ภรณ์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด