“มายด์” กับชีวิตแลกเปลี่ยน 1 เทอมใน ‘ปูซาน’ ที่คุ้มค่าทั้งเรื่องเรียน ภาษา และสังคม!

     สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D พบกับ พี่วุฒิ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกอีกเช่นเคย เรื่องที่นำมาฝากวันนี้เป็นประสบการณ์นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในเขตปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เรื่องราวจะสนุกแค่ไหน ตามมาอ่านกันเลยครับ


 

 
      สวัสดีค่ะ เราชื่อ ‘มายด์’ ชนม์นิภา ฉายะโอภาส  นะคะ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 เอกภาษาเกาหลี คณะมนุษยศาสตร์ ม.นเรศวร เรามีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยทงซอ เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นเวลา 1 เทอม นี่ก็เพิ่งกลับมาสดๆ ร้อนๆ เลยค่ะ 
 
      สำหรับโอกาสในการไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เราได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยทงซอ (Dongseo University) ซึ่งทุนนี้เป็นการคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยของมายด์อีกทีนึงค่ะ ประเภทของทุนก็จะมีหลายแบบ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว แล้วแต่เราสมัครไป อย่างของมายด์เป็นทุนแลกเปลี่ยนระยะ 1 เทอม ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน 2018 ค่ะ เราเลยใช้โอกาสนี้ในการเก็บหน่วยกิตวิชาปี 3 เทอม 2 ที่นั่นเลย ซึ่งวิชาที่มายด์ได้ไปเรียนจะเป็นวิชาบังคับของมหาวิทยาลัย หรือที่เราเรียกว่า ‘วิชามอ’ นั่นเอง

      โดยใน 1 เทอมเนี่ย เราต้องลงเรียนทั้งหมด 8  วิชา เรียกว่าเนื้อหาที่ได้เรียนหลากหลายมากกก อย่าง 3 วิชาแรก เป็นวิชาบังคับสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ได้แก่ ภาษาเกาหลี TOPIK, วิชาข่าวจากสถานการณ์ของเกาหลีในปัจจุบัน, วิชาวิเคราะห์สื่อภาพยนตร์และซีรีส์ ส่วนอีก 5 ตัวที่เหลือ เป็นวิชามอที่เราสามารถเลือกลงเรียนได้เอง เช่น การท่องเที่ยว, เทศกาล, วัฒนธรรม, อาชีพ และเส้นทางชีวิต เป็นต้น

 


 
      ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าการมาแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มายด์เลือกลงเรียนเป็นภาษาเกาหลีเต็มหลักสูตรแบบนักศึกษาของที่ทงซอเรียนกัน ด้วยความที่เราเรียนเอกภาษาเกาหลีอยู่ด้วย มายด์เลยคิดว่านี่แหละเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ใช้ภาษาเกาหลีแบบจริงจัง เพราะปกติเราเรียนที่ไทย เราได้ใช้ภาษาแค่ในห้องเรียน สื่อสารแค่กับอาจารย์และเพื่อนๆ ในเอกเท่านั้น พอได้มาอยู่ในสถานการณ์จริงๆ ก็น่าจะทำให้เราพัฒนาทักษะภาษาได้มากขึ้น

      และมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ไม่สิ! เรียกว่าเกินกว่าที่คิดด้วยซ้ำ เพราะว่าพอมาเรียนจริง อย่างในวันแรกของการเรียน เล่นเอามายด์เกิดอาการ Language Shock เลยล่ะ (ฮืออออ T___T) แม้ว่าเราจะเรียนภาษาเกาหลีอยู่ก็เถอะ แต่พอมาเจอของจริง มายด์ฟังแทบไม่ออกเลยว่าอาจารย์พูดอะไร ด้วยความที่เราเองตอนเรียนที่ไทย ได้เรียนแต่กับอาจารย์ผู้หญิง แต่พอมาเรียนที่นี่มีอาจารย์ผู้ชายสอนด้วย เราเลยไม่ค่อยคุ้นสำเนียงผู้ชายสักเท่าไหร่ แล้วอาจารย์เค้าก็พูดเร็วมากด้วย ยอมรับเลยว่าช่วงแรกแอบท้อเลย กลับหอมานั่งร้องไห้หลายครั้งเลย แต่พอได้เรียนไปเรื่อยๆ ก็ปรับตัวได้ค่ะ เมื่อไม่เข้าใจเราเองก็ต้องพยายามตามให้ทัน 

 


 
     ในตอนแรกที่มายด์เข้ามาเรียน เพื่อนนักศึกษาเกาหลีเค้าก็ตกใจกันว่าเราเป็นชาวต่างชาติ ทำไมถึงมาลงเรียนวิชามอเหมือนนักศึกษาเกาหลีทั่วไปเค้าเรียนกันล่ะ? หลายคนก็ถามเราว่าจะเรียนไหวเหรอ? ตอนแรกเราเองก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอโดนถามบ่อยๆ และเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นชาวต่างชาติคนเดียวในคลาส ก็เริ่มเหงื่อตกเหมือนกันค่ะ ฮ่าๆ และยิ่งเหงื่อตกเข้าไปใหญ่ เมื่อฤดูการสอบมาเยือน เราเองก็ไม่ได้แม่นภาษาเกาหลีขนาดนั้น เวลาจะสอบแต่ละครั้ง มายด์ก็ต้องนั่งแปลหนังสือเรียนที่เป็นภาษาเกาหลีทั้งเล่ม เรียกว่าแปลทุกคำทุกตัวอักษรเลยก็ว่าได้ และต้องบอกไว้ว่า การสอบที่นี่ไม่มีข้อสอบชอยต์นะคะ ทุกวิชาต้องสอบเขียนทั้งหมด มีครั้งนึงเราเพิ่งทำข้อแรกยังไม่ทันเสร็จเลย แต่เพื่อนคนเกาหลีในห้องทำเสร็จแล้ว ลุกส่งกระดาษคำตอบแบบชิลล์ๆ ตอนนั้นกดดันมากค่ะ กลัวทำไม่ทัน แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้แบบหวุดหวิด รอดแล้วเรา...  

 


 
     พอเราได้มาเรียนที่นี่ มีคำถามนึงที่คนรอบข้างชอบถามมายด์อยู่เสมอคือ “คนเกาหลีเรียนกันหนักจริงหรือเปล่า?” เชื่อว่าที่ผ่านมาหลายคนน่าจะพอรู้กันมาบ้างเนอะว่าประเทศเกาหลี เค้าเรียนกันจริงจังมากกกกกก ซึ่งที่มายด์เจอก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะคะ อาจจะเป็นเพราะเราเรียนวิชามอด้วย นักศึกษาหลายคนไม่ค่อยจริงจังกับวิชาเหล่านี้สักเท่าไหร่ พวกเค้าจะจริงจังกับวิชาเอกซะมากกว่า พอเป็นวิชานอกคณะ หลายคนเลยโดดเรียนบ่อย บ้างก็มานั่งหลับในคลาสก็มี เรียกว่าก็เหมือนๆ บ้านเรานี่แหละค่ะ (แต่มายด์เข้าเรียนทุกครั้งนะคะ อิอิ) 
 
     พูดถึงเรื่องสังคมการเรียน ต้องบอกว่ามายด์โชคดีมากที่เจอเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเราตลอด เพราะเค้าเห็นว่าเป็นชาวต่างชาติด้วย เวลาไม่เข้าใจอะไร เค้าก็จะช่วยอธิบายเป็นภาษาเกาหลีที่เข้าใจง่าย และอีกอย่างที่มายด์ชอบคือ ตอนเรียนเวลาใครมีอะไรสงสัยก็ยกมือถามเลย อาจารย์ก็เปิดโอกาสให้พูดคุยหรือซักถามตลอด บรรยากาศการเรียนเลยค่อนข้างสนุก หรือบางครั้งเวลาเราพูดอะไรผิดๆ เค้าก็ไม่ได้หัวเราะเยาะ แต่ก็แนะนำและบอกให้เราพูดแบบนี้ดีกว่าถึงจะถูก ซึ่งมายด์ว่ามันดีมากๆ เลยล่ะ 

 

Clip


 
     เล่าเรื่องการเรียนไปพอหอมปากหอมคอแล้ว เปลี่ยนมาที่เรื่องชีวิตสนุกๆ ที่ปูซานกันบ้างดีกว่า (เอาจริงไม่รู้จะเล่าเรื่องไหนก่อนเลย เพราะมีเยอะมากกก) งั้นเริ่มที่เรื่องหอพักกันก่อนดีกว่า ตอนเราไปเรียน เราได้พักอยู่ที่หอในของมหาวิทยาลัยซึ่งจัดให้ชาวต่างชาติ โดยเราพักอยู่กับรูมเมทชาวกานา เค้ามาเรียนต่อปริญญาโท แต่ส่วนใหญ่เมทของเราเค้าไม่ค่อยนอนหอหรอกค่ะ เพราะว่าเค้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ต้องออกกองไปถ่ายงานบ่อย เราเลยอยู่คนเดียวซะมากกว่า จริงๆ อยู่ด้วยกันไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลยนะคะ แต่มีอยู่วันนึงเค้าปลุกเราตั้งแต่ตี 5 เราก็ตกใจ นึกว่ามีใครเป็นอะไรรึเปล่า? ที่ไหนได้ นางจะลุกมาซักผ้าค่ะ แล้วจะขอยืมเหรียญไปหยอดเครื่องซักผ้า =_= ตอนนั้นเราหงุดหงิดมาก รอให้เราตื่นนอนก่อนไม่ได้เหรอ แล้วจำเป็นต้องซักตั้งแต่แต่ตี 5 เลยหรือไง? เรียกว่าโมโหมาก แต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ ไม่ได้อยากมีปัญหาด้วย แต่เหตุการณ์วันนั้นมันทำเราเฟลไปทั้งวันจริงๆ นะ     

 


 
    จะว่าไปแล้ว ชีวิตในปูซานของเรา มักได้เจอแต่คนดีๆ อยู่เสมอ อย่างรูมเมทที่พูดถึงไว้ด้านบน จริงๆ เค้าเป็นคนดีนะ แต่แน่ล่ะ คนเราอยู่ด้วยกันมันก็ต้องแอบมีเรื่องขัดใจอยู่บ้างอะเนอะ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ที่มายด์ได้เจอก็ดีกับเรามากๆ มายด์มีเพื่อนที่สนิทคนนึงเป็นชาวมาเลเซีย คนนี้ซี้ปึ้กเลยค่ะ ไปไหนไปกันตลอด และนอกจากนี้มายด์ยังมีเพื่อนชาวเกาหลีที่รู้จักกันคลาสด้วย เป็นคู่รักนักศึกษา 2 คนนี้คอยช่วยเหลือเราตลอด แถมชวนกินข้าวอยู่บ่อยครั้ง คือน่ารักมากกกก

     และด้วยความโชคดีอีกชั้นนึง คือเราเองก็มีเพื่อนชาวเกาหลีที่อยู่มหา’ลัยแห่งนี้ประมาณ 10 คน ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่ปีที่แล้วตอนที่พวกเค้ามาแลกเปลี่ยนที่มหา’ลัยของมายด์ พอคราวนี้เรามาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ พวกเค้าก็ดูแลมายด์ดีมากๆ พาไปเที่ยว ไปกินข้าว โดยเฉพาะคืนวันศุกร์ หรือที่นี่เรียกกันว่า ‘불금’ (พุลคึม) ย่อมาจาก 불타는 금요일 (คืนวันศุกร์ที่ลุกเป็นไฟ) ก็ตามความหมายเลยค่ะ วันนี้ก็เป็นวันปลดปล่อยหลังจากเรียนมาเครียดๆ พวกเค้าก็จะพามายด์ไปโนเรบัง (노래방”) หรือ ร้านคาราโอเกะ ซึ่งร้านของที่นี่ก็จัดเต็มมากค่ะ พร็อพแน่นมากกก เรียกว่าเปิดคอนเสิร์ตได้เลยอ่ะ  ต้องบอกว่าคนเกาหลีชอบร้องคาราโอเกะเป็นชีวิตจิตใจมากๆ และโนเรบังก็เยอะพอๆ กับร้านข้าวเลยค่ะ ที่ดีงามคือถูกมากด้วย ดีตรงนี้! 

 


 
      ไม่ใช่แค่เพื่อนที่ดีเท่านั้นนะคะ แต่อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก็ดีมากๆ เลย ด้วยความที่เราเป็นนักศึกษาต่างชาติ เค้าก็จะเอ็นดูเรามากเป็นพิเศษค่ะ คอยถามคอยดูแล อันไหนเราไม่ค่อยใจอาจารย์ก็คอยบอกตลอด มีอาจารย์คนนึงเค้าพามายด์ไปเลี้ยงข้าวด้วยค่ะ ตอนแรกก็งงๆ ว่าเลี้ยงในเนื่องโอกาสอะไร แต่พอจารย์บอกว่า ที่อยากเลี้ยงข้าวเพราะเห็นว่าเราไม่เคยขาดเรียนเลย และตั้งใจเรียนมาก ฮืออ ตื้นตันใจมากค่ะ T__T  เอาจริงเราเจอคนดีๆ ทุกที่เลยนะ ขนาดไปด้านนอกมหาวิทยาลัย เวลาไปเที่ยวหรืออะไรก็ตาม พอเค้าเห็นว่าเราคุยภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาเกาหลี คนที่นี่ก็อยากช่วยเหลือเราแล้ว มีครั้งนึงมายด์ไปเทศกาลวันวิสาขบูชา ก็มีอาจุมม่าใจดีคนนึง มาคอยแนะนำเรา ถามไถ่ตลอด คือช่วยเหลือเราเต็มที่ พอเจอแต่คนดีๆ แบบนี้ เราก็ย้อนกลับมาคิดว่า ทำไมคนอื่นชอบบอกว่าคนเกาหลีนิสัยไม่ดี เพราะที่เราเจอมีแต่คนดีๆ ทั้งนั้น ส่วนตัวมายด์คิดว่าทุกที่มันก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีแหละ มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมแบบไหนมากกว่าค่ะ 

 


 
      พูดถึงเรื่องสังคมเกาหลีกันบ้าง ที่นี่เป็นสังคมที่เน้นความรวดเร็วมากๆ ค่ะ จะมีคำศัพท์คำนึงที่ติดหูตลอดก็คือคำว่า '빨리' (ปัลลี) ซึ่งมีความหมายว่า 'รีบ, เร็วๆ' ทุกคนทำอะไรกันเร็วมากกก ชีวิตเร่งรีบตลอด ทำให้เราเองก็แอบติดนิสัยทำอะไรเร็วๆ เหมือนกัน เรียกว่า active ตลอดเวลาเลยค่ะ 5555 นอกจากนี้สิ่งที่มายด์ประทับใจมากอีกอย่างนึงก็คือ 'สำเนียงปูซาน' แม้ว่าตอนเรียนมายด์อาจจะไม่ได้ยินบ่อยนัก แต่เวลาคุยกับกลุ่มเพื่อนเมื่อไหร่ จะได้ยินสำเนียงและคำศัพท์เฉพาะของปูซานตลอด และที่น่ารักคือ เวลาเราถามอะไรไปแล้ว เพื่อนๆ เค้านึกคำภาษากลางไม่ออก ก็ต้องช่วยกันอธิบายแบบหัวหมุนเลยค่ะ ตลกมากก อ้อ! จะว่าไปแล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่มายด์ไม่ค่อยโอเคก็คือ คนที่นี่สูบบุหรี่กันหนักมากกก ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเลย ถ้าใครคิดจะมาอยู่ที่นี่ก็ต้องเตรียมใจไว้บ้าง เพราะเราจะเจอเป็นเรื่องปกติเลยค่ะ

 


 
      เอาจริงไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกตกใจวัฒนธรรมบางเรื่องของคนที่นี่ แต่คนเกาหลีเค้าก็ตกใจบางเรื่องของเราเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารบุฟเฟต์ ถ้าเป็นคนไทยของเราจะเน้นกินคุ้ม กินจุ กินดุเอาไว้ก่อน ฮ่าๆ พอเห็นแบบนั้นเพื่อนชาวเกาหลีของมายด์เค้าตกใจมากตอนที่ไปร้านบุฟเฟต์ด้วยกัน เค้าเห็นมายด์กินแบบไม่หยุด กินเยอะมาก นางเลยถามว่าเราหิวขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมถึงกินเยอะขนาดนี้ล่ะ เราก็แบบ เอ้า! นี่มันบุฟเฟต์นะ ต้องกินให้คุ้มสิ

      แต่เอาจริงก็พอเข้าใจที่เค้าถามเราแบบนั้น เพราะว่าราคาบุฟเฟต์ที่เกาหลีมันไม่ได้แพงมาก ไม่ได้ต่างจากราคาอาหารปกติที่เค้ากินกัน อย่างราคาบุฟเฟต์ทั่วไปตกหัวละประมาณ 300 บาท ส่วนราคาอาหารจานเดียว ปกติก็ตกประมาณจานละ 180-200 แล้ว ซึ่งถ้าเทียบกับไทย ราคาบุฟเฟต์กับราคาอาหารจานเดียวมันต่างกันมาก เราเลยติดนิสัยต้องกินให้คุ้มเอาไว้ก่อน 5555 พออธิบายแบบนี้เค้าก็เข้าใจเราค่ะ และด้วยความที่บุฟเฟต์มันถูกนี่แหละ ตอนอยู่ที่นู่นมายด์เลยกินประจำเลย ยิ่งตอนใกล้กลับไทย มายด์เดินสายกินแหลกเลย เพราะคิดว่าถ้ากลับไทยคงไม่ได้กินแบบนี้อีกแล้ว และผลคือน้ำหนักขึ้นมา 9 โลเลยค่ะ น้ำตาจะไหล T___T   

 

Clip


 

Clip


 
     เอาจริงมันมีเรื่องให้เล่าเยอะมากกก เพราะแต่ละเหตุการณ์ที่มายด์เจอมามีแต่เรื่องสนุกๆ ทั้งนั้น และด้วยความที่เราเองก็เป็นคนขี้ลืมง่าย ตอนไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลี มายด์ได้ถ่าย Vlog ไว้ด้วยค่ะ ทั้งถ่ายเอง ตัดต่อเอง (และดูเอง 5555555) คลิปส่วนใหญ่ก็จะเป็นการรีวิวชีวิตต่างๆ ตลอดการไปแลกเปลี่ยน ทั้งรีวิวเรื่องเรียน การสอบ การเที่ยว แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเรื่องกินซะมากกว่า (ฮา) มีครั้งนึงเซอร์ไพรซ์มากค่ะ ตอนนั้นไปกินหมูย่างที่ร้านพัลจามัคจัง ซึ่งเป็นร้านของฮ่าฮ่า สมาชิกจากสมาชิกจากรายการ Running Man (เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักรายการนี้) ตอนไปกินก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ คิดแค่ว่าหิวอย่างเดียว แต่ดันไปเจอฮ่าฮ่ากับจงกุ๊กซะงั้น สรุปวันนั้นเลยได้ทั้งกินหมูย่างและได้ขอลายเซ็นต์ด้วย ฟินมากกกก >< มาถึงตรงนี้ก็ถือโอกาสขายของเลยละกัน ใครอยากดู Vlog ของมายด์ ก็ตามไปดูได้ที่ Youtube ช่องของ MindGaramm ด้วยนะคะ ทำไว้หลายคลิปเลย อิอิ 

 


 
     เล่ามาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว สำหรับมายด์การได้ไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลีคราวนี้มันมีความหมายมากจริงๆ เพราะตั้งแต่เด็ก เราเองมีความฝันอยากไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ส่วนหนึ่งก็เพราะเว็บ Dek-D นี่แหละค่ะ ได้อ่านเรื่องคนนั้นคนนี้ เราก็อยากมีโอกาสได้ไปอย่างเค้าบ้าง แต่เราเองไม่ได้มีทุนส่วนตัวมากพอที่จะไปแลกเปลี่ยนได้ พอได้มีโอกาสในครั้งนี้ มายด์เลยตักตวงทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในห้องเรียนหรือประสบการณ์นอกห้องเรียน การมาเกาหลีครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต วัฒนธรรมและได้ใช้ภาษาเกาหลีจริงๆ ซึ่งมายด์รู้สึกว่าภาษาเกาหลีเราดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย อย่างวันที่สอบเสร็จ มายด์ยืนร้องไห้หน้าห้องสอบเลยอ่ะ 5555 มันตื้นตันแบบบอกไม่ถูก มันเหมือนฝัน ทุกอย่างมันดีมาก ไม่อยากกลับเลย T__T 
 
     ดังนั้นหากใครอยากมีโอกาสไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ก็ลุยเลยค่ะ สมัครไปเรื่อยๆ อย่ายอมแพ้ ถ้าเราพยายามจริงๆ เราก็สามารถเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนคนอื่นได้ และถ้าใครมีโอกาสได้มาใช้ชีวิตนักศึกษาในต่างแดน ก็อย่าเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนะคะ ควรออกไปเผชิญโลกภายนอก ไปเจอผู้คน เจอสถานการณ์จริงๆ เพราะว่าแค่เราออกมาแค่หน้ามหา’ลัย เราก็อาจได้ประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วค่ะ :)    

 


 
      อ่านจบแล้วรู้สึกดีใจแทนน้องมายด์จริงๆ ครับ ไปแลกเปลี่ยนทั้งทีเรียกว่าใช้ชีวิตคุ้มมาก ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเที่ยว แถมได้เจอคนดีๆ มากมายเลย พี่เองแอบไปดู Vlog ของน้องมายด์มาแล้ว รู้สึกอิจฉามากกกก เห็นแล้วอยากตามไปเรียนที่ปูซานบ้างเลย 555 สุดท้ายนี้ขอบคุณน้องมายด์มากๆ เลยครับ ที่มาเล่าประสบการณ์สนุกๆ แบบนี้ให้พวกเราได้อ่านกัน ^^ 
พี่วุฒิ
พี่วุฒิ - Columnist มนุษย์ 4 มิติผู้หลงใหลในเพลงเกาหลี ชาเนสที และหมูกระทะ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

kim.llinz Member 21 ก.ย. 61 12:56 น. 1

อ่านแล้วดูสนุกมากเลย https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-05.png


เสียดายตอนนั้นไม่ได้คว้าโอกาสพวกนี้ไว้เลย

เพราะงั้นถ้าใครกำลัง ลังเล หรือกลัวที่เริ่มละก็ อ่านแล้วลองคิดทบทวนดูอีกทีน้า

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจ้า


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-13.png

0
กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

kim.llinz Member 21 ก.ย. 61 12:56 น. 1

อ่านแล้วดูสนุกมากเลย https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-05.png


เสียดายตอนนั้นไม่ได้คว้าโอกาสพวกนี้ไว้เลย

เพราะงั้นถ้าใครกำลัง ลังเล หรือกลัวที่เริ่มละก็ อ่านแล้วลองคิดทบทวนดูอีกทีน้า

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจ้า


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-13.png

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด