สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าใครกำลังมองหาตัวช่วยในการฝึกภาษาอังกฤษอยู่ วันนี้พี่หมิวก็มีหนึ่งตัวช่วยที่จะมาเเนะนำน้องๆ รับรองว่าไม่น่าเบื่อแน่นอนค่ะ ตัวช่วยที่ว่าก็คือ ‘การอ่านนิยายภาษาอังกฤษ’ นั่นเอง แต่เดี๋ยวก่อน! บางคนอาจจะคิดว่า โอ้ย แค่เห็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษเยอะๆ ก็ไม่อยากอ่านแล้วอะ มันน่าเบื่อ แต่พี่ว่าจริงๆ แล้วถ้าเราลองหาหนังสือแนวที่เราชอบหรือสนใจมาอ่าน มันก็สามารถช่วยได้นะคะ (อย่าเพิ่งท้อไปค่ะ สู้ๆ ^^)
นิยายที่พี่เอามาแนะนำกันวันนี้เป็น 'Best- Sellers' เลยค่ะ เรียกได้ว่าขายดีมากๆ คนอ่านกันเพียบ! แล้วการอ่านนิยายภาษาอังกฤษมันจะช่วยเราได้ยังไง? วันนี้พี่จะมาเเนะนำหนังสือ 4 ประเภท ที่น่าจะถูกใจวัยรุ่นชาว Dek-D มีทั้งเเนวระทึกขวัญ รักโรเเมนติก เเฟนตาซี เเละเเนววิทยาศาสตร์ เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้าง
หนังสือแนว ระทึกขวัญ ตื่นเต้น (Thriller)
ใครที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการฆาตกรรม การไขคดีปริศนาต่างๆ (ทำตัวเป็นโคนัน) จะต้องโดนหนังสือพวกนี้เลยค่ะ ส่วนใหญ่เเล้วนิยายแนวนี้จะใช้คำพูดและบทสนทนาที่อยู่บนความเป็นจริง (Real Situation) และมีการใช้คำศัพท์ที่เราสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น คำ Action words (คำที่แสดงการเคลื่อนไหว อย่างเช่น Sit, Sleep, Eat, Kill, Watch, Catch เป็นต้น)
1. “1st to Die” by James Patterson
เอาใจคอหนังสือคดีสืบสวนสอบสวน แต่พี่จะขอสปอยล์ให้ฟังก่อนนิดนึง หนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องราวที่มีผู้หญิง 4 คน มารวมตัวกันตามหาตัวฆาตรกรที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น เล่มนี้คือภาคแรกค่ะ ยังมีภาคต่อๆ ไปอีกให้เราติดตามกันต่อ ที่แนะนำเล่มนี้เพราะว่า การใช้ภาษาของเล่มนี้ค่อนข้างง่ายค่ะ และมีการใช้ Action words ในหนังสือเยอะมาก น้องๆ สามารถเรียนรู้คำศัพท์จากในนิยายได้ค่ะ
2. “Three” by Ted Dekker
น้องๆ ลองนึกภาพตามนะคะว่า ถ้าเรากำลังขับรถแล้วอยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา มีคนโทรมาหาเราแล้วบอกว่า ‘คุณมีเวลา 3 นาทีในการสารภาพบาปที่คุณเคยทำเอาไว้ ถ้าคุณไม่ทำ เราจะระเบิดรถของคุณ’ เป็นน้องๆ จะทำยังไงกันคะ? เป็นพี่คงกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ววว แงงง TT โดยในเรื่องนี้ ตัวเอกของเราโดนทำแบบนี้เลยค่ะ เขาโดนไล่ล่าจากคนร้ายที่ต้องการเอาชีวิตเขา โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าไปทำอะไรไว้ ถ้าพูดถึงการใช้ภาษาในหนังสือนั้นค่อนข้างง่ายค่ะ ใช้คำศัพท์อย่างง่ายๆ อธิบายอย่างชัดเจน แต่เนื้อหาจะค่อนข้างซับซ้อนไปซักนิดนึง แต่ถ้าใครชอบแนวนี้ล่ะก็ ห้ามพลาดเลยค่ะ
หนังสือแนวรักโรแมนติก (Romance)
มากันที่หนังสือแนวรักหวานแหวว การตามหารักแท้ ความรักในโรงเรียน สารพัดเรื่องความรักที่จะเจอได้ในหนังสือแนวนี้ค่ะ โดยหนังสือแนวโรแมนติกมักจะใช้คำบรรยายถึงความรู้สึกหรือการกระทำของตัวละครได้ออกมาอย่างชัดเจน ว่าตัวละครรู้สึกอย่างไร และที่สำคัญ เราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ความรักจากในหนังสือได้ด้วยค่ะ 555555 เช่น เราจะเข้าหาคนที่เราชอบยังไง เราจะเริ่มบทสนทนากับเขายังไง (กรี้ดดดดดดด)
1. “Sincerely, Carter” by Whitney Gracia Williams
เราจะทำยังไงถ้าเราเกิดตกหลุมรักเพื่อนสนิทของตัวเองขึ้นมา มาติดตามความรักที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์แบบเพื่อนว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยแบบไหน (ถ้าใครมีฟิลแอบชอบเพื่อนสนิทลองอ่านได้เลยค่ะ อิอิ) โดยหนังสือเล่มนี้มีการใช้ภาษาที่ธรรมดาและง่าย เนื้อเรื่องสนุก มีบทสนทนาที่มีความเรียล ที่เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน
2. “Until the End of Time” by Danielle Steel
น้องๆ คิดว่าความรักชั่วนิรันดร์มีจริงหรือไม่? แต่คู่รักในนิยายเรื่องนี้เชื่อว่ามีจริงค่ะ โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับความรักที่แม้แต่ความตายก็ไม่สามารถแยกเราสองคนออกจากได้ (จะเศร้าหรือจะโรแมนติกดีเนี่ย…) หนังสือเล่มนี้มีการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย แต่ก็มีการใช้คำฟุ่มเฟือยในการบรรยายเยอะเหมือนกัน แต่พี่ว่ามันก็เป็นข้อดีนะคะ เพราะมันจะทำให้เราได้เรียนรู้ศัพท์ในหลายๆ แบบ
หนังสือแนวแฟนตาซี (Fantasy)
เรามาเปิดโลกแห่งจินตนาการด้วยนิยายแฟนตาซีกันบ้างค่ะ ข้อได้เปรียบของการเรียนภาษาอังกฤษผ่านทางนิยายแฟนตาซีคือ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในหนังสือแนวนี้ ไม่ต้องพึ่งอยู่บนหลักของความเป็นจริง ทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเลยค่ะ เรามาดูตัวอย่างนิยายแนวนี้กันเลยค่ะ
1. “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone” by J.K. Rowling
หนังสือชื่อดังในตำนานที่ครองใจคนทั่วโลกอย่าง ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ต้องติด Top อย่างแน่นอนค่ะ เพราะมีเนื้อเรื่องและการใช้ภาษาที่เหมาะกับเด็ก หรือผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ มีการใช้คำและภาษาที่เข้าใจง่าย และที่สำคัญ ใครที่สนใจภาษาอังกฤษแบบ British English สามารถเรียนรู้การเลือกใช้คำศัพท์และสไตล์การเขียนแนวนี้จากหนังสือได้เลยค่ะ (แนะนำให้สำหรับคนที่อยากเริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เพราะภาษาที่ใช้ง่ายมากๆ เลยค่ะ)
2. “The Girl with All the Gifts” by M. R. Carey
ชีวิตของเด็กสาวคนนึงที่มีพลังวิเศษ แต่พลังที่เธอมีไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเธอโดนเอาไปเป็นตัวทดลองเหมือนกับหนูในห้องแล็บแบบนั้นเลยค่ะ (เหมือน Eleven ใน Stranger things เลย ฮืออออ) ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้คือ หนังสือเขียนด้วย Present tense ทั้งหมด นั่นหมายความว่า ทุกๆ อย่างในหนังสือกำลังเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับตอนที่เราอ่าน และเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าโดยเด็กสาวคนนึง ทำให้ภาษามีความง่ายต่อการอ่านมากๆ ค่ะ
หนังสือแนววิทยาศาสตร์ (Science Fiction)
มาปิดท้ายกันที่นิยายแนววิทยาศาสตร์ แฟนคลับหนัง Sci-fi สายวิทยาศาสตร์มารวมกันตรงนี้เลยค่ะ นิยายแนววิทยาศาสตร์ไม่ได้สอนแค่ภาษาอังกฤษแบบธรรมดาๆ นะคะ แต่ยังสอนศัพท์เทคนิคและหลักการต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าบางเรื่องทฤษฎีอาจจะดูเวอร์เกินจริงไปหน่อย แต่เราก็ยังสามารถเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ จากหนังสือประเภทนี้ได้ค่ะ
1. “The Martian” by Andy Weir
หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันดีกับเรื่อง ‘The Martian’ ที่ได้สร้างเป็นภาพยนตร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องราวของนักบินอวกาศที่ไปติดอยู่บนดาวอังคารเพียงคนเดียว เขาจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีชีวิตรอดกลับมา ต้องบอกว่าพระเอกของเรานี่เก่งสุดๆ ไปเลยค่ะ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะมีชีวิตรอดกลับบ้าน แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี่จะอัดแน่นไปด้วยศัพท์และทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวกับอวกาศและวิทยาศาสตร์ สายวิทย์และสายอวกาศห้ามพลาดเลยค่ะ
2. “Ender’s Game” by Orson Scott Card
'Ender’s Game' เป็นเรื่องราวของโลกที่ถูกรุกรานโดยเหล่าสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวจนเผ่าพันธ์มนุษย์เกือบสูญพันธ์ไปแล้วครั้งนึง จนต้องมีการสร้างกองกำลังเพื่อรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า จึงมีการเลือกเด็กที่มีความสามารถด้านเกมมาฝึกฝนการรบ โดยมีพระเอกของเราเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ตอนนี้ เขาจะสามารถปกป้องโลกของเราไว้ได้หรือไม่ จริงๆ แล้วหนังสือเรื่องนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์มาก่อนด้วยค่ะ แต่ถ้าใครอ่านหนังสือก็จะได้อีกฟิลนึงเลย ในหนังสือจะเต็มไปด้วยคำศัพท์เกี่ยวกับการเมือง กองทัพทหารต่างๆ ถ้าใครสนใจในเรื่องการรบ การต่อสู้ในอวกาศ แนะนำเล่มนี้เลยค่ะ
แถมค่ะ!
พี่มีหนังสือแนว Non-Fiction เล่มโปรดของพี่มาฝาก หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า ‘Tuesdays with Morrie’ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง พี่รู้จักหนังสือเล่มนี้ตอนเรียนค่ะ อาจารย์ให้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วให้วิเคราะห์ ตอนแรกๆ พี่ก็คิดว่า มันน่าเบื่อนะ แต่พอเราอ่านไปเรื่อยๆ พี่กลับได้ข้อคิดดีๆ จากหนังสือเล่มนี้เยอะแยะเลย
'Tuesdays with Morrie' เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ครูมอร์รี่ (Morrie) ที่เคยเป็นอาจารย์สมัยเรียนของ มิตช์ (Mitch) พระเอกของเรื่อง ทั้งคู่ได้มาเจอกันอีกครั้งหลังจากไม่เจอกันมาเป็นเวลานาน แต่ตอนที่มาเจอกันอีกครั้งนั้น มอร์รี่แก่มากๆ แล้วยังป่วยเป็นโรค ALS (โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง) ที่รักษาไม่หาย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน โดยทุกๆ วันอังคาร มิตช์จะเข้ามาเยี่ยมแล้วพูดคุยกับมอร์รี่ถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต มอร์รี่สอนให้มิตช์รู้ถึงความหมายแห่งชีวิต ทั้งสองคนคุยกันทุกเรื่องอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว มิตรภาพ ความรู้สึก และความตาย ที่คนอ่านสามารถเข้าถึงสัจธรรมของเรื่องพวกนี้ได้ ในหนังสือมีประโยคนึงที่พี่ชอบมากๆ เลยค่ะ คือ
‘The truth is, once you learn how to die, you learn how to live.’
‘หากเธอรู้ว่าเธอกำลังจะตาย เธอก็จะใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม’
มันทำให้พี่รู้ว่า ชีวิตไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการรู้จุดยืนของตัวเอง และการใช้ชีวิตของตัวเองให้คุ้มค่าและมีความสุขที่สุดแล้วค่ะ
เคล็ดลับของพี่ที่จะแนะนำก็คือ ค่อยๆ อ่านไปค่ะ ถ้าเราไม่รู้ความหมายของคำไหน ก็เปิดหาศัพท์ตอนนั้นเลย ยิ่งถ้าเราอ่านเรื่องสนุกๆ เรื่องที่เราสนใจด้วยแล้วล่ะก็ ติดงอมแงมแน่นอนค่ะ ถ้าน้องๆ ชาว Dek-D คนไหนอยากมาแชร์หนังสือที่ตัวเองอ่าน ก็มา Comment แนะนำกันได้เลยนะคะ ^^
Sources:
www.fluentu.com
www.goodreads.com
3 ความคิดเห็น
sincerely carter น่าอ่านมากค่ะ จะไปสอยมาอ่านนะคะะะ
ขอบคุณ