สวัสดีค่ะชาว Dek-D พอได้ยินคำว่า “สาขาแพทย์” แวบแรกคงไม่มีใครคิดว่าเบๆ ชิลล์ๆ ใช่มั้ยคะ คราวนี้ลองจินตนาการต่อว่าถ้าต้องไปนั่งเรียนเป็นภาษาที่เราไม่คุ้นเคยล่ะ มันจะเป็นช่วงชีวิตที่ท้าทายแค่ไหน? เดี๋ยวจะพาน้องๆ ไปพูดคุยกับหนุ่มนักเรียนทุนรัฐบาลรัสเซียที่ได้ไปเรียนสาขาแพทย์ เพื่อหาคำตอบแบบครบวงจรว่า เนื้อหาเรียน ภาษา สภาพแวดล้อม และสังคมเป็นยังไงบ้าง แล้วสวัสดิการแบบฉบับนักเรียนในรัสเซีย ถือว่าน่าคบรึเปล่า!
แนะนำตัว
“สวัสดีครับ ‘อาร์ท’ ชูพงศ์ เกษมณี อายุ 26 ปี จบ ป.ตรี คณะแพทย์จาก Moscow State University of Medicine and Dentistry (MSUMD) หลักสูตรที่เรียน 6 ปีและปรับพื้นฐานอีก 1 ปีครับ ^^”
เขาเล่าจุดเริ่มต้นการขอทุนให้ฟังว่า “ตอนแรกผมนั่งหาในเน็ตว่ามีที่ไหนให้ทุนเต็มบ้างครับ พอมาเจอของรัสเซียก็เห็นว่าน่าสนใจดี เพราะวงการเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ของเค้าก้าวหน้ามาก ตอนนั้นผมเลือกไป 3 คณะ เลือกหมอไว้อันดับ 1 เลย หลักๆ วิธีขอทุนคือต้องติดต่อสถานทูตรัสเซียในไทยก่อน”
“ทุนที่ผมได้ครอบคลุมค่าเล่าเรียนทั้งหมด + ค่ากินอยู่ (ช่วงปรับพื้นฐาน ให้ 1,000 RUB ต่อเดือน) แต่ผมใช้ไม่พอ ที่บ้านเลยช่วยบ้าง พอขึ้นปี 1 ผมย้ายมหา’ลัย เค้าให้เพิ่มเป็น 1,200 RUB”
นิสัยชอบอ่านหนังสือคือตัวช่วยสำคัญ
อาร์ทเล่าสตอรี่การปรับตัวเรื่องภาษาให้ฟังว่า “ผมเคยซื้อหนังสือมาอ่านก่อนก็จริง แต่พอไปถึงต้องเริ่มใหม่หมดครับ ภาษารัสเซียถือว่ายากพอสมควร และคนที่นั่นไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษด้วย ระยะแรกต้องใช้ภาษามือ ถ้าไปซื้อของก็จ่ายราคาตามตัวเลขที่เห็น ถ้าไปร้านอาหาร รุ่นพี่จะช่วยแปลเมนูให้ด้วยครับ”
“ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ อ่าน Text แล้วมาจดเป็นโน้ตภาษารัสเซียของตัวเอง ทำให้ได้ศัพท์ใหม่ๆ ตลอดครับ และวิธีการสอบของรัสเซียทำให้เราต้องฝึกพูดด้วย เรากับเมทคนไทยช่วยๆ กันเรื่องภาษา และมีเมทของรุ่นพี่ที่เป็นคนรัสเซียคอยช่วยด้วยครับ” พอเรียนจบเราเห็นพัฒนาการเรื่องภาษายังไงบ้าง? “เรารู้สึกเลยว่าเข้าใจมากขึ้นๆๆ ในแต่ละปีครับ ซึ่งผมทำงานพิเศษด้วยเพื่อหารายได้เสริม ปีนึงรับสัก 2 ครั้ง งานไกด์บ้างล่ามบ้าง ได้ใช้ทั้งภาษาอังกฤษ รัสเซีย ไทย”
Moscow State University of dentistry. Delegatskaya street building.
Photo Credit: https://ru.wikipedia.org
Photo Credit: www.hqpictura.co.uk
ต้องท่อง Anatomy เป็นภาษารัสเซียและละติน!
“เริ่มแรกต้องเรียนปรับพื้นฐานก่อน 1 ปี ถ้าจำไม่ผิดคณิตสอบเป็นข้อเขียน แต่วิทย์จะมีสอบปากเปล่าด้วย ถ้าเป็นภาษารัสเซียจะมีทั้งเขียนและพูดครับ ซึ่งพอมาเรียนกับคนรัสเซียตอนปี 1 สิ่งที่เรียนมาตอนปรับภาษามันใช้ได้จริงๆ นะ อาจารย์ตอนปรับภาษาก็พูดรัสเซีย ภาษาจะไม่ไกลกันมาก แล้วช่วงปรับเค้าจะเอาศัพท์แพทย์มาใส่ให้เราเรียนด้วย”
อาร์ทเล่าภาพรวมให้ฟังก่อนว่า “ตอนปี 1-2 เรียนหลายวิชา พอขึ้นปี 3-4 จำนวนวิชาต่อวันน้อยลง ส่วนปี 5-6 วิชานึงจะเรียนยาวไปจนกว่าจะจบคอร์สที่มหา'ลัยกำหนด บางวิชาเป็นสัปดาห์ บางวิชาเป็นเดือนเลยครับ"
“เนื้อหาเรียนปี 1 เรียนวิทย์พื้นฐาน คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ (เราเข้าใจได้เร็วเพราะมีเรียนตอนปรับพื้นฐานมาแล้ว ในขณะที่คนรัสเซียเค้าจบ ม.ปลายแล้วขึ้นปี 1 เลย) เรียน Anatomy ต้องท่องทุกส่วนของร่างกายเป็นภาษารัสเซียและภาษาละติน เค้าจะมีภาษาละตินให้เราเรียนด้วย เพื่อให้เราเข้าใจเรื่องรากศัพท์ วิธีการผันตามเพศ เพราะภาษารัสเซียจะมีทั้งเพศชาย-หญิง-กลาง และปีหลังจากนั้นจะเรียนพวกโครงสร้างการทำงานของร่างกาย ไบโอเคมี และเริ่มเรียนแพทย์แต่ละแขนง เช่น ศัลกรรม สูติเวช ฯลฯ ครับ”
ถ้าให้เล่าทุกวิชาเลยคงเยอะมากกก ดังนั้นอยากให้ยกตัวอย่างวิชาที่ชอบสุดและหินที่สุดสำหรับเราหน่อย “ผมชอบวิชาด้าน Therapy ที่เรียนตอนปี 2 ครับ เพราะถือว่าแปลกใหม่สำหรับเรามาก เราจะต้องวินิจฉัยร่างกายภายนอกของคนไข้ก่อน แล้วซักประวัติว่ามีอาการอะไร เค้าจะมีวิธีการเคาะ-คลำ-ฟัง ที่ถูกต้องด้วย ส่วนวิชายากสำหรับอาร์ทคือปรัชญา เพราะเข้าถึงยาก ภาษาไทยก็ว่ายากแล้ว ไหนจะต้องเรียนเป็นภาษารัสเซียอีก ถ้าเพื่อนไม่ช่วยนี่ผมแย่แน่ๆ ไม่ถนัดอะไรแบบนี้เลยยย T_T”
“ภาพรวมการเรียนที่รัสเซียจะเน้นเนื้อหา อ่านตาม Text และเลกเชอร์ มีให้เราเจอคนไข้บ้าง แต่อาจทำอะไรไม่ได้มาก ได้ทำพวกหัตถการ แล้วมีอาจารย์คุมข้างๆ มีหุ่นให้ทดลองทำ จากที่ผมเคยถามเพื่อนในไทย รู้สึกว่าที่ไทยจะได้สัมผัสกับคนไข้มากกว่า ซึ่งผมคิดว่าอันนี้เป็นข้อดีของที่ไทยครับ”
ว่าด้วยวิธีการสอบสุดระทึก
“บางวิชามีแค่สอบเก็บคะแนนหรือสอบในคลาส และวิชาสำคัญๆ จะมีการสอบปิดวิชาครับ วิธีการคือเค้าจะมีกระดาษหลายๆ ชุดมาให้เราเลือก โจทย์จะต่างกันในแต่ละวิชา เช่น ผลแล็บ กราฟการอ่านค่าหัวใจ ฯลฯ ซึ่งกระดาษมันจะอยู่ในซองนะ เราไม่เห็น ต้องเสี่ยงดวงว่าได้ง่ายหรือยาก จากนั้นต้องไปเตรียมตัวอีกห้อง อ่านโจทย์ทั้งหมดแล้วทำให้เสร็จภายใน 20-30 นาที พอถึงเวลาเค้าจะเรียกชื่อเราให้ไปสอบพูดกับอาจารย์อีกทีนึงครับ เช่น เค้าอาจถามว่า ทำไมเราถึงคิดว่าเป็นโรคนี้? ไหนลองอ่านค่านั้นค่านี้ซิ?"
“แล้วพอจบปี 6 ต้องสอบเพื่อให้ได้ใบจบ วัดว่าเราจะนำความรู้ปี 1-6 มาประยุกต์ได้มั้ย”
ต้องฝึกงานตั้งแต่ปีแรกจนปีสุดท้าย
“ปีแรกๆ ฝึกงานทั้งปิดเทอมเล็กและใหญ่ แต่ปีหลังจะทำแค่ปิดเทอมใหญ่ครับ ตอนฝึกปี 1 ยังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่ผู้ช่วยพยาบาล เตรียมยาให้ผู้ป่วย พอขึ้นปี 3 จะได้ฉีดยาคนไข้ ยังไม่ยากเพราะมีพยาบาลคอยสอน ส่วนปีหลังๆ เราต้องอยู่ที่นั่น แยกตามแผนก เช่น สัปดาห์นี้ไปเด็ก สัปดาห์นี้ไปสูติ เราอาจได้เข้าห้องผ่าตัดไปช่วยอาจารย์ ทำให้เห็นวิธีการผ่า สิ่งที่ได้ทำกับคนจริงๆ เลยคือลองเคาะตามท้อง ปอด หน้าอก ฟังหัวใจคนไข้ แต่พวกฉีดยา มหา’ลัยผมจะทำตอนปี 5-6 ตอนฝึกงานครับ”
ถามตรงๆ เลยว่าเราเหนื่อยกับการเรียนมากแค่ไหน? “อดหลับอดนอนพอสมควรเลยครับ ก่อนเรียนแต่ละครั้ง อาจารย์จะไปเตรียมตัวมาก่อน แล้วมาถามในคาบ อ่านทีหลายๆ หน้า แล้วเกรดห้ามต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่เค้าวางไว้ด้วย แต่โชคดีที่ผมได้เพื่อนดี คนไทยในรัสเซียก็ช่วยเหลือกันดีมากๆ ครับ ^^”
จบหมอที่รัสเซีย กลับมาเป็นหมอที่ไทยได้มั้ย?
"เราสามารถเช็กรายชื่อโรงเรียนแพทย์ในต่างประเทศที่ผ่านการรับรองโดยแพทยสภา (มีอายุการรับรอง 5 ปี) ได้จากเว็บไซต์แพทยสภา หากมหาวิทยาลัยของเราผ่านการรับรองแล้ว เราจะมีสิทธิ์กลับมาสอบใบประกอบที่ไทยได้ หากเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีใครเคยไปเรียนเลย เราสามารถทำเรื่องรับรองกับแพทยสภา แต่ถ้าขอแล้วไม่ผ่าน แปลว่าหลักสูตรไม่ผ่าน = ไม่สามารถสอบใบประกอบที่ไทยได้ ดังนั้นเราจะทำงานที่ไทยไม่ได้"
หลักสูตรหมอทั้ง 2 ประเทศแตกต่างกันตรงไหน? “มีเรื่องสภาพอากาศครับ ปี 1-5 ผมได้เรียนกับรัสเซีย แต่ปี 6 จะแยกออกมาเรียนกับคนต่างชาติด้วยกันเอง กลุ่มผมส่วนใหญ่เป็นเอเชีย ได้เรียนโรคฤดูร้อน เช่น ไข้เลือดออก ซึ่งที่รัสเซียจะไม่มีครับ (อันนี้แล้วแต่บางมหา’ลัยนะ บางที่อาจแยกตั้งแต่ปีแรกๆ เลย)"
“ตอนแรกผมตกใจนะ คนรัสเซียพูดเหมือนทะเลาะกัน ขนาดอาจารย์ยังพูดดังมาก แต่เพื่อนบอกว่าเนี่ยบุคลิกเค้า เป็นเรื่องธรรมดาของคนรัสเซียเลย บางคนอาจคิดว่าเค้าไม่ค่อยยิ้ม แต่พอมาเป็นเพื่อนกันเรารู้เลยว่าเค้าดีมาก ไปไหนไปกัน” เคยเจอคนที่แย่ๆ มั้ย? “มีบ้างนะ อย่างเวลาเข้าแถวซื้อตั๋วแล้วมาเนียนแซงเฉยเลย”
ว่าด้วยเรื่องปากท้อง
"ถ้าอยากไปเรียนรัสเซีย อาจไม่ต้องเรียนหมอก็ได้ ทุนเค้าจะมีเปิดให้หลายสาขาวิชาเลยครับ พอไปถึงที่นั่น ถ้ายังปรับตัวไม่ได้ก็อย่าเพิ่งท้อ พยายามช่วยเหลือตัวเองหรือขอความช่วยจากเพื่อน รุ่นพี่ ส่วนการใช้ชีวิตช่วงแรกๆ ปรับตัวยากแน่นอน ต้องค่อยเป็นค่อยไป หลังๆ ถ้าเราชินจะสนุกกับมันเองครับ แล้วอย่าลืมเลือกคบเพื่อนดีๆ หาสังคมดีๆ แล้วทุกอย่างที่ดีจะเข้ามาหาเรา”
"ก่อนไปเรียนแพทย์ในต่างประเทศ เราต้องติดต่อสำนักงานเลขาธิการแพทยสภาเพื่อยื่นคำขอให้รับรองมาตรฐานหลักสูตรของโรงเรียนแพทย์ก่อนเป็นรายบุคคลครับ" พูดง่ายๆ ว่าต้องไปเช็กรายชื่อว่ามีมหาวิทยาลัยของเรามั้ย จากนั้นไปยื่นเรื่องกับแพทยสภาเพื่อรับรองตัวบุคคลด้วยค่ะ แนะนำให้น้องๆ เข้าไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากเว็บไซต์แพทยสภานะคะ ^^
หลักสูตรหมอทั้ง 2 ประเทศแตกต่างกันตรงไหน? “มีเรื่องสภาพอากาศครับ ปี 1-5 ผมได้เรียนกับรัสเซีย แต่ปี 6 จะแยกออกมาเรียนกับคนต่างชาติด้วยกันเอง กลุ่มผมส่วนใหญ่เป็นเอเชีย ได้เรียนโรคฤดูร้อน เช่น ไข้เลือดออก ซึ่งที่รัสเซียจะไม่มีครับ (อันนี้แล้วแต่บางมหา’ลัยนะ บางที่อาจแยกตั้งแต่ปีแรกๆ เลย)"
อย่าเพิ่งตัดสินคนรัสเซียจากสีหน้าและระดับเสียง
“ตอนแรกผมตกใจนะ คนรัสเซียพูดเหมือนทะเลาะกัน ขนาดอาจารย์ยังพูดดังมาก แต่เพื่อนบอกว่าเนี่ยบุคลิกเค้า เป็นเรื่องธรรมดาของคนรัสเซียเลย บางคนอาจคิดว่าเค้าไม่ค่อยยิ้ม แต่พอมาเป็นเพื่อนกันเรารู้เลยว่าเค้าดีมาก ไปไหนไปกัน” เคยเจอคนที่แย่ๆ มั้ย? “มีบ้างนะ อย่างเวลาเข้าแถวซื้อตั๋วแล้วมาเนียนแซงเฉยเลย”
วัฒนธรรมอะไรที่เราคิดว่าต่างจากไทยมากๆ “คนรัสเซียจะถือมากถ้าเราใส่ชุดที่เราใส่ออกไปข้างนอกมานั่งหรือนอนบนเตียงเลย เพราะเขาจะถือว่าชุดที่เราใส่ไปข้างนอกสกปรกแล้ว แต่เตียงต้องเป็นที่ที่สะอาดครับ"
ว่าด้วยเรื่องปากท้อง
- ในรัสเซีย สวัสดิการนักศึกษาดีมาก บัตรนักศึกษาแลกได้ทั้งส่วนรถค่าเดินทาง ร้านอาหาร มิวเซียม ร้านหนังสือ ร้านขายยา ฯลฯ
- การเดินทางหลักของคนรัสเซียคือ ‘Moscow Metro' ระยะห่างต่อขบวนแค่ประมาณ 3 นาที สภาพดีและตกแต่งสวยเหมือนในวังเลย มีมานานตั้งแต่สมัยโซเวียต แถมราคาถูกกว่ามากๆ ครับ ครั้งนึงแค่ 55 RUB บางทีมีบัตรลดอีกเหลือ 37 RUB นั่งไกลแค่ไหนก็ได้ ผมใช้อีกบัตรนึงของนักศึกษาแค่เดือนละ 360 RUB
ตัวอย่างสถานี Metro Moscow สวยๆ
Photo Credit: Travel.rambler.ru
Photo Credit: Travel.rambler.ru
- เรื่องนึงที่ชอบคือการข้ามถนน ที่ไหนมีทางม้าลายแล้วเราไปยืน รถจะจอดให้เราข้ามเลยโดยไม่ต้องโบก ไม่ต้องรอไฟจราจร
- ผมคิดถึงอินเทอร์เน็ตที่นั่นเหมือนกันนะครับ ทั้งถูกและเร็วกว่า
- ที่นั่นมีสวนสาธารณะเยอะมากครับ มีเกือบทุกที่ และสวยมากด้วย คนรัสเซียจะชอบอากาศร้อนๆ เค้าเลยชอบพาเด็กพาหมามาเดินเล่นกัน ดูต้นไม้ดอกไม้ บางสวนจะเล่นโรลเลอร์เบลดหรือสเกตบอร์ดได้ หน้าร้อนอาจไว้เดินเล่น แต่ถ้ามีหิมะตกแล้วมันทับถม ก็เปิดเป็นลานไอซ์สเก็ต
มาถึงเรื่องปากท้องกันบ้าง! “สำหรับคนอื่น เค้าจะบอกว่าอาหารเด็ดคือซุปบอร์ช (ซุปบีทรูท) แต่สำหรับผมชอบสลัดรัสเซียมากกว่าครับ มีผักต่างๆ แคร์รอตต้ม มันฝรั่ง น้ำราดเป็นมายองเนส ส่วนอาหารทั่วๆ ไปก็มันฝรั่ง ขนมปัง ส่วนใหญ่เป็นอาหารจานเดียว ปกติร้านอาหารที่นั่นมีทั้งถูกทั้งแพง (ร้านอาหารไทยก็มีนะ) ผมอยากประหยัดเลยมาทำอาหารเองที่บ้านครับ ส่วนเรื่องที่อยู่ มหา’ลัยเค้าจัดหอให้เลย ตอนปรับภาษาหอฟรี พอขึ้นปี 1 หอผมปีละ 2,000 RUB อันนี้แล้วแต่มหา’ลัยด้วย”
ถึงปรับตัวยากแต่อย่าเพิ่งรีบถอนตัว
"ถ้าอยากไปเรียนรัสเซีย อาจไม่ต้องเรียนหมอก็ได้ ทุนเค้าจะมีเปิดให้หลายสาขาวิชาเลยครับ พอไปถึงที่นั่น ถ้ายังปรับตัวไม่ได้ก็อย่าเพิ่งท้อ พยายามช่วยเหลือตัวเองหรือขอความช่วยจากเพื่อน รุ่นพี่ ส่วนการใช้ชีวิตช่วงแรกๆ ปรับตัวยากแน่นอน ต้องค่อยเป็นค่อยไป หลังๆ ถ้าเราชินจะสนุกกับมันเองครับ แล้วอย่าลืมเลือกคบเพื่อนดีๆ หาสังคมดีๆ แล้วทุกอย่างที่ดีจะเข้ามาหาเรา”
ส่วนตัวนิ่งไปตั้งแต่รู้ว่าต้องท่องอนาโตมี่เป็นภาษารัสเซียกับภาษาละตินแล้วนะคะ 5555 ถ้าจบมาได้แสดงว่าเก่งจริงๆ ต้องเรียนหมอและภาษาที่ไม่คุ้นเคย สุดท้ายพอผ่านความท้าทายมาและ ได้ภาษาที่สามกลับมาต่อยอดด้านอาชีพให้ตัวเองได้ด้วย เจ๋งสุดๆ ไปเลยค่ะ!
3 ความคิดเห็น
ผมสามารถรับทุนแบบนี้ได้ยังไงครับ
สวัสดีค่ะ สำหรับทุนรัฐบาลรัสเซียรอบล่าสุดได้ปิดรับเอกสารของผู้สมัครไปเมื่อ 20 ก.พ.64 ที่ผ่านมาค่ะ แต่สามารถศึกษารายละเอียดการรับสมัครเพื่อเตรียมตัวได้ที่ลิงก์นี้นะคะ https://www.dek-d.com/studyabroad/57092/
ทั้งนี้ ทางเราขอแนะนำให้ติดตามข่าวสารการรับสมัครรอบถัดไปที่ "เพจสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย" (https://www.facebook.com/RussiaInThai/posts/1619114141606438) และคอลัมน์เรียนต่อนอกของเราก็จะอัปเดตข่าวทุนเรื่อยๆ เช่นกันค่ะ ^^
ผมขอคอนเเทคติดต่อพี่ได้ไหมครับ คือผมสงสัยว่า เราจะทำงานเป็นหมอที่รัสเซียเลยได้มั้ย มันจะยากว่าคนในประเทศเขาไรงี้ไหมอะครับ
ขอบคุณ