สวัสดีค่ะชาว Dek-D ผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของคู่กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยค่ะ น้องๆ เคยสงสัยมั้ยคะว่า ผู้หญิงในสมัยก่อนเค้าดูแลตัวเองกันยังไง ทั้งๆ ที่สมัยก่อนคงไม่มีครีมบำรุงหรือการศัลยกรรมเหมือนปัจจุบันแน่นอน วันนี้พี่หมิวจะพาน้องๆ มาดูกันว่า เคล็ดลับความงามของผู้หญิงในอดีตนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง และจะน่าสยองแค่ไหน
Empress Elisabeth of Austria (สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งออสเตรีย)
สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งออสเตรีย เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกของศตวรรษที่ 19 ความงามของเธอเลื่องลือไปด้วยผิวที่สวยไร้ที่ติกับเส้นผมยาวสวยสีน้ำตาลเข้มประกายทองที่ยาวถึงพื้น
แต่เบื้องหลังความงามของเธอนั้นออกจะแปลกประหลาดไปนิดหน่อยค่ะ เธอมักจะบดสตรอว์เบอร์รี่เพื่อเอาไปทาทั่วหน้าและลำคอของเธอให้ผิวมีความเนียนและใสอยู่ตลอดเวลา เวลาเธอจะอาบน้ำนั้น เธอจะแช่น้ำที่เต็มไปด้วยน้ำมันโอลีฟอุ่นๆ เพื่อให้ผิวกายของเธอเปล่งปลั่ง และที่สำคัญ เธอชอบเอาเนื้อลูกวัวสดๆ มามาส์กหน้าก่อนนอนด้วยค่ะ….
และเพื่อที่จะรักษาหุ่นของเธอให้ดี เธอกินอาหารเพียงนิดเดียวเองค่ะ อาหารที่เธอกินบ่อยๆ จะเป็นพวกไข่ ส้ม นมสด เท่านั้น หรือบางทีเธอก็กินแค่น้ำเกรวี่ที่เอาไว้ราดสเต็กเท่านั้นเอง และด้วยความอยากหุ่นดีของเธอ เธอมักจะใส่คอร์เซ็ทรัดเอวให้เอวของเธอมีขนาดเล็กที่สุด จนเอวของเธอมีขนาดเพียงแค่ 19.5 นิ้วเท่านั้น! (โอโห เอวคนหรอเนี่ยยยย)
นอกจากนี้เธอยังมีผมที่ยาวและเยอะมากๆ ยาวลากพื้น ทำให้เธอจะต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงในการเตรียมตัวสำหรับผมของเธอ ไม่ว่าจะมัดผมขึ้น เกล้าผม ตกแต่งผมด้วยโบว์ ต่างก็ใช้เวลานานทั้งหมดค่ะ
Marie Antoinette (มารี อ็องตัวแน็ต)
เคล็ดลับความงามของคนต่อมาคือ 'มารี อ็องตัวแน็ต' พระราชินีสุดฉาวแห่งฝรั่งเศส ที่ใช้ชีวิตโอ่อ่าฟุ่มเฟือย
และในทุกๆ เช้า เธอจะล้างหน้าด้วยน้ำที่สกัดจากนกพิราบตุ๋น ส่วนผสมของน้ำสกัดจากนกพิราบของเธอนั้นประกอบไปด้วย เมลอน แตงกวา เลมอน เมล็ดถั่ว ดอกลิลลี่ ไวน์ขาว นกพิราบตุ๋น 8 ตัว มาผสมกันกลายเป็นน้ำที่เธอเอาไว้ล้างหน้า เหมือนกับคลีนเซอร์ที่ใช้ในปัจจุบันค่ะ
เธอมีความเชื่อว่ายิ่งผิวซีดเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าผิวของเธอจะยิ่งสะอาดและมีสุขภาพดีเท่านั้นค่ะ คนในสมัยก่อนเชื่อว่าผิวขาวซีดจะบ่งบอกถึงฐานะ ความร่ำรวย เพราะเหมือนกับว่าเราไม่ได้ออกไปทำงานใช้แรงงานข้างนอก ไม่ได้ออกไปทำงานตากแดด เค้าเลยเชื่อว่าคนผิวขาวซีดคือพวกผู้ดีไฮโซค่ะ
ในฐานะที่เธอเป็นถึงราชินีของฝรั่งเศส เธอจะต้องดูดีและสวยอยู่ตลอดเวลา โดยเธอจะต้องเปลี่ยนชุด 3 รอบภายใน 1 วัน และห้ามใส่ชุดเดิมซ้ำอีกด้วยค่ะ ถ้าคำนวณค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปกับชุดของเธอนั้น ตีได้ราวๆ ประมาณ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 131 ล้านบาทไทยต่อปีเลยทีเดียว
Queen Elizabeth I (สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ)
ในยุคของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 มีเครื่องสำอางสำหรับบำรุงผิวชิ้นนึงที่โด่งดังมากนั่นคือ ‘Venetian ceruse’ เป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วและน้ำส้มสายชู เพื่อทำให้ผิวมีความขาวจัดและใสเหมือนกระเบื้อง
ในสมัยนั้น คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้เยอะที่สุดก็คือควีนเอลิซาเบธที่ 1 ทางประวัติศาสตร์เล่าเอาไว้ว่า เมื่อตอนเธออายุได้ 29 ปี เธอเป็นโรคฝีดาษ ทำให้มีรอยแผลตามตัวและผิวเต็มไปหมด เธอไม่อยากที่จะโชว์ผิวที่มีรอยแผลเป็น เธอจึงเอาสารตะกั่วผสมกับน้ำส้มสายชูมาพอกร่างกายของเธอเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นที่เกิดจากโรคฝีดาษ เค้าว่ากันว่า ผิวหนังที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้สารพอกของเธอนั้นน่ากลัวสุดๆ
จริงๆ แล้วมันค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียวค่ะ เพราะเมื่อเราเอาสารตะกั่วผสมเข้าไปน้ำส้มสายชูไปทาที่ร่างกายเรา ก็เหมือนกับเราพอกสารพิษเข้าไปในผิวของเรานั่นเองค่ะ
Simonetta Vespucci (ซิโมเนตต้า เวสปุชชี)
เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่อยู่ในภาพวาดชื่อดังอย่าง 'The Birth of Venus' ซึ่งเป็นภาพวาดเกี่ยวกับการเกิดของเทพีวีนัส เทพีแห่งความรักเเละความงาม โดยคนวาดภาพได้นำเธอมาเป็นต้นแบบของเทพีแห่งความงาม ทำให้ผู้หญิงในยุคนั้นยกเธอให้เป็นไอดอล ทุกคนต่างอยากจะมีความสวยเหมือนกับเธอ
ด้วยความที่พวกผู้หญิงในสมัยนั้นอยากมีผิวขาวซีดเหมือนกับซีโมเนตต้า พวกเธอจึงเอาปลิงดูดเลือดมาดูดเลือดบนใบหน้าของพวกเธอออกไป เพื่อที่หน้าจะได้ขาวซีดโดยธรรมชาติ…(จะดีหรออออ)
นอกจากนี้วิธีการมาส์กหน้าของพวกเธอยังเหมือนสูตรทอดไก่ในปัจจุบัน พวกเธอเอาเกล็ดขนมปังผสมกับไข่ขาวและน้ำส้มสายชูเข้าไว้ด้วยกัน จากนั้นก็เอามาไว้บนหน้า เพื่อให้หน้าดูใสและชุ่มชื้น
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หญิงสาวในสมัยนั้นต้องการผมยาวสีทองที่สวยงามเหมือนของซีโมเนตต้า พวกเธอจึงคิดค้นวิธีฟอกสีผมด้วยการหมักผมไว้ในปัสสาวะของมนุษย์ค่ะ...
Helen of Troy (เฮเลนแห่งทรอย)
มาถึงสาวรายสุดท้าย ‘Helen of Troy’ หญิงสาวผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่คนตายนับพัน จากตำนานปกรณัมเก่าแก่ของกรีกในมหากาพย์อีเลียดและโอดิสซีย์ได้เล่าไว้ว่า เพราะความสวยของเธอเองที่เป็นชนวนศึกสงครามของเมืองทรอย บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วความสวยของเธอทำให้เกิดสงครามได้ยังไง?? จริงๆ แล้วสาเหตุก็เกิดจากการแย่งผู้หญิงกันนั่นแหละค่ะ ทำให้เกิดสงคราม คนตายนับพัน เพียงเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว
เกิดเป็นผู้หญิงนี่ลำบากจริงๆ ค่ะ กว่าจะสวยได้ ต้องแลกด้วยอะไรบ้างก็ไม่รู้ อย่างการเอาเนื้อลูกวัวมามาส์กหน้า อาบน้ำด้วยน้ำส้มสายชู สูตรความงามสมัยก่อนนี่น่ากลัวจริงๆ ค่ะ อะไรที่ไม่ดีน้องๆ ก็อย่าเอาไปทำตามนะคะ เราก็สวยไปตามวัยของเราปกตินี่ดีที่สุดเเล้วค่ะ :-)
Sources:
2 ความคิดเห็น
สูตรความงามก็เหมือนวิทยาศาสตร์ ทดลองผิดลองถูกกันไป ดีบ้างไม่ดีบ้างก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ว่าแต่ จริง ๆ พระนางมารี อังตัวเน็ตต์ถือว่าประหยัดกว่าชนชั้นสูงคนอื่นเยอะนะ คือถ้าจะว่าพระนางฟุ่มเฟือย คนรอบตัวที่ฟุ่มเฟือยกว่ามีอยู่เต็มไปหมด แต่คนกลับไม่ค่อยพูดถึง แต่พูดไปก็ยาว + พูดไปคนก็ไม่จำอยู่ดี พูดเป็นล้านครั้งก็จะถูกหาว่าแค่อยากปกป้องอยากดีเฟนส์ ยังไงก็สู้ภาพติดตาติดปากที่ย้ำ ๆ กันเป็นล้านครั้งโดยคนไม่รู้กี่ล้านคนมาเป็นร้อย ๆ ปีไม่ได้อยู่ดี
ถ้าเอาน้ำส้มสายชูมาผสมน้ำให้มันจางลง จะเอามาพอกผิวได้ปลอดภัยมากขึ้นไหมคะ? ( * - * ) อยากลองน่ะค่ะ
คิดว่าประโยชย์ของน้ำส้มสายชูคงมีแค่กรดเท่านั้น ไม่น่าจะก่อเกิดประโยชน์กับผิวสักเท่าไหร่ ลองอะไรที่ธรรมชาติกว่าอย่างมะนาวดีกว่าไหม