‘แพร’ เจ้าของเพจ “ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน” กับชีวิตเด็กแฟชั่น 4 ปีในสถาบันชั้นนำของอิตาลี!

         เชื่อว่าน้องๆ ชาว Dek-D ที่คลิกเข้ามาอ่านบทความนี้ ต้องหลงใหลศิลปะ แฟชั่น หรือดินแดนแฟชั่นระดับแนวหน้าอย่าง “อิตาลี” แน่นอน วันนี้เราก็ได้หยิบยกชีวิตของสาวผู้มีแพสชั่นเต็มเปี่ยม ที่ได้ไปเรียนและฝึกงานสายแฟชั่นกว่า 4 ปีในเมืองมิลาน แถมยังเลือกเรียนเป็น "ภาคภาษาอิตาเลียน" ที่ทำให้ได้ซึมซับภาษาที่สามไปพร้อมๆ กันด้วย ถ้าใครอยากอ่านประสบการณ์ที่ทั้งสนุกและท้าทายในทุกๆ พาร์ต ตามเรามาด่วนๆ ค่ะ!!

 

ตกหลุมรัก "อิตาลี" เพราะความบังเอิญ
 

         “สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘แพร’ แพรพลอย ลาภาโรจน์กิจ เป็นเด็กแลกเปลี่ยน AFS Italy รุ่น 49 และเรียนต่อ Fashion Design Three-Year Programme ที่ Istituto Marangoni Milan ภาคภาษาอิตาเลียน ช่วงปี 2013-2016 จบแล้วได้รางวัลเป็นฝึกงานที่ Missoni ปัจจุบันเป็นฟรีแลนซ์ดีไซเนอร์ค่ะ กำลังทำแบรนด์ของตัวเองชื่อ ':PRANK' ซึ่งเน้นเสื้อผ้าเป็นหลัก และราคาไม่แรง ^^"


Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน
 
         ว่าแต่ทำไมชีวิตการเรียนถึงมาลงล็อกกับสถาบันด้านแฟชั่นในอิตาลี? "เริ่มจากที่แพรชอบศิลปะตั้งแต่เด็ก เลยเลือกไปแลกเปลี่ยน AFS ที่อิตาลีเพราะรู้ว่าเป็นเมืองศิลปะค่ะ (เหตุผลแค่นั้นเลย~ 555) พอกลับมาเรายิ่งชอบศิลปะขึ้นไปอีก ส่วนอิตาลีคือหลงรักเลยย ชอบทั้งวัฒนธรรม ภาษา อาหาร ทำให้อยากกลับไปเรียนอีกมากๆ และเหตุผลที่เลือกทางแฟชั่น เพราะชอบแต่งตัว และอยากเอาศิลปะที่ชอบมาทำเป็นธุรกิจของตัวเองให้ได้ พอจบ ม.6 เราก็ลองไปเทกคอร์สสั้นๆ ที่อิตาลีดู แล้วรู้สึกว่าใช่เลยค่ะ ^^"

 

เลือกเรียนภาคอิตาเลียนเพราะแยกประสาทไม่ได้


         แพรเล่าย้อนไปสมัยที่เรียนโรงเรียนศิลปะตอนไปแลกเปลี่ยนว่า "ตอนนั้นได้เรียน 7 วิชาพื้นฐาน เช่น Mathematics, Geometry (Perspective Drawing), Art History, English, Chemistry, P.E., Drawing ซึ่งวิชา Drawing มีเยอะสุด และทุกวิชาจะโยงกับศิลปะทั้งหมดค่ะ ตอนเรียนเราเรียนรวมกับนักเรียนอิตาเลียน"
 
Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน

         "ตอนนั้นเป็นยุค iPhone 3 ออกใหม่ และยังต้องพก Talking Dict ไปเรียน โฮสต์ก็ไม่ค่อยพูดอังกฤษ แต่ AFS จะจัดให้เรียนภาษาอิตาเลียนสัปดาห์ละ 2 ครั้งอยู่แล้ว และแพรก็หาเรียนเพิ่มกลายเป็นสัปดาห์ละ 5 วัน จากที่เรียนแล้วฟังไม่รู้เรื่องตอนแรก พอผ่าน 3 เดือนครึ่งก็ค่อยๆ ฟังออกพูดได้ แล้วหลังกลับจาก AFS ก็หยุดใช้ภาษาอิตาเลียนไป 1-2 ปี ก่อนจะมาต่อ ป.ตรี ค่ะ ทางสถาบันเห็นเราเคยแลกเปลี่ยนที่นี่ก็โอเค"

         "สถาบัน Istituto Marangoni Milan มีภาค Italian กับ English Program เรียนเหมือนกันหมดแค่คนละภาษาค่ะ คนไทยส่วนใหญ่เลือกภาคอิ๊ง ส่วนอีกภาคนึงกว่าครึ่งจะเป็นคนอิตาเลียน นอกนั้นเป็นคนจีน เกาหลี สวิสฯ และมีแพรเป็นคนไทยคนเดียว จริงๆ ตอนแรกแพรจะเรียน English Program แต่ตอนไปเทกคอร์สระยะสั้น 2 สัปดาห์แล้วพบว่าคนที่นั่นพูดอิ๊งติดสำเนียงอิตาเลียนชัดมากๆ ซึ่งแพรแยกไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรภาษาไหน เลยเลือกเรียนภาษาอิตาเลียนไปเลยดีกว่า มีปัญหานิดหน่อยตอนเรียนประวัติศาสตร์แล้วเจอศัพท์เฉพาะทางเยอะค่ะ"



 

หลักสูตรที่ไม่ต้องเสียเวลาเรียนเรื่องไม่จำเป็น


          "อิตาลีเองเป็นเมืองที่สถาปัตยกรรมสวยงามอยู่แล้ว แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ของตัวเอง เช่น มิลานเป็นสไตล์ Gothic โรมเป็นสไตล์ Baroque ฯลฯ พิพิธภัณฑ์ที่นั่นก็เยอะ ทำให้เราผูกพันกับศิลปะตะวันตก และการตัดสินใจเรียนแฟชั่นที่ต่างประเทศ เราต้องศึกษาก่อนว่าแต่ละประเทศมีคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกัน เช่น ลอนดอนมีคอนเซ็ปต์ Conceptual Art หรือ High Street ถ้าเป็นปารีสจะเป็น Haute Couture แนวประดิดประดอย หรูหรากว่า แต่ถ้ามิลานในอิตาลีจะเป็นแนวขี้เล่น"
 
         “สถาบันที่แพรเรียนจะสตรองเรื่อง Ready-to-wear เน้นคิดแล้วทำขายได้จริง ไม่ใช่แค่อาร์ตๆ อย่างเดียว แต่สวมใส่ได้ในชีวิตจริง เราจะคิดทุกอย่างเป็นคอลเลกชั่น วิเคราะห์ว่าลูกค้าคือใคร แล้วทำออกมาให้ตอบโจทย์ อีกจุดเด่นคือสถาบันนี้มีอีเวนต์ ทอล์กโชว์ เชิญคนสายแฟชั่นมาพูดในโรงเรียนทุกสัปดาห์ มีงานแข่งเมื่อไหร่จะประชาสัมพันธ์ตลอดค่ะ ส่วนอาจารย์ที่สอนจะเป็นสายการศึกษาที่ทำงานในวงการแฟชั่น บางคนเคยทำแบรนด์ดังๆ มาแล้วด้วย"


Photo Credit: Istitutomarangoni
 
        แพรเล่าภาพรวมของหลักสูตรที่เรียนให้ฟังว่า "สถาบันนี้ทำทุกอย่างให้ง่าย จัดวิชาที่จำเป็นให้ทั้งหมด ไม่ต้องไปลงเรียนเปนรายวิชาเลยค่ะ เราได้เรียนเพื่อนร่วมห้องเดิมตลอดปี หลักๆ จะสอนวาดรูปแฟชั่น คอลเลกชั่น แพทเทิร์น ประวัติศาสตร์ศิลปะ ปีแรกเป็นเรื่องเบสิกให้เราเข้าใจภาพรวมของการดีไซน์เสื้อผ้าก่อน ปีหลังๆ ก็จะสอนลึกซึ้งขึ้นและให้โจทย์ยากขึ้น มีให้เราเขียนรายงานการค้นคว้าด้วย และปีสุดท้ายคือการทำ Thesis เป็นคอลเลกชั่นใหญ่ 30 ชุด โดยที่ต้องทำชุดจริง 6 ชุดไว้เดินงานแฟชั่นโชว์เหมือนหลายๆ มหา'ลัย"
 
         อยากให้ยกตัวอย่างวิชาเรียนให้ฟังหน่อยว่าเรียนอะไรบ้าง และน่าสนใจแค่ไหน? “วิชา 'Fashion drawing' อาจารย์ให้วาดรูปตั้งแต่เบสิก คือ หน้า มือ เท้า หุ่นคน จากนั้นค่อยๆ เป็นหุ่นใส่ชุด โดยมีผ้าหลายชนิด เช่น ผ้าคอตตอน ผ้าขนสัตว์ ผ้าไหม ฯลฯ ซึ่งเราต้องระบายสีออกมาให้ได้ความรู้สึกของผ้าชนิดนั้นๆ ด้วย"
 
          "ส่วน Collection Design' เป็นวิชาที่สอนให้ออกแบบชุดภายใต้ธีมเดียวกัน มีจุดที่เชื่อมโยงกัน เช่น ถ้าเป็นคอลเลกชั่นที่มีธีมเป็นสวนดอกไม้ เราต้องคิดต่อว่าจะมีดอกไม้อะไรบ้าง ใช้โทนสีไหนเป็นหลัก ใช้ผ้าชนิดไหนที่สื่ออารมณ์ได้ดี โดยโครงสร้างทั้งหมดต้องไปในทิศทางเดียวกัน สมมติ 3 ชุดแรกเป็นเดรสยาว กางเกงขายาว แต่ชุด 4 เป็นกางเกงขาสั้นจุดจู๋มันจะไม่เมกเซนส์"
 

 
         “วิชา ‘Fabrics and Materials Analysis’ อาจารย์สอนตั้งแต่ชนิดของเส้นใย ประเภทของผ้า (อย่างผ้าทอหรือผ้าถัก) จนถึงคุณสมบัติของผ้าชนิดต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ในการออกแบบ เช่น เราจะทำคอลเลกชั่นหน้าร้อน ถ้าหยิบผ้าแคชเมียร์มาก็จะร้อนเกินไป หรือถ้าเราจะทำเสื้อแจ็กเก็ตสำหรับกันหนาว ผ้าโปร่งก็ไม่โอเคเพราะมันไม่กันหนาว แบบนี้เป็นต้นค่ะ เสริมว่าวิชานี้ในปีสูง เราจะได้เรียนพวกงานพิมพ์งานปักที่ช่วยพัฒนาการออกแบบได้”
 
         “วิชา 'Western Art History' เรียนเฉพาะศิลปะตะวันตก (Western Art) ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงร่วมสมัย มีเขียนรายงานวิเคราะห์ วิธีสอบคือสอบพูด นั่งในห้องกับอาจารย์ 2 คน เช่น เขาจะถามว่างานศิลปะชิ้นนี้ใครทำ และสื่อถึงอะไร ซึ่งแปลว่าท้ายที่สุดเราต้องอ่านมาทุกตัวค่ะ 5555 วิชานี้เรียนปีแรกทั้งปีเลยนะ”
 
         “จากนั้นจะเรียนประวัติศาสตร์เสื้อผ้า และเขยิบเป็นประวัติศาสตร์แฟชั่น เพราะคอนเซ็ปต์คือเมื่อก่อนเสื้อผ้าแค่เอาไว้ปกปิดร่างกาย แต่เวลาต่อมาก็เริ่มใช้แสดงสถานะทางสังคม เขาเลยแยกสอน 2 วิชาค่ะ เราจะได้เรียนเรื่องราวของแต่ละยุค สอนวิเคราะห์ว่าชุดนี้ทำยังไง ทำไมคนนี้ถึงใส่ ฯลฯ วิชานี้ทำให้เราทำรีเสิร์ชง่ายขึ้นมากๆ เวลาเห็นชุดนี้จะรู้เลยว่ามาจากยุคไหน เสื้อบางประเทศจะมีโครงสร้างของมันอยู่ วิชานี้เค้าสอนดีมากเลยนะ เรียนแล้วสนุกมากๆ”
 
         “พอจบประวัติศาสตร์แล้วเขาจะสอนเรื่องสไตล์แทน เช่น Street Style หรือ Romantic Style ฯลฯ อารมณ์แบบถ้าชุดพองๆ ฟูๆ จะสไตล์นี้นะ ถ้าชุดดำๆ จะสไตล์นี้นะ ประโยชน์ของวิชานี้คือเอาไว้สร้างแบรนด์ DNA ว่าแบรนด์จะไปทิศทางไหน”


Photo Credit: Istitutomarangoni
 
         “หลังจากนั้นจะมีวิชา ‘Marketing & fashion business practices’ ค่ะ วิชานี้เขาจะให้เราวิเคราะห์ลูกค้า สุดท้ายก็กลับมาเรื่องเดิมว่าสถาบันนี้สอนให้ทำเสื้อผ้าขาย เราจะมีจุดเด่นอะไร อันนี้ต้องวิเคราะห์ตาม SWOT Analysis แล้วเขียนรายงาน เช่น กลุ่มลูกค้าต้องอายุเท่าไหร่ เงินเท่าไหร่ ฯลฯ ซึ่งมันจะไปลิงก์กับงานดีไซน์ว่าหากเราไปทำบริษัทแฟชั่น ต้องรู้อะไรบ้าง สมมติแพรเลือกศึกษา Prada เขาก็ให้ค้นคว้าข้อมูลมาว่าเราต้องออกแบบให้แบรนด์นี้ยังไง”

         “วิชา  'Cutting & Construction'  วิชานี้ได้เรียนทุกอย่างเกี่ยวกับการเย็บชุด เช่น สอนใช้จักร สอนทำแพทเทิร์นเบสิก เช่น กระโปรง เสื้อ จนถึงการแกะแบบชุดจากรูปให้ได้ สมมติให้ชุดมา เราต้องทำแพทเทิร์นแล้วขึ้นชุดให้เหมือนกับตัวที่เราเห็นให้ได้ วิชานี้ตอนแรกจะเรียนหนักมากก เพราะยังเย็บไม่เก่งแล้วเลาะเยอะ บางทีทำแพทเทิร์นผิดจนต้องเขียนใหม่ทั้งหมดก็มีค่ะ วิชานี้ถ้าใครเอาไปให้ช่างเย็บให้แล้วส่งอาจารย์ เขาก็ดูออกนะคะ”
กระดาษแบบไว้ทำโครงชุดขึ้นแพทเทิร์น
Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน
 
         “ส่วนโปรเจกต์ท้ายปีเขาให้โคกับเด็ก Fashion Styling ค่ะ สมมติเราทำเสื้อผ้าออกมา เราต้องเอาชุดไปเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง เพื่อให้เขาตีความแล้วไปจัดองค์ประกอบ เช่น จัดแสง แต่งหน้า แต่งตัว ฯลฯ งานนี้ทำให้ได้ออกกอง เห็นการทำงานของเขา ทั้งหานางแบบ ช่างกล้อง สตูดิโอ ช่างแต่งหน้า ช่างทำผมค่ะ”

         "ตอนปีสุดท้าย เขาจะมีงานแข่งคัดนักเรียนไปเดินแฟชั่นโชว์ จาก 200 คนเหลือ 20 คน แพรโชคดีมากที่ได้เป็น 1 ในนั้นด้วย และได้เป็นตัวแทนมหา'ลัยไปแข่งในงาน Milano Moda Graduate 2016 ซึ่งเป็นงานแข่งกับอีก 10 กว่ามหา'ลัย โดยงานนี้แพรได้รางวัล Jury Award รางวัลคือการได้ฝึกงานที่แบรนด์อิตาลีค่ะ เราโชคดีที่ได้รางวัลนี้มาเพราะไม่ต้องไปยื่นหาฝึกงานที่ไหน"
 

ตัดชุดจริงแล้วต้องถ่าย Shooting โดย Co กับเด็กคอร์ส Fashion Styling

Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน


Fashion Show MILANO MODA GRADUATE 2016
Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน


Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน

 

ประสบการณ์ฝึกงานในแบรนด์ดังของอิตาลี!
 

         “แพรได้ฝึกงานทั้งหมด 6 เดือนค่ะ ฝึกงานนี่คนละเรื่องกับเรียนเลย เราได้ใช้สิ่งที่เรียนมานั่นแหละ แต่ลักษณะทำงานต่างกัน ตอนเรียนจะเป็นโปรเจกต์คนเดียว ให้อาจารย์พรูฟ เขาไม่แฮปปี้ก็แก้ แต่ตอนทำงานจะทำเป็นทีมค่ะ เราได้ฝึกงานในส่วน Womenswear เป็น ‘Assistant Designer’ ของแบรนด์ Missoni ซึ่งเป็นแบรนด์อิตาเลียนที่มีประวัติกว่า 65 ปี โดดเด่นเรื่องการเล่นสีและ Knitwear มีทำตั้งแต่ชุดว่ายน้ำ ชุดผู้ชาย ยันชุดเด็ก แถมมีโรงงานเป็นของตัวเองด้วย"


ได้รับรางวัล JURY AWARD และฝึกงานที่ Missoni
(ผู้หญิงท่านขวาสุดคือเจ้าของแบรนด์ Missoni ส่วนแพรคือสาวเสื้อชมพู)

Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน


โต๊ะทำงานของแพร
Photo Credit: 
แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน
 
         “ทีมดีไซน์ของ Missoni เป็นทีมเล็กๆ มีแค่ 7 คน ซึ่งรวมเด็กฝึกงาน 2 คนเข้าไปแล้วนะ แพรโชคดีที่หัวหน้าให้เด็กฝึกงานมีส่วนร่วมในการทำงานเยอะมาก ไม่ใช่แค่ช่วยงานง่ายๆ แต่ได้ออกแบบด้วย เริ่มจากทุกคนได้คอนเซปต์แล้วไปออกแบบกันมา พูดคุยร่วมกันว่าจะให้ออกแบบไปทิศทางไหน แล้วเอารูปทุกอย่างมาเลือก ผสมไอเดียของหลายๆ คน ไม่ใช่งานของเราคนเดียว เช่น บางคนอาจชอบกางเกงที่คนนั้นออกแบบ แต่ชอบดีเทลบนเสื้อที่อีกคนนึงออกแบบ”
 
         “เราเข้าไปเรียนรู้ว่าบริษัทมีระบบการทำงานยังไง แพรเองไม่เคยเจอเขาดุเลยนะ ข้อดีอย่างนึงคือ ปกติคนไทยจะไม่กล้าพูดตรงๆ ว่า ‘ไม่ชอบ’ แต่สิ่งที่คนที่นี่ต้องการคือ อยากให้เราพูดออกมาเลยว่า ‘ไม่ชอบ’ แล้วบอกเหตุผล เพื่อให้เราดีเบตกัน"
 
         งานที่ตลกสุดคืองานแยกสีด้ายค่ะ 5555 แบรนด์เราจะใช้สีด้ายเป็นชาร์ตสี แล้วเวลาต้องทำชาร์ตสีหลายๆ อันเพื่อส่งให้หลายๆ แผนก เราก็ต้องไปหาด้ายที่เหมือนกับต้นฉบับมาก่อน โดยที่บริษัทจะแยกด้ายเป็นกล่องๆ ตามสี อย่างแดง ก็มีแดงทุกเฉด คือเราต้องหาแดงที่เขาต้องการไปทั้งวันอะ (เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงให้ตรวจตาบอดสีก่อน .___.) แล้วเรื่องสีที่ใช้กับเสื้อผ้า บางทีเรามานั่งประชุมเพื่อสลับสีกันตั้งแต่ 4 โมงถึงทุ่มนึงเลยนะ เช่น ตอนแรกคือแดงส้มเหลืองเขียว เขาต้องการเรียงใหม่ให้น่าสนใจ เช่น แดงเหลืองน้ำเงินขาวม่วง เอ๊ะไม่ดี แดงม่วงเหลืองขาวน้ำเงิน ฯลฯ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะลงตัว"


Fashion Show Missoni A/W 2017
เป็นคอลเลกชั่นที่แพรทำตอนฝึกงาน

Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน
 

Missoni มี Menswear ด้วย เลยได้ไปดูแฟชั่นโชว์
Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน

         จากวันนั้นถึงวันนี้? “พัฒนาเรื่องความครีเอตมาเยอะมากก เมื่อก่อนวาดรูปเป็นอย่างเดียวแต่ไม่รู้กระบวนการ แต่พอได้เรียนแล้วต้องค้นคว้า ลองผิดลองถูก กว่าจะออกมาเป็นงานไฟนอล แล้วยังทำหลายอย่างทั้งเย็บผ้า ทำลายปริ๊นท์ ส่วนเรื่องโปรแกรม หลักๆ เราได้เรียน Photoshop แล้วมี Illustrator ที่วาดรูปทำแพทเทิร์นได้ โปรแกรม Indesign ช่วยตอนนำเสนอพอร์ตงานของเรา นอกจากนี้จะมีเรียนพวกคำนวณสูตรเอาไว้ทำแพทเทิร์นด้วย ข้อดีของที่นี่คือไม่ต้องเสียเวลาเรียนอย่างอื่นที่ไม่ได้ใช้เลย โฟกัสกับโปรเจกต์อย่างเดียว"

        แอบถามค่าเทอมได้มั้ย? "สมัยเราไปปีละ 660,000 บาท ตอนนี้น่าจะ 800,000 บาทนะคะ แต่เค้ามีทุนด้วยนะ ^^”

 

ว่าด้วยเพจ “ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน” กับลายเส้นอาร์ตๆ ของเธอ
 

         “แพรเปิดเพจนี้ตอน 2017 หลังจากฝึกงานเสร็จแล้วกลับไทย เนื้อหาบนเพจเราตั้งใจให้คนเรียนแฟชั่นหรือสนใจศิลปะได้มีที่ปรึกษาตั้งแต่เรื่องการบ้านยันเรียนต่อเลยค่ะ ในเพจเราจะย่อข้อมูลพวกเทคนิคการเรียนแฟชั่น การเตรียมตัว การเรียนต่อ รีวิวสถานที่เกี่ยวกับศิลปะ (เช่น มิวเซียม) รีวิวหนังสือ บางทีก็วาดมุกตลกที่คนในวงการแฟชั่นเจอบ่อยๆ ใหุ้ทกคนได้แชร์ประสบการณ์กัน สุดท้ายแล้วเนื้อหาที่แพรลงคือต้องการให้คนในวงการครีเอทีฟ ศิลปะ แฟชั่น แล้วได้ข้อมูลไปต่อยอด หรือได้สถานที่ไว้เที่ยวค่ะ”


Photo Credit: แพร-ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน
 
         ลายเส้นในเพจน่ารักและเป็นเอกลักษณ์มากกก แอบถามหน่อยว่าเรามีลายเส้นเป็นของตัวเองตอนไหน? “เด็กๆ วาด CG ค่ะ พวกการ์ตูนญี่ปุ่นตาโตๆ ตัวเล็กๆ และเราใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนด้วย ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าลายเส้นในเพจมีปรับนะ สถาบันที่เราจบมาสอนลายเส้นด้วย ตอนแรกวาดตามหุ่นเบสิกๆ แต่สักพักเขาจะให้เราไปค้นคว้าลายเส้น หาศิลปินที่ชื่นชอบหลายคน แล้วมาวิเคราะห์ลายเส้นของเขา บางคนอาจตัดเส้นทึบ บางคนใช้สีพาสเทล บางคนวาดคนผิดสัดส่วนให้ดูน่ารัก เราเอาทั้งหมดมาวิเคราะห์เป็นลายเส้นเราเอง”
 
         “ตอนทำเพจเราคิดเยอะมากว่าจะวาดตายังไง ใช้ลายเส้นไหนดี ทำยังไงให้วาดเร็วที่สุด ถ้าสังเกตจะรู้ว่าเราเปลี่ยน Brush ด้วย ประมาณ มิ.ย. ปีที่แล้วเราใช้ลายเส้นกลมๆ เล็กๆ วาดแบบจางๆ แต่ตอนนี้เข้มแล้ว แต่ละภาพเราใช้เวลาวาดไม่นาน แต่สิ่งที่ยากคือจะเรียงยังไงให้คนเข้าใจได้รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน ใช้สีอะไรไม่ให้ชนกับครั้งก่อน”



 

ศิลปะต้องอาศัยการฝึกฝน
 

         “ในกรุงเทพฯ มีโรงเรียนแฟชั่นเยอะ ส่วนต่างจังหวัดก็มีโรงเรียนสอนศิลปะบางแห่งที่สอนแฟชั่นให้เราได้ หรือถ้าใครยังไม่มีทุนไปเรียนในโรงเรียนศิลปะ แพรว่าเราสามารถฝึกวาดเองก่อนได้ เพราะศิลปะต้องอาศัยความพยายามในการฝึกฝนด้วย อย่างเพื่อนคนจีนที่อยู่ด้วยกัน เขาเรียนวาดรูปมาเป็น 10 ปีแล้วค่ะ รูปที่แพรนั่งวาดมา 3 ชั่วโมงครึ่ง เขาใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว แล้ววาดสวยกว่าด้วย 5555 เขาทำงานเร็วและคุณภาพเยี่ยมเพราะฝึกมาเยอะ ดังนั้นถ้ารู้ตัวเอง พยายามไว้ก่อนเลย ลำบากวันนี้สบายวันหน้า เพิ่มพอร์ตให้ตัวเองได้ ส่วนใครที่ยังไม่แน่ใจ ควรศึกษาก่อนว่าเรียนแฟชั่นแล้วจะได้ทำอะไรในอนาคต ลองเทกคอร์สสั้นๆ ดูก็ได้ค่ะว่าเราจะอยู่วงการนี้ไหวรึเปล่า”
 
         มีอะไรบ้างที่ควรเตรียมรับมือถ้าอยากเรียนต่อด้านแฟชั่นในต่างประเทศ? “ให้เตรียมดูแลตัวเองเลย อยู่ที่นู่นอาหารที่เราอยากกินอาจแพงมาก และต้องรักษาสุขภาพให้ดี เพราะเรื่องโรงพยาบาลที่นั่นซับซ้อนทุกเรื่องมาก ไม่ได้เข้าถึงง่ายๆ ราคาสูง ใช้เวลานัดนานมากจนบางทีหายป่วยก่อน ส่วนเรื่องโฮมซิกอาจมีบ้างค่ะ ถ้าอยู่คนเดียวควรปรับตัวให้ได้ ลองออกไปเจอเพื่อนใหม่ คุยเยอะๆ อย่าหวังแค่ว่าคนอื่นจะต้องเป็นฝ่ายทักเราก่อนอย่างเดียว”


Photo Credit: Istitutomarangoni

         เราสัมผัสธรรมชาติของคนอิตาลียังไงบ้าง? “ประสบการณ์แต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่แพรเห็นว่าคนอิตาเลียนเปิดมาชิลล์ๆ พูดกันตรงๆ เฮฮาปาร์ตี้ คนเรียนแฟชั่นที่นู่นจะมีความไฮโซๆ ไม่มีงานดราม่าแอบดูงานกันหรือแกล้งกัน ส่วนสภาพแวดล้อมก็เป็นใจให้การเรียนศิลปะมากค่ะ เราได้อยู่เมืองสวยๆ คนแต่งตัวดีๆ มีร้านเล็กๆ สไตล์เฉพาะตัวแอบซ่อนไว้ทั่วเมือง ทำให้เรารู้สึกอยากทำอะไรสวยๆ งามๆ ขึ้นมาบ้าง”
 
         “ปีแรกเราใช้เวลาปรับตัวเยอะนะ ตอนนี้แอบเสียดายว่าทำไมไม่เที่ยวให้เยอะกว่านี้ หาเพื่อนไปลองร้านอาหารใหม่ๆ เที่ยวมิวเซียมต่างจังหวัดบ้าง ใช้ชีวิตให้คุ้ม อย่าเหมือนไปเรียนอย่างเดียว”





 

ทุกอย่างจะดีถ้ามี Passion
 

         “อยากให้คนที่สนใจงานศิลปะ สนใจแฟชั่น หาข้อมูลให้เยอะๆ อย่าปิดกั้นตัวเอง เพราะทุกอย่างเปลี่ยนได้ตลอดค่ะ อยากให้มีแพสชันเยอะๆ มั่นใจว่าเราชอบทางนี้ ถ้ารักจริงเราจะสู้กับมันได้ อาจมีล้มบ้างไรบ้าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์จะต้องออกมาดี และหากมีงานแข่งอะไรรีบคว้าโอกาสไว้ ...สุดท้ายนี้ถ้าใครอยากพูดคุยเรื่องอะไร หรือคุยกันสนุกๆ แพรก็ขอชวนมาติดตามเพจ ‘ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน’ กันนะคะ”


 
         สำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก การได้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีศิลปะสวยๆ อยู่รอบตัว และได้เรียนแฟชั่นกับอาจารย์ที่อยู่ในสายแฟชั่นจริงๆ ถือว่าสวรรค์มากกก ถ้าใครสนใจศิลปะหรือแฟชั่นเหมือนกัน อย่าลืมไปติดตามเพจ “ฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน” รวมถึงแบรนด์ที่เพิ่งเปิดสดๆ ร้อนๆ ที่ IG : prank.design  FB :  PrankDesign และเว็บไซต์ Prankdesign.co
 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด