สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคน มีใครสนใจไปเรียนต่อประเทศเยอรมนีมั้ยคะ? ต้องยอมรับเลยว่ามหาวิทยาลัยในเยอรมนีขึ้นชื่อด้านการสอนที่เป็นเลิศ และบางแห่งก็ไม่เก็บค่าเล่าเรียนกับนักศึกษาต่างชาติด้วย ทำให้มีนักเรียนไทยหลายๆ คนรู้สึกสนใจและอยากไปเรียนต่อที่เยอรมนีกันเยอะ ว่าแต่มีสถาบันไหนที่ขึ้นชื่อในประเทศนี้กันบ้าง วันนี้พี่ชมพูนำผลจัดอันดับ 10 มหาวิทยาลัยน่าเรียนในเยอรมนีมาฝากค่ะ เป็นการจัดอันดับจากทาง QS Top Universities in German 2019 จะมีมหา’ลัยไหนติดอันดับบ้างตามไปดูกันเลยย
10. มหาวิทยาลัยไฟรบวร์ค (Universität Freiburg)
ที่ตั้ง เมืองไฟรบวร์คอิมไบรส์เกา รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ค
มหาวิทยาลัยไฟรบวร์ค มีชื่อเต็มๆ ว่า มหาวิทยาลัยอัลเบิร์ตลุดวิกแห่งไฟรบวร์ค เป็นมหา’ลัยที่ได้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งรัฐ ก่อตั้งเมื่อปี 1457 นับว่าเป็นสถาบันที่เก่าแก่เป็นลำดับที่ 5 ของประเทศ ที่นี่เลื่องลือด้านการสอนคณะมนุษยศาสตร์, สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์มาอย่างยาวนาน โดยเริ่มแรกคณะที่อยู่คู่กันมาตั้งแต่ก่อตั้งมีอยู่ด้วยกัน 4 คณะคือ เทวศาสตร์, ปรัชญา, แพทยศาสตร์ และ กฎหมาย อีกทั้งในปี 2007 และปี 2009 ยังได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดด้านการวิจัยและด้านการสอนด้วยค่ะ
สำหรับค่าเล่าเรียนจะยกเว้นให้นักเรียนที่เป็นพลเมืองของประเทศและนักเรียนในเครือสหพันธ์ EU และ EEA ได้เรียนฟรี ส่วนนักเรียนต่างชาติจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นจำนวนเงิน 1,500 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 53,330 บาท) แต่อย่างไรก็ตามก็เปิดโอกาสให้เรียนฟรีเหมือนกันนะ แต่ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1) เคยจบการศึกษาระดับมัธยมในเยอรมนี
2) มีที่พักอาศัยและเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในเยอรมนี
3) เรียนในหลักสูตร 2 ปริญญาต่อเนื่อง (ยกเว้นระดับปริญญาตรี)
4) เรียนต่อในระดับปริญญาเอก
5) นักเรียนในโครงการ Erasmus
6) นักเรียนแลกเปลี่ยนระยะสั้นระหว่างสถาบัน
ในส่วนของรายละเอียดค่าใช้จ่ายนั้นจะแตกต่างกันไปแต่ละระดับหรือสาขา โดยน้องๆ สามารถเช็กได้ที่นี่เลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่อาจจะต้องจ่ายเพิ่มอีกด้วย เช่น ค่าบัตรโดยสาร ค่าสวัสดิการ ฯลฯ โดยจ่ายเป็นจำนวน 155 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 5,542 บาท)
9. มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน (Universität Tübingen)
ที่ตั้ง เมืองทือบิงเงิน รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก
มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน หรือชื่อทางการว่า ‘มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ฮาร์ดคาร์ลแห่งทือบิงเงิน (Eberhard Karls Universität Tübingen)’ เป็นสถาบันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหา’ลัยที่ดีที่สุดในประเทศเยอรมนี ที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งการศึกษาที่มีวิสัยทัศน์กว้างขวางและเน้นให้ความอิสระแก่ผู้เรียนมากเลยล่ะ ทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย การแสดงออก และรวมไปถึงการตระหนักถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์และการให้เกียรติซึ่งกันและกันค่ะ สำหรับใครที่สนใจเรียนต่อที่ทือบิงเงิน ตอนนี้ที่สถาบันได้ทำการเปิดการเรียนการสอนทั้งหมด 7 คณะ แต่การเรียนการสอนนั้นมีคุณภาพมาก และสาขาที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่คือ แพทยศาสตร์, กฎหมาย และ เทววิทยาและศาสนา
ในส่วนของค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ใน EU และ EEA นั้นอยู่ที่ 1,500 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 53,330 บาท) ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าสวัสดิการ ค่าโดยสาร ฯลฯ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2019 จะเก็บเป็นจำนวน 158.30 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 5,660 บาท) รายละเอียดค่าใช้จ่ายสามารถดูได้จากที่นี่
8. มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเบอร์ลิน (Technische Universität Berlin)
ที่ตั้ง ใจกลางกรุงเบอร์ลิน
มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเบอร์ลิน หรือเรียกย่อๆ ว่า TU-Berlin ที่นี่ถือว่าเป็นมหา’ลัยแห่งการวิจัยที่มีชื่อเสียงของประเทศเลยค่ะ และยังเป็น 1 ในสมาชิกของ TU9 (กลุ่มพันธมิตรมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิศวกรรมในเยอรมันนี) อีกด้วยนะ โดยทางม.เบอร์ลินมีแนวคิดที่จะสร้างลูกหลานให้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคและการจัดการเพื่อการบริหารบริษัทซึ่งตอบสนองความต้องการของนักอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นที่นี่จึงโดนเด่นในเรื่องของวิศวกรรมมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมเครื่องกล และ เศรษฐศาสตร์และการจัดการ และที่ดีงามคือ ที่นี่เปิดรับนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนมากถึงร้อยละ 24 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ถือว่าเยอะมากกก
สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ TU-Berlin นั้นมีให้น้องๆ เลือกเรียนมากมายเลยค่ะ ทั้งหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาเยอรมันและหลักสูตรภาษาอังกฤษ รวมถึงมีคอร์สช่วงภาคเรียนฤดูร้อนกับภาคฤดูหนาวให้น้องๆ ได้ไปหาประสบการณ์เพิ่มเติมด้วยค่ะ และเนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยรัฐ ค่าเรียนของที่นี่จึงไม่ได้สูงมาก และไม่ต่างจากที่อื่นมากนัก
7. มหาวิทยาลัยแอร์เวเทอาอาเคิน (Rheinisch-Westfälische Technische Hochschule Aachen)
ที่ตั้ง เมืองอาเคิน รัฐนอร์ทไรน์-เวสท์ฟาเลิน
มหาวิทยาลัยแอร์เวเทอาอาเคิน (RWTH Aachen University) ที่นี่เองก็เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัยค่ะ และขึ้นชื่อที่สุดในเรื่องของเทคโนโลยี จึงได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของยุโรปเลย และนอกจากจะเป็น 1 ในสมาชิกของ TU9 แล้วยังเป็น 1 ในผู้ก่อตั้ง IDEA ลีคแห่งยุโรปด้วย (กลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเทคโนโลยี) โดยเป้าหมายของมหา’ลัยคือการเป็นหนึ่งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทวีปยุโรปค่ะ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่จะโดดเด่นทางด้านนี้มากๆ ส่วนคณะที่ได้รับความนิยมได้แก่ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี, คณะวิทยาศาสตร์กายภาพ และคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
และความดีงามมันอยู่ตรงนี้เลยค่ะ เพราะว่าทางมหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนฟรี (อ่านไม่ผิดค่ะ) ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาท้องถิ่นและนักศึกษาต่างชาติ แต่จะมีค่าธรรมเนียมส่วนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยที่ต้องจ่ายแทนคือค่าเงินสมทบประกันสังคมและค่าบัตรโดยสาร เป็นจำนวน 42 ยูโร (ประมาณ 1,495 บาท) ซึ่งไม่ได้สูงเลย ดีงามอ่ะ! รายละเอียดค่าใช้จ่ายสามารถดูได้ที่นี่
6. มหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน (Freie Universität Berlin)
ที่ตั้ง กรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก
มหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน หรือเรียกย่อๆ ว่า FU Berlin มีประวัติที่น่าสนใจมากค่ะ เพราะว่าก่อตั้งเมื่อปี 1948 โดยกลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการที่โดยไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เนื่องจากมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกันในยุคที่อยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มโซเวียต
มหาวิทยาลัย FU Berlin มีคติที่ยึดถือมาตั้งแต่ตอนก่อตั้งว่า Veritas, Justitia, Libertas หรือ ค้นหาความจริง การศึกษาที่เท่าเทียม และอิสระในการวิจัยและการเรียนการสอน จะเห็นได้ว่าที่นี่มีสาขาที่โดดเด่นในเรื่องงานวิจัยมากมาย เช่น มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและโลก, วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น
ความดีงามอีกอย่างของ FU Berlin คือ นักศึกษาได้เรียนฟรี ไม่เสียค่าเล่าเรียน แต่จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมอื่นๆ เล็กน้อยเช่น ค่าลงลงทะเบียน ค่าสวัสดิการต่างๆ ในมหา’ลัย ค่าขนส่งสาธารณะ ฯลฯ เป็นจำนวน 311.99 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 11,154 บาท) ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงเลยเมื่อเทียบกับคุณภาพทางการศึกษาที่จะได้รับ ส่วนใครสนใจไปเรียนต่อที่นี่ สามารถดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ
5. มหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน (Humboldt-Universität zu Berlin)
ที่ตั้ง เขตมิตเต้ อยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเบอร์ลิน
มหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน หรือเรียกสั้นๆ ว่า HU Berlin ก่อตั้งขึ้นในปี 1810 โดยเฟรดเดอริค วิลเลี่ยมที่ 3 ที่นี่นับว่าเป็นมหา’ลัยที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเบอร์ลิน และด้วยความที่เป็นผู้นำในการคิดค้นระบบการเรียนเชิงวิจัยและวิชาการ HU Berlin จึงกลายเป็นต้นแบบของระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลกที่ต่างก็เอาเป็นแบบอย่าง และยังชนะรางวัลโนเบลมากถึง 55 รางวัล ที่สำคัญคือที่นี่มีศิษย์เก่าที่คนทั้งโลกรู้จักอย่าง ‘อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์’ นักวิชาการผู้เป็นผลผลิตจากสถาบันแห่งนี้ค่ะ จึงไม่แปลกใจเลยที่สาขาวิชาที่คนอยากมาเรียนต่อมากที่สุดจะเป็นด้านฟิสิกส์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ ศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ที่มหา’ลัยแห่งนี้เองก็ไม่เก็บค่าเล่าเรียนสำหรับใครก็ตามที่สนใจจะมาเรียนต่อค่ะ (เย้) แต่ยังคงเสียค่าธรรมเนียมรายเทอมอยู่เหมือนกัน (ค่าบัตรรถสาธารณะ, ค่าหอ, ค่าอาหาร ฯลฯ) โดยรวมแล้วอยู่ที่ประมาณ 300 ยูโรต่อเทอมสำหรับนักศึกษาทั่วไป (ประมาณ 10,725 บาท) และ 250 ยูโรต่อเทอมสำหรับนักศึกษาแลกเปลี่ยน (ประมาณ 8,938 บาท) รายละเอียดค่าใช้จ่ายสามารถดูได้จากที่นี่ค่ะ
4. สถาบันเทคโนโลยีคาลส์รูเออ (Karlsruher Institut für Technologie)
ที่ตั้ง เมืองคาลส์รูเออ รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก
สถาบันเทคโนโลยีคาลส์รูเออ หรือ KIT เป็นมหา’ลัยวิจัยแห่งรัฐที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี สถาบันนี้เกิดจากการรวมตัวของมหาวิทยาลัยคาลส์รูเออกับศูนย์วิจัยคาลส์รูเออ โดยปัจจุบันทำการเปิดสอนทั้งหมด 11 คณะ ที่ขึ้นชื่อหน่อยก็คงจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่ที่โดดเด่นสุดๆ ก็ต้องยกให้ด้านวิศวกรรมเลยค่ะ เพราะสถาบัน KIT นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิศวกรรมทั้ง 9 แห่งของประเทศเยอรมนี (TU9)
น้องๆ คนไหนที่สนใจจะมาเรียนไม่ว่าจะหลักสูตรปริญญาตรี หลักสูตรต่อเนื่องปริญญาโท หรือหลักสูตรครูจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนจำนวน 1,500 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 53,625 บาท) แต่ก็มีโอกาสได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนอยู่เหมือนกันนะ โดยเงื่อนไขคือ
1) เป็นนักเรียนของ EU/EEA
2) จบการศึกษาระดับมัธยมในประเทศเยอรมนี
3) เป็นผู้ทุพพลภาพตามที่เงื่อนไขทางมหาวิทยาลัยระบุในระเบียบการ
4) เป็นผู้อพยพ
5) นักเรียนในโครงการ Erasmus
6) นักเรียนระดับปริญญาเอก
หากใครสนใจและอยากดูรายละเอียดค่าเล่าเรียนเพิ่มเติม คลิกที่นี่เลยค่ะ
3. มหาวิทยาลัยไฮเดเบิร์ก (Ruprecht-Karls-Universität Heidelberg)
ที่ตั้ง เมืองไฮเดลเบิร์ก รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก
มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก นับว่าเป็น 1 ในมหา’ลัยวิจัยแห่งรัฐที่เก่าแก่ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะว่าก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1386 ในช่วงสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 6 (นานมากกกก) สถาบันทรงเกียรติแห่งนี้เปิดสอนอยู่ด้วยกันทั้งหมด 12 คณะ และโดดเด่นในสาขาของมนุษยศาสตร์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, แพทยศาสตร์ และ สังคมศาสตร์ โดยส่วนใหญ่จะทำการเรียนการสอนเป็นภาษาเยอรมันในระดับปริญญาตรี แต่ถ้าเป็นระดับปริญญาโทขึ้นไปจะสอนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
สำหรับค่าเทอมตั้งแต่ปีการศึกษา 2017 เป็นต้นไป นักศึกษาต่างชาติต้องจ่ายค่าเล่าเรียน 1,500 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 53,625 บาท) แต่ก็มีการยกเว้นค่าเล่าเรียนสำหรับบางกรณีเช่นกัน
1) ได้สถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในเยอรมนี
2) ในช่วง 6 ปีก่อนที่เราจะเข้าเรียน ต้องมีพ่อหรือแม่อาศัยอยู่ในเยอรมนีไม่น้อยกว่า 3 ปี
ส่วนรายละเอียดค่าเล่าเรียนสามารถดูได้จากที่นี่ค่ะ สำหรับค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าบัตรโดยสาร ค่าสวัสดิการ ฯลฯ ต้องจ่ายเป็นจำนวน 154.70 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 5,531 บาท)
2. มหาวิทยาลัยลูทวิช-มัคซีมีลีอานแห่งมิวนิก (Ludwig-Maximilians - Universität München)
ที่ตั้ง เมืองมิวนิค รัฐบาวาเรีย
มหาวิทยาลัยลูทวิช-มัคซีมีลีอานแห่งมิวนิก หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆ ว่า ‘มหาวิทยาลัยมิวนิก’ (ตัวย่อ LMU) ที่นี่ก็เป็นมหา’ลัยวิจัยแห่งรัฐและเป็นสถาบันที่เก่าแก่เป็นอันดับ 6 ของประเทศเยอรมนี ก่อตั้งในปี 1472 โดยดยุกลูทวิชที่ 9 และพระเจ้ามัคซีมีลีอานที่ 1
LMU ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ของประเทศเลยค่ะ เพราะถ้าวัดจากจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 เลยล่ะ อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของยุโรปด้วยรางวัลโนเบลมากถึง 42 รางวัลอีกด้วย (เริ่ดมากกก) ปัจจุบันทำการเปิดสอนทั้งหมด 18 คณะและมีหลักสูตรภาษาอังกฤษไว้รับรองนักศึกษาต่างชาติในระดับบัณฑิตศึกษา รวมถึงในสาขาที่นิยมอย่าง จิตวิทยา, ฟิสิกส์, ธุรกิจ และการจัดการด้วยค่ะ
ที่ม.มิวนิกก็เป็นอีกแห่งที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียนค่ะ แต่จะเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนอื่นๆ เช่น สวัสดิการ ค่าบัตรโดยสาร ฯลฯ ในจำนวน 129.40 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 6,057 บาท) ซึ่งไม่สูงมากเลย ราคาดีเวอร์! ส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่ายอื่นๆ น้องๆ สามารถดูได้ที่นี่เลยค่ะ
1. มหาวิทยาลัยเทคนิคมิวนิก (Technische Universität München)
ที่ตั้ง เมืองมิวนิค รัฐบาวาเรีย
มาถึงอันดับ 1 กันแล้วกับมหาวิทยาลัยเทคนิคมิวนิก หรือ TUM ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1868 โดยกษัตริย์ลูทวิชที่ 2 ด้วยความที่มีคุณภาพทางการศึกษาที่สูงมาก จึงไม่แปลกใจที่ TUM จะได้รับการขนานามว่าเป็นมหา’ลัยแห่งการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี และยังจัดอยู่ในกลุ่มของ TU9 อีกด้วย รูปแบบการเรียนการสอนของที่นี่มีความโดดเด่นมาก เพราะว่ามีการเรียนการสอนแบบสหวิทยาการ หรือ การใช้ความรู้จากองค์ความรู้หลายสาขาวิชา หลายศาสตร์เข้ามาประยุกต์ ส่วนสาขาวิชาที่มีชื่อเสียงของที่นี่จะเป็นด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมเครื่องกล, เศรษฐศาสตร์ และ การบริหารธุรกิจ
แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคนอยากเข้าเรียนมากที่สุด และเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ TUM ก็ไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียนจากนักศึกษานะคะ ทุกคนได้เรียนฟรีหมด แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เฉพาะค่าธรรมเนียมเบื้องต้น เช่น สวัสดิการ บัตรโดยสาร ฯลฯ จำนวน 129.40 ยูโรต่อเทอม (ประมาณ 6,057 บาท) เท่านั้นค่ะ ส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์นี้เลย
ผลการจัดอันดับปีนี้เรียกได้ว่าแทบไม่มีการเคลื่อนไหวจากปีที่แล้วเลยค่ะ ทั้ง 10 อันดับยังคงครองตำแหน่งของตัวเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ที่สำคัญคือมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าเล่าเรียนจากทั้งนักเรียนท้องถิ่นและนักศึกษาต่างชาติอีกด้วย ได้เรียนในสถาบันที่มีคุณแบบฟรีๆ กันไปเลย
แต่อย่างไรก็ตามหากน้องๆ สนใจจะเรียนต่อที่เยอรมนีก็ลองศึกษารายละเอียดกันให้ดีๆ นะคะ และที่สำคัญคือ ควรมีพื้นฐานภาษาเยอรมันติดตัวด้วย เพราะถึงแม้เราจะไปเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษ แต่อย่าลืมนะว่าเราต้องไปอยู่ในประเทศที่เขาสื่อสารด้วยภาษาแม่ของตัวเอง ดังนั้นรู้ไว้ทั้ง 2 ภาษาจะดีกว่าค่ะ ^^
ข้อมูลจาก
2 ความคิดเห็น
ถ้าผมสนใจต้องทำไงครับ