สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D รวมถึงผู้ปกครอง วันนี้เราจะมาเล่าเกี่ยวกับระบบ “A-Level” ขอเกริ่นก่อนว่าหลักสูตรนี้ เราจะได้เลือกลงเรียนวิชาที่ถนัดและเกี่ยวข้องกับคณะที่อยากเข้าในอนาคต เป็นใบเบิกทางสู่มหาวิทยาลัยทั้งในสหราชอาณาจักร (UK) และประเทศอื่นๆ ได้ทั่วโลกแบบไม่ต้องกังวล เพราะเก็บทักษะความรู้มาแน่นและตรงสายมาก! ถ้าพร้อมแล้วมาเจาะลึก พร้อมออกสำรวจในโรงเรียนที่มีหลักสูตรนี้กันเลยค่ะ ^^
“A-Level” คืออะไร? แตกต่างยังไงกับ IB?
A-Level (The General Certificate of Education Advanced Level Certificate) เป็นวุฒิการศึกษาในระดับ ม.ปลาย (Year 12-13 หรือช่วง ม.5-6) ของระดับมัธยมในสหราชอาณาจักร หรือเรียกอีกอย่างว่า Sixth Form ก็ได้
เราจะพบหลักสูตรนี้ได้ในโรงเรียนทุกที่ในโลกที่ใช้ระบบการศึกษาของอังกฤษจนจบ Year 13 (หรือเทียบเท่า ม.6) ทั้งนี้ ทุกแห่งจะมีมาตรฐานการสอบวัดผล เพราะใช้ข้อสอบชุดเดียวกันนั่นเองค่ะ อารมณ์เหมือนสอบ ONET, TOEIC, TOEFL
หลักสูตร A-Level ใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปี นักเรียนจะต้องเลือกเรียน 3-4 วิชาจากจำนวนที่หลากหลายของ A-Level ที่โรงเรียนเปิดสอน ซึ่งในจำนวนวิชาที่ดูน้อยนั้น จริงๆ คือเรียนเข้มข้นและเจาะลึกมากเทียบเท่าที่เด็ก ป.ตรี เรียนเลยค่ะ การวัดผลก็จะมีทั้ง A* A B C D E แล้วเราก็เอาผลนั้นไปยื่นเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้
แต่การเลือกว่าจะลงรายวิชาไหนบ้าง เบื้องต้นเราต้องไปเปิดข้อกำหนดของสาขาและมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้าว่าต้องมีผลสอบ A-Level วิชาใด (อารมณ์เหมือนถ้าอยากเข้าวิศวะต้องสอบ PAT4 ซึ่งเป็นความถนัดทางวิศวกรรม ให้ได้คะแนนสูงตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด) ข้อนี้ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ จากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเป้าหมายของเราค่ะ เช่น
สาขาชีววิทยาของออกซฟอร์ด กำหนดว่าเราต้องมีผลสอบ A-Level เป็น A*AA โดยตัวที่เป็น A* ต้องเป็น Science หรือ Math (อย่างใดอย่างหนึ่ง) นอกนั้นจะเป็นอะไรก็ได้
2. Finearts, Oxford (Cr. Ox.ac.uk)
ส่วนสาขาวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยเดียวกัน ต้องมี AAA แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นวิชาไหน เราสามารถลงอะไรก็ได้
3. Electrical and Electronic Engineering, Nottingham (Cr.www.nottingham.ac.uk)
สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่นอตติงแฮม กำหนดว่าต้องมี A 1 ตัว แต่อีก 2 ตัวอนุโลมเป็น B ขึ้นไป โดยจะต้องลงเรียน Math, Science หรือวิชาที่เกี่ยวกับ Electronics (Electronics, Physics, Chemistry, Biology) แต่ยกเว้นวิชา Citizenship Studies, Critical Thinking, General Studies
สรุป ไฟลท์บังคับของ A-Level คือต้องเรียน 3-4 วิชา โดยเลือกลงได้ตามความชอบและความถนัด นี่จึงเป็นความโดดเด่นข้อแรกที่ทำให้น้องๆ ไม่ต้องเรียนวิชาที่ไม่ชอบหรือไม่ถนัดให้เกรดตกซะเปล่าๆ และไม่จำเป็นต้องลงเรียนวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาที่อยากเรียนในอนาคตด้วย A-Level จึงเหมาะสำหรับน้องๆ ที่ชัดเจนแล้วว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร
iMAC Suite สำหรับวิชา Design Technologies
ซึ่งเป็น 1 ใน 20 วิชาเลือกในหลักสูตร A-Level ของ Bangkok Prep
ผู้ปกครองบางคนอาจสงสัยว่า แล้วถ้า A-Level เรียนหนัก เรียนเข้ม ประหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัย แปลว่าเน้นแต่ทฤษฎีรึเปล่า? คำตอบคือหลักสูตรนี้เน้นการสอนให้เด็กค้นคว้า และสามารถคิดวิเคราะห์ได้ ไม่ใช่มาเพื่อฟังเลกเชอร์แล้วท่องจำอย่างเดียว (แม้แต่ข้อสอบก็คือการเขียนวิเคราะห์) ซึ่งที่โรงเรียน Bangkok Prep ก็มีส่วนเสริมนอกเหนือจาก 3-4 วิชาที่ต้องเรียน หน่วยกิตเหล่านี้จะเป็นแต้มต่อสำหรับการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากมหาวิทยาลัยทั่วโลกอีกด้วย ดังนี้
- Extended Project Qualification (EPQ) ที่เริ่มต้นตอน Year 12 ให้นักเรียนได้ทำโปรเจกต์หัวข้ออะไรก็ได้ตามสนใจและถนัด โดยให้เลือกว่าจะทำออกมาในรูปแบบเขียน (ความยาว 5,000 คำ) หรือถ้าไม่ถนัดก็สามารถทำเป็นโปรเจกต์ เช่น นิทรรศการ แสดงผลงาน หรือสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้นมาก็ได้
- Personal, Social and Health Education (PSHE)
- Community Service ที่ปลูกฝังให้นักเรียนมีจิตสาธารณะ
- Thai studies for Thai Students นักเรียนไทยต้องเรียนภาษาไทยสัปดาห์ละ 1 คาบ
จบ A-Level แล้วเรียนต่อได้แค่ UK จริงหรือ?
การจบหลักสูตรนี้การันตีว่ายังไงก็มีมหาวิทยาลัยใน UK รองรับแน่นอน (แต่จะได้สถาบันท็อปแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผลคะแนนที่เราสอบได้) ในกรณีที่เรายื่น A-Level ข้อดีคือเราไม่ต้องเสียเวลา 1 ปีเพื่อเรียนปรับพื้นฐาน (Foundation) ในขณะที่คนจบหลักสูตรอื่นๆ ต้องเรียน แถมยังประหยัดเวลาต่อที่ 2 ตรงที่เราสามารถ “เทียบเกรด” วิชาในปี 1 ได้เลย เพราะความเข้มข้นของเนื้อหาใน A-Level เทียบเท่ากับปี 1 ของ ป.ตรี
แต่สิ่งที่คนเข้าใจผิดเยอะมากคือ “ถ้าไม่คิดจะเรียนต่อ UK ก็ไม่ต้องเรียน A-Level ก็ได้” หรือ “คนที่จบ A-Level สามารถเรียนต่อได้ที่ UK เท่านั้น” ซึ่งในความเป็นจริงคือ น้องๆ สามารถเรียนต่อที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ หรือถ้าจะเรียนต่ออินเตอร์ในไทยก็ได้ เพราะเราสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาลงลึก แน่นปึ้ก และตรงสาย ไปใช้สอบ SAT เพื่อเข้าสถาบันที่ต้องการได้ (ย้ำอีกครั้งว่า ดีกรีความเข้มข้นของ A-Level ทำให้เราได้เปรียบมากๆ ค่ะ)
แล้วถ้าอยากไปต่อมหาวิทยาลัยใน USA ล่ะ?
ไม่ว่าเราจะเรียน A-Level, International Baccalaureate (IB) หรือแม้แต่ระบบอเมริกันเอง ทุกคนต่างต้องสอบ SAT เพื่อเอาคะแนนไปเทียบกับมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า เป็นต้นว่า Harvard ต้องได้คะแนน SAT Reading และ Writing 710-800 คะแนน และ Math 720-800 คะแนน
ข้อแตกต่างระหว่าง A-Level กับ International Baccalaureate (IB)
A-Level | IB |
เรียนแบบเข้มข้นและเจาะลึกในรายวิชาที่สนใจและถนัด โดยเลือกลงได้ 3-4 วิชา จากจำนวนที่หลากหลายวิชาของ A-Level ที่โรงเรียนเปิดสอน อาทิ Art, Biology, Business Studies, Chemistry, Computer Science, Design Technology, Drama, Economics, English Literature, French, Further Mathematics, Geography, History, Mandarin, Mathematics, Media Studies, Photography, Physical Education, Physics and Psychology. (ตัวอย่างจากวิชาที่เลือกเรียนได้ใน Bangkok Prep) | เรียนไม่เจาะลึกถ้าเทียบกับวิชาของ A Level ในรายวิชาทั้งหมด 6 วิชาบังคับ (เลือกไม่ได้) จาก 6 กลุ่มได้แก่ Literature, Second Language, Individuals and Societies, Sciences, Mathematics and Computer Science, Arts |
สามารถเรียนต่อ ป.ตรี ในประเทศใดก็ได้ แต่หากเป็นสถาบัน UK สามารถยื่นผลสอบ A-Level ได้เลย และต้องยื่นคะแนน SAT สำหรับมหาวิทยาลัยใน USA | สามารถเรียนต่อ ป.ตรี ที่ประเทศใดก็ได้ และต้องยื่นคะแนน SAT แม้จะเป็น มหาวิทยาลัยใน USA |
ไม่ต้องเรียนปรับพื้นฐานก่อนขึ้นปี 1 ในสถาบัน UK และบางมหาวิทยาลัยในประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงเรียน ป ตรี เพียง 3 ปี | ต้องเรียน ป.ตรี 4 ปี |
เงื่อนไขการเข้าเรียน A-Level
เงื่อนไขการเรียนหลักสูตร A-Level ทางโรงเรียนจะพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ผลสอบ พฤติกรรม ทัศนคติ ฯลฯ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันในบางแห่ง ในที่นี้เราจะขอยกตัวอย่างเกณฑ์ของ Bangkok Prep โรงเรียนหนึ่งเดียวในเส้นสุขุมวิทที่มีหลักสูตร A-Level
นักเรียนช่วง Year 10 -11 (ม.4-5) จะต้องผ่านโปรแกรมที่ชื่อ “IGCSE” (The General Certificate of Secondary Education) เพื่อเตรียมตัวเข้า A-Level สิ่งที่ต้องเรียนมีดังนี้
1. วิชาบังคับ ได้แก่ English, Math, Science
2. วิชาเลือก 4 วิชา โดยเลือกจาก 10 วิชา ได้แก่ History, Geography, Design Technology, Art, Business Studies, Drama, Music, Computer Science, Media Studies, World Language
ดังนั้นแปลว่าเราต้องสอบรวมกัน 7 รายวิชา เพื่อวัดว่าเราถนัดอะไร และเรียน A-Level ไหวหรือไม่
(คำแนะนำ: หากผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานเรียน A-Level ข้อบังคับคือเด็กต้องผ่านและสอบ IGCSE ช่วง Year 10-11 มาก่อน ซึ่งทางที่ดีควรตั้งต้นให้เรียน IGCSE ตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้คุ้นเคยกับระบบการเรียนการสอนของ UK โดยเฉพาะทักษะการใช้ภาษา การคิดวิเคราะห์ และกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นระบบ)
และอย่างที่เราเกริ่นไว้ตอนต้น เราก็ได้เก็บภาพบรรยากาศการเรียนการสอนตั้งแต่โปรแกรม IGCSE ไปจนถึง A-Level ใน Bangkok Prep เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น รับรองได้กลิ่นอายการเรียนมหาวิทยาลัยเลยค่ะ!
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พิเศษที่เรียกว่า “Sixth-form Centre” ลักษณะเหมือน Co-Working Space มีทั้งห้องเรียน ห้องครัว สำหรับให้เด็ก 2 ปีสุดท้ายได้ฝึกแบ่งเวลาเรียน ทำงานกลุ่ม และดูแลตัวเอง
และนี่คือหลักฐานที่ยืนยันว่า หลักสูตรนี้ไม่ได้ให้เด็กรู้แค่ในหนังสืออย่างเดียว…
นี่เป็นตัวอย่างจาก 1 ในโรงเรียนคุณภาพที่รองรับระบบการเรียน A-Level โดยไม่ต้องไปไกลถึงสหราชอาณาจักร หากผู้ปกครองต้องการส่งบุตรหลานให้เรียนในสภาพแวดล้อมการศึกษาที่ช่วยให้ค้นหาตัวเองได้เร็วขึ้น และได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเพื่อเรียนเจาะลึกวิชาที่สนใจแบบเข้มข้นและเจาะลึก ใครที่กำลังลังเลว่าหลักสูตร A-Level ของ Bangkok Prep ดีไหม? บอกเลยว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ เสมือนได้พาบุตรหลานไปสัมผัสชีวิตสภาพแวดล้อมการเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังเรียน High School เลยค่ะ หากใครมีประสบการณ์เรียนอินเตอร์หลักสูตรใด ลองมาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ :)
2 ความคิดเห็น
มีคำถามครับพี่ เรียน A-Level ต้องจบYear 10 -11 (ม.4-5)ของ“IGCSE” ก่อนรึป่าวครับ หรือถ้าจบม 4 แล้วเทียบโอนเอา หรือแบบไหนครับ
รบกวนด้วยครับ!!
จริงๆเคยลองสอบถามมา คือเราสามารถเข้าไปเรียน a-level ได้ค่ะ ถ้ามาจากฝั่งไทย แต่!! ภาษาอังกฤษต้องระดับ C1 Advanced ขึ้นไปค่ะเค้าถึงจะรับ คือถ้าอยากเรียน a-level อย่างเดียวไปเข้าที่อังกฤษเลย 2 ปีก็ได้ค่ะ (Sixth Form College) แต่คำตอบเราอาจจะไม่ชัวร์ต้องลองถามโรงเรียนนานาชาติที่สนใจเพิ่มนะคะ จะได้คำตอบแน่นอนกว่า
อยากทราบว่า A-Level ต้องเรียนก่อนมั้ยคะถึงจะมีสิทธ์สอบหรือว่าสอบได้ตามใจเราเลย ตอนนี้เรียนอยู่ไทยคิดว่าจะไปแลกเปลี่ยนกล้วก่อนไปแลกเปลี่ยนอยากจะสอบ A-level ทิ้งไว้เลย เพราะกลับมาก็จะไปต่อป.ตรีที่ต่างประเทศต่อเลยค่ะ