‘ฟิล์ม’ เด็กทุน Global UGRAD ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนฟรี 1 เทอมในมอดังของอเมริกา

        สวัสดีครับชาว Dek-D … ที่ผ่านมามีน้องๆ หลายคนหลังไมค์มาถามเกี่ยวกับทุน Global UGRAD ที่มอบโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้ามากันเยอะมากกก หลายคนอยากได้ทุนนี้เพราะว่าจะได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนและเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของอเมริกาแบบฟรีๆ แถมไม่มีเงื่อนไขอีกด้วย เรียกว่าเป็นทุนที่คุ้มมากกก แต่กว่าจะได้ทุนก็อาจจะต้องมีการสอบหลายด่านเลยทีเดียว 
 
       วันนี้ พี่วุฒิ มีประสบการณ์สนุกๆ ของน้องนักเรียนทุน Global UGRAD ปีล่าสุดมาฝากให้ทุกคนได้อ่านกัน บอกเลยว่าเล่าละเอียดตั้งแต่การสมัครจนถึงชีวิตแลกเปลี่ยนที่อเมริกาแบบจัดเต็มเลยครับ ว่าแล้วไม่รอช้า เลื่อนจอมาอ่านกันเลยจ้าา    

 

 
        สวัสดีครับ ผมชื่อ ธนกุล โนจิตร ชื่อเล่นชื่อ ฟิล์ม ครับ ขณะนี้กำลังอยู่ในชั้นปีที่ 5 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปัจจุบันเป็นนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกครับ ล่าสุดเมื่อช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่ Emporia State University ผ่านโครงการ Global UGRAD มอบโดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาครับ   
 
        ความจริงแล้วก่อนหน้านั้นเอง ตอนอยู่ปี 2 ผมเคยได้รับทุนไปแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่ประเทศจีนภายใต้โครงการ Project Thai-Chinese Youth Exchange Program ครับ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนในต่างประเทศเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นแค่ 1 อาทิตย์แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกชอบการไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับผู้คนต่างวัฒนธรรมมากๆ เลยครับ เพราะมันทำให้โลกของเราขยายใหญ่ขึ้น เข้าใจความหลากหลายในโลกมากขึ้น ตรงนี้เลยเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของความอยากไปเรียนที่ต่างประเทศครับ 
 

 
        ที่ผมมาเขียนเล่าประสบการณ์ที่ไปแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ผมก็อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ที่ผมได้จากการสมัครทุนไปแลกเปลี่ยน ตั้งแต่การเตรียมตัวไปจนถึงขั้นตอนการสมัครทุน หวังว่าประสบการณ์ที่ผมนำมาเล่าจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้อ่านได้มีกำลังใจในการพัฒนาศักยภาพของตนเองยิ่งขึ้นไปอีกนะครับ  :D 

 

โครงการ Global UGRAD


        ว่ากันตามตรงแล้ว เหตุผลอย่างแรกที่ผมอยากสมัครทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะอยากเที่ยวครับ... (คำตอบอาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ 5555 ) ใช่ครับ ผมเป็นคนชอบไปหาประสบการณ์ในสถานที่ที่ตัวเองไม่เคยไปมาก่อน ชอบทำอะไรที่คนอื่นอาจจะมองว่าแปลก หรือไม่เข้าพวก นอกจากนั้นผมยังมีความสนใจปัญหาด้านการศึกษาในประเทศของเรา และอยากหาวิธีพัฒนาตัวเองและหาความรู้เข้าตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็ค้นพบทีหลังว่า เหตุผลข้อนี้นี่เองทำให้ผมได้รับทุน Global UGRAD
 
        ขอเกริ่นก่อนนะครับว่าทุน Global UGRAD มีชื่อเต็มว่า Global Undergraduate Exchange Program โดยทุนนี้เป็นทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยจะมีองค์กร Fulbright Thailand เป็นผู้ดูแลการคัดเลือกครับ โดยจะให้ทุนกับนิสิต/นักศึกษาระดับปริญญาตรี ไปแลกเปลี่ยนในมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 1 ภาคการศึกษาครับ
 
        ทุนนี้เป็นทุนแบบ Fully-funded ครับ หมายความว่า ทางโครงการจะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับโครงการครับตั้งแต่ ค่าวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับไทยและสหรัฐฯ ค่าเดินทางไปมหาวิทยาลัย  ค่าหนังสือ ค่าอาหาร นอกจากนั้นยังมีเงินเดือนให้ใช้ทุกเดือน รวมถึงมีทุน CEA (Cultural Enrichment Allowance) หรือ ทุนทัศนศึกษามอบให้อีกด้วยครับ สรุปก็คือ ทุนนี้ฟรีทุกอย่างตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้านเลยครับ!!!

 

1 เดือนกับการเตรียมตัวสมัครทุน 



         สำหรับขั้นตอนการคัดเลือกผู้รับทุนถือได้ว่าค่อนข้างโหดเลยทีเดียว เพราะด้วยความที่เป็นทุนฟรีทุกอย่างเลย ทำให้เกณฑ์ในการคัดเลือกค่อนข้างหินครับ ทุนนี้ค่อนข้างเน้นความเป็นผู้นำมากๆ เพราะฉะนั้นกรรมการจะโฟกัสไปที่ความตั้งใจของเราว่าเราอยากได้ทุนนี้ไปทำไม แล้วหลังจากได้รับทุนจะทำอะไรให้กับสังคมบ้าง ฉะนั้นกิจกรรมที่เราเคยทำจะเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตอนเราเขียน Essay หรือตอนสัมภาษณ์ เพราะเราจะสามารถอธิบายเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของเราผ่านการทำกิจกรรมมาก่อน ซึ่งตัวฟิล์มเองก็เป็นเด็กกิจกรรมมาก่อน ทำให้มีเรื่องให้เล่าค่อนข้างเยอะ 555 
 
        ต้องบอกก่อนว่าก่อนที่ฟิล์มจะได้ทุน UGRAD ในปี 2018 ฟิล์มเองเคยจะส่งใบสมัครไปแล้วในปี 2016 ครับ แต่ตอนนั้นเกิดล้มป่วยซะก่อนเลยอดสมัครเลย TT (แต่พอมองกลับไปก็คิดว่า ถึงส่งใบสมัครไปตอนนั้นก็ไม่น่าจะได้ เพราะตอนนั้นไม่มีความพร้อมเลย ป่วยก็ป่วย เอกสารก็ไม่เรียบร้อย) ปีต่อมาเลยแก้ตัวใหม่โดยการเตรียมตัวประมาณ 1 เดือนก่อนเริ่มสมัคร ทั้งพวกเอกสารที่ต้องส่งและเรียงความ โดยขั้นตอนการสมัครจะเป็นประมาณนี้ครับ 
 
รอบแรก

        ขั้นแรกของการสมัครคือ การส่งเอกสารและเรียงความโดยการอัปโหลดเอกสารลงในเว็บไซต์ที่เค้าให้มา พร้อมส่งเอกสารให้กับทางมหาวิทยาลัยที่เราศึกษาอยู่ครับ จากนั้นทางมหา’ลัยจะเรียกเราไปสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนมหาลัยไปให้ทาง Fulbright Thailand คัดเลือกอีกทีครับ 
 
        ขอเมาท์นิดนึงว่าการสัมภาษณ์กับทางมหาลัย ฟิล์มรู้สึกเครียดและตื่นเต้นมากกว่าการสัมภาษณ์กับทาง Fulbright Thailand อีกครับ 555555 เพราะกรรมการสัมภาษณ์แต่ละคนเป็นอาจารย์ในมหา’ลัยที่ฟิล์มเรียนอยู่ทุกคนเลย ทำให้ฟิล์มรู้สึกเกร็งมากๆ และตอบคำถามไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยดี และก็ได้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป 
 
รอบสอง

        ขั้นต่อมาก็หินไม่แพ้กับรอบแรกเลยครับ เพราะรอบนี้ฟิล์มจะต้องสัมภาษณ์กับทาง Fulbright Thailand โดยตรงเลย ด้วยความที่การสัมภาษณ์รอบที่แล้ว ฟิล์มตอบคำถามได้ไม่ดีเท่าที่ควร ฟิล์มเลยบอกกับตัวเองว่า “จะต้องพัฒนาตัวเอง แล้วคว้าทุนนี้มาให้ได้” เลยตระเวนขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัวเอง ทั้งให้เพื่อนช่วยทำ Mock interview (สัมภาษณ์แบบหลอกๆ) พร้อมให้ฟีดแบ็คกับเราว่าควรพัฒนาตรงไหน แล้วพูดอย่างไรให้โดนใจกรรมการ นอกจากนั้นฟิล์มไปคุยกับอาจารย์ที่ฟิล์มนับถือเกี่ยวกับประเด็นด้านการศึกษาที่ประเทศไทยประสบปัญหาในปัจจุบัน โดยตอนนั้นฟิล์มสนใจด้านความเป็น Inclusiveness ในห้องเรียนโดยเฉพาะด้าน Gender diversity (ความหลากหลายทางเพศ) ของเด็กนักเรียนไทย ตอนเข้าไปสัมภาษณ์ก็บอกกับกรรมการว่า “อยากไปสัมผัสความหลากหลายของสังคมอเมริกัน เพราะอยากนำประสบการณ์และความรู้ที่ได้มาพัฒนาระบบการศึกษาไทยให้มีเคารพความหลากหลายของผู้คนในสังคมมากขึ้น” ส่วนตัวก็คิดว่าเพราะคำตอบนี้เลยทำให้ฟิล์มได้รับเลือกครับ 
 
         จากนั้นจะเป็นช่วงรอประกาศผลครับ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คิดว่าเครียดและกดดันที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเราตั้งใจกับทุกขั้นตอนการสมัครมากๆ และตอนนั้นคือมั่นใจเกิน 70% แล้วว่ามันจะต้องเป็นเราแน่ๆ แล้วพอวันประกาศผล ก็มีอีเมลจาก Fulbright Thailand ส่งมา เราก็นั่งทำใจซักพักนึง แล้วเปิดดูปรากฎว่ามีชื่อเราอยู่ ตอนนั้นคือกรี๊ดออกมาเลยครับ ดังมากจนคนรอบๆ หันมามอง 555555
 

 
รอบสาม

        พอหลังจากประกาศผล ผู้ได้รับทุนจะได้รับ Voucher ให้ไปสอบ TOEFL เพื่อนำมาใช้ประกอบการเลือกสถาบันที่เราจะได้ไปครับ พอถึงรอบนี้ฟิล์มไม่เครียดเท่ารอบก่อนๆ ที่เราต้องแข่งขันกับคนอื่น เพราะเราแค่ต้องแข่งขันและมีวินัยกับตัวเองครับ ซึ่งฟิล์มมีเวลาก่อนวันสอบประมาณ 3 สัปดาห์ โดยฟิล์มใช้เวลาว่างอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ในหอสมุดจนเพื่อนๆ บางคนถึงกับถามว่า เดี๋ยวนี้ไม่เห็นหน้าเลย 555 แต่ด้วยความที่เราอยากได้คะแนนดี เลยพยายามตั้งใจนิดนึง พอคะแนนออกมาก็ถือว่าพอใจในระดับเกินความคาดหมายไปเยอะเลยครับ 
 
        หลังจากนั้นจะเป็นช่วงการรอผลว่าเราจะได้ไปเรียนที่มหาวิทาลัยใด ซึ่งทางองค์กร World Learning ที่เป็นคนดูแลโครงการที่สหรัฐฯ จะเป็นคนเลือก โดยเค้าจะพิจารณาจากหลายปัจจัยเลย ทั้งความสนใจของเรา สาขาที่เราเรียนอยู่ และคะแนน TOEFL โดยฟิล์มได้รับเลือกให้เข้าเรียนที่ Emporia State University ซึ่งมหาลัยของฟิล์มตั้งอยู่ที่เมืองเอ็มโพเรีย มลรัฐแคนซัส ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งผลิตบุคคลากรทางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งในรัฐแคนซัสครับ 

 

รีวิวชีวิตในรั้วมหา'ลัยที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! 



        ฟิล์มเริ่มบินไปอเมริกาประมานต้นมกรา 2019 ที่ผ่านมานี้เองครับ ตอนขึ้นเครื่องรู้สึกตื่นเต้นมากกกก เป็นการบินข้ามทวีปครั้งแรกในชีวิตเลย และพอไปถึงมหาลัยคือสลบเหมือดเลยครับ 5555 เพราะว่านั่งเครื่องติดกัน 3 ต่อ รวมเวลาทั้งหมดประมาณเกือบวัน พอไปถึงก็ได้ไปอยู่ที่หอพักของมหาลัยครับ โดยหอพักที่นี่นักศึกษาจะอยู่แบบรวมห้องละ 2 - 3 คน แต่ฟิล์มค่อนข้างโชคดีที่ได้อยู่ห้องเดี่ยว คนเดียวไปเล้ย! มีความเป็นส่วนตัวดี ส่วนเพื่อนร่วมชั้นในหอหรือ Floor mate ทุกคนน่ารักมากครับ ให้ความช่วยเหลือตลอด  
 
        ส่วนด้านการเรียนที่มหา'ลัย ในอาทิตย์แรกที่ฟิล์มไปถึงที่แคมปัส จะมีการ Orientation ให้กับนักศึกษาต่างชาติก่อนเปิดเทอมครับ โดยเหมือนเป็นการเข้าค่ายรับน้องประมาณนั้นเลย แต่ที่อเมริกาจะเป็นเหมือนการประชุมอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่ควรรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้เงินที่อเมริกา การพาไปเปิดบัญชีที่ธนาคาร การทำกิจกรรม Ice-breaking ร่วมกันระหว่างนักศึกษาต่างชาติเพื่อจะได้ทำความรู้จักกัน (ต้องบอกเลยว่าฟิล์มได้เพื่อนใหม่จากทุกทวีปทั่วโลกเลยครับ มีทั้งนักเรียนที่มาจากอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ซึ่งทุกวันนี้ฟิล์มก็ยังติดต่อกับพวกเค้าอยู่เลย) นอกจากนั้นทางมหา’ลัยยังช่วยเหลือด้านการดูแลสุขภาพ แล้วก็แนะนำเกี่ยวกับ facilities ต่างๆ ในมหาลัยอีกด้วยครับ เช่นแนะนำว่า ฟิตเนสของมหาลัยมีโปรแกรมอะไรบ้าง ทั้งแซมบ้าคลาส โยคะ คาดิโอ เรียกได้ว่าไม่ต้องเสียเงินไปฟิตเนสของนอกมหาลัยให้เปลืองเงินเลยครับ ของมหาลัยที่นี่ครบครันมาก!!
 

 
       คราวนี้พอเข้าสู่ช่วงเปิดเทอม ฟิล์มก็ไปเข้าเรียนในวันแรกเลยครับ ซึ่งวิชาที่ฟิล์มลงเรียนมีทั้งหมด 4 วิชา ได้แก่ Composition I, Contemporary Amerian Literature, US History before 1877, และ Interpersonal Communication ซึ่งตอนที่ฟิล์มเลือกลงวิชาทั้ง 4 วิชานี้ ทางมหา’ลัยจะจัดอาจารย์ที่ปรึกษาให้เราไปปรึกษาเกี่ยวกับวิชาที่เราอยากเรียน และด้วยความที่ฟิล์มเรียนเอกภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ก็เลยอยากลงวิชาที่จะช่วยเสริมเข้าใจเกี่ยวกับประเทศเจ้าของภาษาอย่างอเมริกาให้มากขึ้น เราเลยลงทั้งวิชาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมอเมริกันคู่กันไปเลย นอกจากนั้นด้วยความที่เราสนใจด้าน Gender อยู่แล้ว ก็เลยเลือกลงเรียน Interpersonal Communication ไปด้วยเลยครับ เพราะฟิล์มสนใจมีความสนใจเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลที่ทำให้คนเราสื่อสารกันในสังคม ซึ่งฟิล์มค้นพบทีหลังว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เข้ากับความสนใจฟิล์มมาก เพราะเราจะต้องวิเคราะห์บริบทในสังคมและสิ่งที่ทำให้คนเราแสดงออกต่อผู้อื่นในสังคม ไม่ว่าจะเป็น เพศ วัฒนธรรม การเลี้ยงดู หรือเชื้อชาติ 
 

 
        การเรียนที่อเมริกาค่อนข้างแตกต่างกันกับที่ไทยค่อนข้างมากเลยครับ ฟิล์มสังเกตได้จากบรรยากาศในห้องเรียนที่อาจารย์ผู้สอนจะเน้นการอภิปรายหัวข้อที่เรียนมากกว่า ซึ่งแตกต่างกับห้องเรียนในไทยที่จะเป็นการบรรยายซะมากกว่า อาจารย์ที่นี่เป็นกันเองมากๆ ครับ ให้ความช่วยเหลือนักศึกษาตลอด ด้วยความที่เราเป็นเอเชียคนเดียวในห้อง ฟิล์มก็จะโดนถามคำถามค่อนข้างเยอะ แต่ก็รู้สึกสนุกดี เหมือนเราได้สนทนากับเพื่อนคนนึงเลย ส่วนการบ้านที่ฟิล์มได้รับจะเป็นการเขียนเรียงความส่งซะส่วนใหญ่ โดยคำถามส่วนมากจะเน้นให้เราคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเนื้อหาที่ฟิล์มได้เรียนไป อย่างเช่นวันนั้นเรียนเรื่อง ชาวอเมริกาพื้นเมืองหรือเรื่อง Native American นั่นเอง อาจารย์ก็ให้จะหัวข้อคำถามมาประมาณว่า “ถ้าเกิดคนยุโรปไม่ได้มาล่าอาณานิคมที่อเมริกา สังคมในประเทศปัจจุบันจะเป็นยังไง?” ซึ่งฟิล์มต้องค้นคว้าข้อมูลเยอะมาก เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในเสริมคำตอบของเราในเรียงความ ซึ่งเราต้องหามาจากหนังสือประวัติศาสตร์ และบทความวิชาการ นอกจากนั้นต้องพยายามอธิบายให้สอดคล้องและสมเหตุสมผลกันอีกด้วย 
 
        ส่วนกิจกรรมนอกห้องเรียนนั้น บอกได้เลยครับว่า มีเยอะมากๆ!!! นักเรียนที่นี่เค้าแอคทีฟด้านการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากๆ ซึ่งฟิล์มก็ได้มีโอกาสได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับชมรมอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยเหมือนกันทั้ง ไปมอบการ์ดวันวาเลนไทน์ที่บ้านพักคนชรา ไปเก็บขยะที่ถนนย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง และทำไข่อีสเตอร์ที่ลานกลางมหา’ลัย ทุกกิจกรรมที่ทำนั้นสนุกมากๆ ครับ 
 

 
        นอกจากนั้นฟิล์มยังได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม Diversi-tea and Coffee ของมหาลัยด้วย งานนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษานานาชาติได้มีโอกาสได้ทำเครื่องดื่มชาหรือกาแฟของประเทศตนเอง แล้วนำมาให้ชาวเมือง Emporia ได้มีโอกาสได้ลิ้มลองกัน ซึ่งแน่นอนครับ งานนี้เหมือนเป็นโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติได้โชว์ของดีประเทศตัวเอง แต่ละชาติเลยจัดเต็มกันมากๆ โดยเฉพาะเพื่อนๆ จากจีนและญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องชามาก พวกเค้าขนชาแบบต้นตำหรับพร้อมชุดประจำชาติมาด้วย ต้องบอกว่าเล่นใหญ่กันมากๆ  ซึ่งทางเราเองก็ไม่ยอมแพ้ครับ ฟิล์มได้มีโอกาสทำเครื่องดื่มยอดนิยมของเมืองไทยให้ชาวต่างชาติลิ้มลองกัน นั่นก็คือ…… ‘ชาไทย’ นั่นเองงง! ต้องบอกว่าผลตอบรับดีมากครับ ทั้งเพื่อนอเมริกันกับเพื่อนต่างชาติชอบชาไทยมากกกก ถึงขั้นขอกลับมาเติมอีก 2-3 รอบ 555555
 

 
        เรื่องเรียนเล่าไปแล้วมาเล่าเรื่องเที่ยวดีกว่า 555 ฟิล์มได้มีโอกาสไปเที่ยวหลายที่เหมือนกันครับ ที่แรกที่ไปก็คือเมืองหลวงของรัฐแคนซัสก็คือเมือง TOPEKA ซึ่งฟิล์มได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมอาคารรัฐสภาของรัฐแคนซัสพร้อมกับเพื่อนชาวต่างชาติคนอื่นๆ ด้วย นอกจากนั้นยังได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวนั่นก็คือ เมือง New York City นั่นเองครับ ซึ่งตอนที่ไปเหยียบที่ NYC ครั้งแรกคือ รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังเลยครับ นอกจากนั้นยังได้ไปแลนด์มาร์กหลายๆ ที่ใน NYC อีกด้วย ทั้งเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) และ Time Square ครับ 
 
        ยังไม่หมดครับ ฟิล์มยังได้ไปเมืองหลวงของสหรัฐนั่นก็คือ Washington D.C นั่นเอง ซึ่งการไป DC ถือได้ว่าเป็นไฮไลต์ของโครงการเลยก็ว่าได้ครับ เพราะว่าโครงการ Global UGRAD จะมีการจัด End of Program Workshop ซึ่งจะเป็นการรวมตัวของผู้ได้รับทุน UGRAD จากมหาลัยต่างๆ ในสหรัฐฯ จาก 62 ประเทศมาทำกิจกรรมร่วมกันที่กรุง Washington D.C นั่นเอง ต้องบอกว่าสนุกมากๆ ถึงมากที่สุดเลยครับ เพราะนอกจากเราจะได้เพื่อนต่างชาติถึง 62 ชาติแล้วเราได้มีโอกาสได้ไป sightseeing ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ในเมืองนี้ด้วยอีกต่างหาก ต้องบอกว่าน้องคนไหนที่สนใจห้ามพลาดเด็ดขาดเลยครับ

 


 
        สำหรับน้องคนไหนที่สนใจหรืออยากลองหาประสบการณ์ไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ ดูสักครั้งในชีวิต แนะนำเลยครับ เพราะว่าโครงการ Global UGRAD เค้าดูแลใส่ใจเรามากจริงๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ไทยและที่สหรัฐ นอกจากจะได้ไปเรียนแล้วยังได้เพื่อน และได้ยังได้สร้าง connection กับเพื่อน UGRAD ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก คนไหนสนใจเข้าไปในเว็บไซต์ของ Fulbright Thailand ได้เลยครับ โอกาสแบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือนะ!!! 
 
        แล้วสำหรับน้องๆหรือเพื่อนที่รู้สึกท้อหรือผิดหวังจากการที่ไม่ได้ทุนนะครับ พี่มีคำแนะนำสั้นๆนั่นก็คือ “Failure is the greatest teacher of all.”  ประโยคนี้เป็นประโยคที่ฟิล์มได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์การสมัครทุนที่ผ่านมาอย่างโชคโชนครับ เพราะมีหลายครั้งที่เคยต้องผิดหวังและท้อถอย บางทีสมัครทุนไป 5 ครั้งแล้วก็โดนปฏิเสธ (รันทดเนอะ 555) แต่ผมก็มองว่าความล้มเหลวแต่ละครั้งนี่เป็นครูชั้นดีเลยครับ เพราะความผิดหวังในแต่ละครั้งจะสอนเราให้ไม่ผิดพลาดซ้ำเดิมอีก และเป็นตัวกระตุ้นให้เราไม่หยุดอยู่กับที่ ให้เราพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ 
 
        ถ้าเกิดน้องๆ หรือเพื่อนคนไหนอยากสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของทุน Global UGRAD ตั้งแต่การเขียนเรียงความหรือการสัมภาษณ์สามารถติดต่อผ่านไอจี fimnomenon หรือ FB: Fimm Thamakul Nojit มาได้นะครับ 

 
        เป็นยังไงบ้างครับน้องๆ พอได้อ่านเรื่องของพี่ฟิล์มแล้วอยากไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกันกันแล้วใช่มั้ยล่ะ? สำหรับใครคนไหนที่สนใจทุน UGRAD ก็เริ่มเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ ได้เลยนะครับ และสำหรับน้องๆ ที่จะสมัครของปีนี้ซึ่งกำลังจะเปิดรับสมัครในช่วงเดือนพฤศจิกายน พี่หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆ ที่กำลังเตรียมตัวอยู่นะครับ 
 
        ส่วนใครที่มีเรื่องเล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนหรือได้ไปเรียนต่อนอกแล้วอยากเล่าให้เพื่อนๆ ชาว Dek-D ได้อ่านกัน สามารถส่งเรื่องมาที่อีเมล punyathorn@dek-d.com ได้เลยนะครับ พี่รออ่านอยู่น้า ^^   
พี่วุฒิ
พี่วุฒิ - Columnist มนุษย์ 4 มิติผู้หลงใหลในเพลงเกาหลี ชาเนสที และหมูกระทะ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด