เล่าชีวิตป.โท เด็กทุนรัฐบาลเกาหลีของ 'นัท' & รีวิวสังคมแบบอินไซด์ฉบับเด็กเอกเกาหลีศึกษา!

       สวัสดีค่ะชาว Dek-D ทุกคน กระแสเกาหลีในประเทศไทยทุกวันนี้ยังคงแรงดีไม่มีตก นอกจากเรื่อง K-pop กับภาษาและวัฒนธรรมแล้ว หลายๆ คนเริ่มต่อยอดความสนใจไปถึงการเรียนต่อที่เกาหลีด้วย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ “นัท” เด็กทุนรัฐบาลเกาหลีระดับป.โท กับการเรียนในสาขา Global Korean Studies (เกาหลีศึกษา) ค่ะ เรียกได้ว่าเป็นสาขาที่เจาะลึกในด้านสังคมและวัฒนธรรมแบบเต็มๆ ถ้าอยากรู้ว่าการเรียนและการใช้ชีวิตจะน่าสนใจขนาดไหน รวมถึงมีมุมอินไซด์อะไรในสังคมเกาหลีที่น่าตกใจบ้าง ตามมาอ่านกันได้ในบทความกันได้เลยค่ะ ^^  

 

 

แนะนำตัวเอง


       “สวัสดีครับ ชื่อ ‘นัท’ กิตินัทธ์ อ่อนสี อายุ 24 ปี จบจากคณะอักษรศาสตร์ เอกสารนิเทศศึกษา โทภาษาเกาหลี เคยได้ทุน ‘Asian University Network Scholarship (AUNS)’ เป็นทุนเรียนภาษาเกาหลี 1 ปีที่มหาวิทยาลัยโซล และตอนนี้เป็นนักเรียนป.โททุนรัฐบาลเกาหลี เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยซอกัง สาขามนุษยศาสตร์ เอก Global Korean Studies (เกาหลีศึกษา) ครับ”  

 

ต่อยอดเรียนภาษา 1 ปี จนได้โทปิคระดับ 5!


       “ตอนจบป.ตรีเราได้ทุน AUNS ซึ่งเป็นทุนพิเศษของม.โซล ทุนนี้ค่อนข้างจำกัดกรอบพอสมควรเลย คือรับผ่านจุฬาฯ โดยไม่จำกัดคณะ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นทุนมหาวิทยาลัย เค้าจะเลือกนักศึกษาปีละ 1 คน ไปเรียนภาษาที่เกาหลี 1 ปี แต่ว่าไม่ได้ให้เพื่อไปเริ่มเรียนภาษาใหม่นะ เน้นให้ไปเรียนต่อยอดภาษามากกว่า เราสมัครไปตอนเรียนจบป.ตรีช่วงประมาณเดือนกุมภา-มีนา ยื่น Study plan คะแนนโทปิคระดับ 2 และเอกสารอื่นๆ แล้วก็ได้รับเลือกให้มาเรียนตอนกันยา”
 

กับเพื่อนๆ ในสถาบันภาษา
 
       “ตอนเรียนที่สถาบันภาษาจะเรียน 5 วันต่ออาทิตย์ ตั้งแต่ 9 โมงถึงบ่ายโมง ซึ่งคอร์สนึงจะเรียนประมาณเกือบๆ 3 เดือน เราเลยได้เรียนอยู่ 4 คอร์ส (ระดับ 3 ถึงระดับ 6) รู้สึกแฮปปี้มากก มันทำให้เราได้ภาษาเกาหลีจริงๆ เพราะเค้าไม่ได้สอนเนื้อหาวิชาการจ๋าๆ แต่จะเน้นการเอามาใช้จริงมากกว่า อาจารย์เองก็ให้เราพูดเกาหลีในคาบเยอะมาก คาบแรกๆ นี่ช็อกเลย เพราะในหัวเรายังคิดภาษาเกาหลีเป็นคำๆ ไม่เป็นประโยค ก็ต้องค่อยๆ ปรับไป หลังเรียนจบเราไปสอบโทปิคก็ได้ขึ้นมาเป็นระดับ 5”
 

ใบประกาศจากสถาบันภาษา
 
       “เพราะว่าเป็นทุนเรียนภาษา ก็เลยมีคนต่างชาติมาเรียนเยอะมาก ทำให้เราได้สังคม มีเพื่อนจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกงเต็มไปหมด แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าคนจีนดูเข้ากับคนไทยได้มากสุดนะ คนจีนน่ารัก วัฒนธรรมเค้าพอจะไปกับเราได้ แล้วรู้สึกว่าเค้าชอบประเทศไทยด้วย แบบคนไทยน่ารักน่าเอ็นดูงี้ พออยู่ด้วยกันนานๆ ก็เลยสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ”
 

คลาสเรียนทำอาหาร
 

ทัศนศึกษาที่วัง

 

ช่วงแรกเหนื่อยมาก
เพราะต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง


       “ช่วงที่มาใหม่ๆ รู้สึกว่าเหนื่อยครับ มันทดสอบจิตใจมาก เราต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองเพราะไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวที่มาด้วยกัน ต้องศึกษาเองว่าโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตใช้ยังไง หาข้าวกินได้ที่ไหน จริงๆ เราเองก็เป็นคนง่ายๆ อยู่นะ แต่หลายๆ อย่างมันไม่เอื้อให้คนต่างชาติเลย เพราะคนเกาหลีพูดอังกฤษได้ค่อนข้างน้อยโดยเฉพาะชาวบ้าน ทำให้ทำอะไรหลายๆ อย่างยาก”
 

 
       “อย่างตอนแรกๆ เราต้องไปเปิดบัญชีธนาคาร เอกสารมันก็เป็นเกาหลีทั้งหมด พนักงานก็จะให้เราเซ็นอย่างเดียวโดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย คือถ้ามันระบุว่าถ้าตายขึ้นมาจะต้องยกทรัพย์สินให้เป็นของเกาหลีก็คือไม่รู้เรื่องเลยนะ บางทีก็มีเจอเอกสารฉบับอังกฤษเหมือนกัน แต่แปลแค่หัวข้ออะ เนื้อหาที่เหลือเป็นเกาหลีเหมือนเดิม ถ้าเจอเป็นอังกฤษทั้งหมดให้คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นของปลอม”

 

มุ่งมั่นเรียนต่อป.โท
เพราะเป้าหมายคือทำงานสายวิจัย


       “ที่จริงแล้วก่อนจบป.ตรีเราเคยสมัครทุนรัฐบาลเกาหลีไปรอบนึงแต่ว่าไม่ได้ ตอนนั้นค่อนข้างเศร้าใจมาก เพราะเรามีความคิดไว้อยู่ก่อนแล้วว่าอยากเรียนต่อ พอมีโอกาสได้มาเรียนภาษาก่อนเลยตั้งใจว่าจะเรียนต่อโทให้ได้ ช่วงที่เรียนภาษาอยู่ก็เลยลองยื่นรอบที่ 2 ดูแล้วก็ได้ทุน”
 
      เราอยากทำงานสายอาจารย์หรือสายวิจัย แต่ไม่ได้อยากไปสอนภาษาแบบนั้น แถมที่ไทยยังมีคนรู้เกี่ยวกับเกาหลีศึกษาไม่เยอะ เลยตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้ที่ซอกัง เพราะซอกังเองถือเป็นมหา’ลัยท็อป 5 ของเกาหลี อยู่ใจกลางเมืองและเดินทางสะดวกด้วย แถมตอนสัมภาษณ์ทุนอาจารย์ก็น่ารักมากๆ ชวนคุยแล้วก็ให้คำแนะนำหลายๆ อย่าง แต่ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตรไม่เหมือนกัน อย่างที่ซอกังพึ่งเปิดมา 4 ปี วิชาเลยยังไม่เป็นแบบแผนมากเท่าไหร่”
 


 

เรียนอักษรฯ มา
แต่ป.โทดันมีวิชาเขียนโปรแกรมด้วย!


       เสริมให้นิดนึงค่ะว่าปกติแล้วทุนรัฐบาลเกาหลีจะให้เรียนปรับภาษาก่อน 1 ปีแล้วถึงเรียนต่อในระดับปริญญา แต่เพราะพี่นัทเรียนภาษามาก่อนปีนึงพอดี เลยเรียนต่อป.โทได้เลย
 

 
       “เราเพิ่งเรียนจบเทอม 1 ไป ก็คือลงเรียนอยู่ 3 วิชา วิชาแรกคือ Advanced Academic Writting ตลอดทั้งเทอมต้องส่งอยู่งานเดียว คือให้เขียนเปเปอร์เรื่องอะไรก็ได้  7,000 คำ เราเลยเขียนเกี่ยวกับ K-pop ไป เป็นวิชาที่จอยมาก แต่หนักตรงตอนเขียนนี่แหละว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ มีอยู่วันนึงเราเขียนตั้งแต่ 10 โมง ออกไปดูหนังกลับมาตอนเที่ยงคืน แล้วเขียนต่อยันตี 4 พอส่งอาจารย์ไปคือโล่งใจมากก”
 

 
       “อีกวิชาคือ Big Data Analysis เรียนเขียนโปรแกรม Python แล้วเราเรียนอักษรฯ มา บอกเลยว่าไม่รู้เรื่อง คาบแรกจบปุ๊บเราไปบอกอาจารย์เลยว่าอยากถอน แต่อาจารย์น่ารักและใจดีมาก เค้าช่วยจัดคลาสสอน Python ให้ ช่วงแรกๆ เลยเข้ามอไปเรียนทุกวันเลย วิชานี้มันดีตรงที่ทำให้เราได้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า Big data มันเป็นยังไง ถ้าเรียนเข้าใจคือมีประโยชน์มากๆ แต่ให้เรียนอีกมั้ยก็ไม่เอาแล้ว”
 
       “ส่วนวิชาสุดท้ายคือ Advanced Humanistic and Social Inquiry in Korean Studies ก็จะเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในเรื่องต่างๆ ของเกาหลี เราสามารถศึกษาเกาหลีได้หลายมุมเลยนะ อย่างเพื่อนเราสนใจเรื่องชนชาติ คนจีนที่อพยพมาเกาหลีอะไรแบบนี้ ส่วนเราสนใจเรื่องไอดอล ก็พยายามทำวิจัยเรื่องไอดอลว่าเคป็อปมันส่งผลอะไรบ้าง อาจารย์ก็คอยช่วย ที่พีคคือวิชานี้จะต้องส่ง Thesis proposal พร้อมพรีเซนต์ตอนจบเทอมด้วย คือแบบเพิ่งเทอมแรกเองอาจารย์ 5555”
 

เที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ
 
       “มีคำพูดนึงของอาจารย์ที่เราประทับใจ คือคนนอกจะมองว่าเราเรียนเกาหลีศึกษาไปทำไม เพื่ออะไร ซึ่งถ้าเราทำงานหรือผลิตความรู้ให้คนในวงการเดียวกัน ความรู้มันก็จะอยู่แค่นี้ แต่ถ้าเราอยากให้คนอื่นหรือคนทั่วไปเข้าใจ เราก็ต้องผลิตงานที่มันเผยแพร่ออกไปถึงทุกคนได้
 
       “รวมๆ เรื่องเรียนอาจารย์ดีมากๆ ส่วนเรื่องกิจกรรมพิเศษก็จะมีกิจกรรมของทุน บางมหา’ลัยมีให้ไปทำกิจกรรมเปิดประสบการณ์ สัมผัสวัฒนธรรม แต่ของที่ซอกังจะเป็นการนัดรุ่นพี่รุ่นน้องนักเรียนทุนมากินข้าวเทอมละครั้ง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ เพราะว่าซอกังมีเด็กทุนไม่ค่อยเยอะ ประมาณ 15 คนได้”

      

ได้เปิดประสบการณ์ใหม่
ทำงานพาร์ตไทม์ในออฟฟิศเกาหลี

 
       นอกจากได้ไปสัมผัสระบบการศึกษา พี่นัทยังมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในบริษัทในประเทศเกาหลีอีกด้วยค่ะ “เรามีโอกาสได้ไปทำงานพาร์ตไทม์ในบริษัทพัฒนาโปรแกรมแห่งนึง โชคดีที่เค้าอยากได้คนไทยมาทำด้วยพอดี งานของเราคือตรวจแกรมมาร์และฟังข้อความภาษาไทยในแอปฯ ว่ามันออกเสียงถูกมั้ย เป็นธรรมชาติหรือเปล่า ต้องเป็นคนแก้แกรมมาร์และการออกเสียงเพื่อให้เค้าเอาไปแก้ต่อ”
 

 
       “เราทำมาประมาณ 1 ปีตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ที่สถาบันภาษา แต่ทุนรัฐบาลเกาหลีจะห้ามทำงานพาร์ตไทม์ระหว่างเปิดเทอม โชคดีที่เจ้านายเอ็นดูเรา ก็เลยหยุดทำแล้วมาทำช่วงปิดเทอมแทนได้ คือไม่รู้ว่าเพราะเค้าเคยทำงานกับต่างชาติมาก่อนหรือเปล่า แต่เค้าทรีตเราดี เรามีเวลาเป็นของตัวเอง มีคอมฯ ทำงานของตัวเอง งานสบายและรายได้ดี บรรยากาศการทำงานเหมือนในซีรีส์เรื่อง Misaeng เลยแต่ไม่กดดันเท่า อย่างเพื่อนบางคนต้องไปทำงานพาร์ตไทม์ในมาร์ท ใช้แรงงานเยอะๆ มันเหนื่อย”  

 

รีวิวสังคมที่เกาหลี
ข้อดีก็เยอะ แต่คัลเจอร์ช็อกเยอะกว่า!


       ไปอยู่ที่เกาหลีนานแล้ว มีเรื่องอะไรที่ชอบเป็นพิเศษมั้ยคะ? เรื่องดีๆ ของที่นี่คือเราแทบไม่ต้องใช้เงินสดเลย เพราะหน่วยเงินมันเยอะ จ่ายทีหลักพันหลักหมื่นวอน เศษสตางค์มันเลยเยอะมาก ต้องคอยนับเหรียญ เค้าก็เลยทำให้มันเป็นสังคมไร้เงินสดเกือบ 100% แถมเกาหลีรับส่งเงินง่ายมาก ทำธุรกรรมทางการเงินก็ง่ายมากเหมือนกัน เราใช้บัตรเดบิตใบเดียวจบเลยจ่ายได้ทุกอย่าง รถไฟฟ้า รถเมล์ รถไฟก็ลิงก์เข้าหากันหมด คนเกาหลีเลยไม่มีเงินสดติดตัว ข้อเสียคือถ้าระบบเจ๊งก็คือตาย แต่หลายๆ อย่างก็ยังต้องใช้เงินสดนะ อย่างร้านค้าบางร้านหรือร้านคาราโอเกะ”
 
       “แล้วเกาหลีเป็นประเทศที่แพงงง ในสายตาเรารู้สึกว่าอะไรก็แพงไปหมด ของกิน ของใช้ ที่อยู่คือแพง มีสิ่งเดียวที่ถูกคือบัตรคอนเสิร์ตกับพวกอัลบั้ม ปีที่แล้วเราไปคอนเสิร์ตมา 20 งาน 5555”
 

 
       “ส่วน Culture Shock นี่มีหลายอย่างเลย ที่แอฟเฟกต์กับเรามากที่สุดคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของคน เช่นถ้าเค้ารู้จักกับเรา เค้าจะถามเรื่องส่วนตัวลึกมากๆ ในความคิดคนไทยคือค่อนข้างละลาบละล้วง และคนเกาหลีค่อนข้างค่อนข้างให้ความสำคัญกับการมีแฟน เปิดกว้างมากเรื่องคู่รักชายหญิง เค้าแสดงความรักกันเยอะมาก แต่บางทีมันก็เยอะไป อย่างบางคู่อยู่ในรถไฟฟ้าคือแทบจะล้วงกันอยู่แล้ว หรือเวลาเดินมาตามถนนนี่นับได้เลยว่าใครที่ไม่มีคู่หรือเดินมากับเพื่อน บางทีก็รู้สึกว่ามันอยู่ยากสำหรับเรา เพราะมีสิ่งที่เอื้อสำหรับคนโสดน้อย เช่นไปเปิดโต๊ะกินข้าวคนเดียวไม่ได้อีก แต่ตอนนี้ที่เกาหลีก็กำลังดีขึ้นนะ”
 
       “คนเกาหลีค่อนข้างที่จะถึงเนื้อถึงตัว แล้วก็ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอกมาก ต้องคิดว่าจะแต่งตัวยังไง ผมเผ้าต้องเป๊ะ เราใส่เสื้อยืดรองเท้าแตะไปมาร์ทหน้าบ้านคือมีคนมองว่าแบบ แกเป็นไร ทำไมไม่แต่งตัว”
 

 
       “อีกเรื่องที่ช็อกมากคือคนที่นี่จะคล้ายกับคนญี่ปุ่นตรงที่ไม่อายที่จะแก้ผ้าต่อหน้ากัน ไปในที่พับลิกแบบยิมก็คือถอดหมดเลย ช็อกจริง ช่วงแรกๆ ที่ไปถึงเราไปที่ซาวน่า ก็คือทำใจมาในระดับนึงแล้ว แต่ไปถึงจริงๆ คือไม่ไหว แบบเด็กวัยรุ่น 5 คนยืนแก้ผ้าคุยกัน กลายเป็นว่าคนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวดูประหลาด เราเลยไปอะไรแบบนี้น้อยมาก 3 ครั้งเองมั้ง โรงอาบน้ำจืดเวลาไปเล่นน้ำทะเลก็คือถอดหมด อะไรแบบนี้คือไปกับเพื่อนไม่ได้ ไปเจอคนรู้จักไม่ได้อ่ะ”

 

ปิดท้ายสำหรับน้องๆ ที่สนใจทุนรัฐบาลเกาหลี


       “เราว่าทุนรัฐบาลเกาหลีเป็นทุนที่ดีมาก เพราะเป็นทุนให้เปล่า ไม่ต้องใช้เงินคืน แล้วตอนนี้ประชากรเกาหลีกำลังลดลงเพราะเค้าไม่ค่อยมีลูกกัน รัฐบาลเลยอยากได้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงาน เค้าเลยให้ทุนต่างชาติในอัตราส่วนที่ค่อนข้างเยอะ เรียนจบแล้วอยากทำงานต่อในเกาหลีเค้าก็จะให้วีซ่า ค่อนข้างมีนโยบายดึงดูดต่างชาติเลยแหละ”
 

 
       “ตอนนี้กระแสเกาหลีมันมีมานาน ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ทุกคนเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ง่าย แต่เราอยากให้มองอย่างนึงว่าการที่เราจะเรียนหรือรู้อะไร ให้เริ่มต้นจากแพชชั่น เราอยากรู้ไปทำไม เอาไปใช้ทำอะไรในอนาคต เพราะบางคนที่ขอทุนมาเรียนป.โทที่จริงแล้วอาจจะอยากแค่ภาษา แต่การเรียนป.โทต้องใช้เวลากับมันเยอะ แต่ถ้าใครที่สนใจจริงๆ เกาหลีค่อนข้างก้าวหน้าเรื่องวิทยาศาสตร์นะ แล้วก็มีทุนสายวิทย์เยอะมากๆ”
 
       “การได้มาใช้ชีวิตที่นี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้ามีโอกาสอยากให้คว้าไว้ แถมเกาหลีเปิดให้ทุนเยอะมาก ตามมหาลัยก็ให้ทุน ให้ส่วนลด อย่างโซลก็ตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วย แม้กระทั่งคนที่อยากเรียนต่อก็ดี เพราะใช้ชีวิตง่าย อัตราอาชญากรรมต่ำ แถมเค้ากำลังเปิดรับต่างชาติขึ้นเรื่อยๆ ด้วยครับ”

 
       เป็นอีกคนนึงที่หาจุดมุ่งหมายในชีวิตเจอและมุ่งมั่นในเส้นทางนั้นจนประสบความสำเร็จไปทีละขั้น น่าชื่นชมพี่นัทมากเลยค่ะ ^^ พี่เองก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนในการทำตามความฝันด้วยนะคะ สู้ๆ!

       
พี่เยลลี่
พี่เยลลี่ - Columnist อักษรศาสตร์ เอกมโน โทติ่ง หิวชานมตลอดเวลาและเป็นทาสลูกน้องแมว

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด