อันยองครับน้องๆ ชาว Dek-D ถ้าพูดถึงเรื่องเด็กจบใหม่ว่างงาน ถือว่าเป็นอีกประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในทุกๆ ปี และนับวันยิ่งมีตัวเลขที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ที่ไทยที่เดียวนะครับ ล่าสุดอย่างที่เกาหลีก็กำลังตกอยู่ในปัญหานี้เช่นกัน แถมมีอัตราตกงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกด้วย น้องๆ สงสัยเหมือนกันมั้ยครับว่าทำไมประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเศรษฐกิจอย่างเกาหลีถึงตกอยู่ในปัญหานี้ เรามาหาสาเหตุพร้อมอ่านความคิดเห็นของคนที่นั่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีกว่าครับ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าปัญหาคนว่างงานในเกาหลีใต้นั้น ความจริงแล้วเป็นประเด็นที่เรื้อรังมาหลายปี และทางรัฐบาลเองก็พยายามที่จะแก้ไขมาอยู่ตลอดด้วยการออกโนบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในส่วนนี้ และหนึ่งในนโยบายที่ประธานาธิบดีมุนแจอินได้ประกาศใช้ คือ นโยบายเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำ ซึ่งตอนที่ประกาศใช้นโยบายนี้ก็มีการวิพากษณ์วิจารณ์กันในวงกว้างทั้งในแง่บวกและแง่ลบ แต่อย่างไรก็ตามก็มีการจับตามองผลของนโยบายนี้มาเสมอ แต่ก็ดูเหมือนว่าผลที่ได้กลับไม่เป็นได้ดีขึ้นตามที่คิดแถมอาจยิ่งร้ายแรงกว่าเดิม เพราะจำนวนคนตกงานกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นวิกฤต อย่างเมื่อปี 2018 ก็มีการรายงานว่ามีอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 134,000 คน ซึ่งยอด ณ ตอนนั้นถือว่ารุนแรงมากๆ เท่าที่เกาหลีเคยมีมา
และ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2019 ก็ได้มีการรายงานสถิติที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสมากขึ้นไปอีก เพราะว่ามีคนว่างงานจำนวนมากกว่า 453,000 คน ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 15 ถึง 29 ปี และเป็นจำนวนที่มากกว่าปีก่อนถึง 65,000 คนเลยทีเดียว นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาของแดนโสมขาวเลยก็ว่าได้ และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอีกด้วยครับ
ประเด็นเรื่องคนรุ่นใหม่ตกงานนั้นเป็นที่พูดถึงในเกาหลีมากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดทางช่อง Asian Boss เค้าเลยได้ทำคลิปสัมภาษณ์ความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ทั้งเด็กมหาลัย เด็กจบใหม่ รวมถึงคนวัยทำงานที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ตกงานมากที่สุด มาดูกันว่าพวกเค้ามีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรกันบ้าง?
ถ้าเป็นที่ไทยส่วนมากเราจะเริ่มหางานทำหลังเรียนจบมหา'ลัย
แล้วที่เกาหลีล่ะ เค้าเริ่มหางานทำตอนไหน?
แล้วที่เกาหลีล่ะ เค้าเริ่มหางานทำตอนไหน?
"โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะเริ่มทำงานจริงๆ จังๆ ช่วงอายุ 20 ปีเป็นต้นไปครับ แต่บ้างก็บอกว่าอย่างมากที่สุดเราควรมีงานทำภายในอายุ 29 ปี จากนั้นก็ค่อยซื้อบ้าน และเริ่มมีครอบครัวในภายหลัง"
Photo Credit: The Korea Times
ชายผู้ให้สัมภาษณ์อีกคนบอกว่า "ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงมักจะมีงานทำเป็นประจำก่อน ส่วนผู้ชายหลังเรียนจบมหาวิยาลัยพวกเขาก็เข้ากรมเป็นทหารเกณฑ์และค่อยเริ่มหางานทำเป็นประจำ ซึ่งจากประสบการณ์ของเพื่อนผม พวกเค้าบอกว่ามันหางานยากมาก เพราะพวกเค้าล้วนต้องการทำงานในบริษัทใหญ่ๆ แต่บริษัทเหล่านั้นมีอัตราการจ้างงานที่ค่อนข้างต่ำ และนับวันก็ยิ่งรับคนน้อยลงมากกว่าเดิมไปอีก และถึงจะเป็นแบบนั้นเพื่อนของผมก็ไม่ได้มีความคิดที่จะทำงานในบริษัทเล็กกว่า ซึ่งผมก็คิดว่านี่แหละอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนหางานยาก"
"เพื่อนรุ่นพี่ของผมกำลังหางานอยู่ในตอนนี้ และถึงแม้ว่าเค้าจะมีประวัติโปรไฟล์งานที่ดีมากๆ แต่เหมือนว่าเค้าก็ไม่สามารถเข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ได้ ซึ่งรวมไปถึงบริษัทขนาดกลางด้วยเช่นกัน"
"ตอนนี้พวกเค้ากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากพอควรเลย และบางคนที่ได้งานแล้วก็ได้ทำงานที่ตัวเองไม่ได้ต้องการในแต่แรก และนั่นก็ทำให้พวกเค้าเกิดความเครียดมากๆ
"ผมคิดว่ามีบางคนที่ยอมแพ้ต่องานที่ใฝ่ฝัน และได้เปลี่ยนมาทำงานที่ง่ายกว่าแทน และผมก็รู้ว่ามีคนที่สมัครงานบริษัทใหญ่ๆ แต่ก็ไม่ได้และเปลี่ยนมาทำงานในบริษัทขนาดกลางหรือเล็กกว่าแทน และก็มีเพื่อนผมที่อยู่ในช่วงฝึกงานอยู่ ตอนนี้เค้าก็เกิดความเครียดอยู่เหมือนกัน เพราะว่ามันไม่มีอะไรมาการีนตีได้เลยว่าจะได้งานทำต่อเลยหลังจากฝึกเสร็จ"
แล้วงานในเกาหลีหายากแค่ไหน?
"สำหรับการหางานในเกาหลี คุณจำเป็นต้องเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเพื่อที่จะสามารถเข้าทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ได้ แต่เพื่อนของผมเค้าก็เรียนจบวิศวะเคมีจากมอดังๆ และตอนนี้ก็ตกอยู่ในช่วงหนักหน่วงในการหางานทำ ผมเลยคิดว่าการหางานในปัจจุบันนั้นยากมากขึ้นสำหรับทุกคนจริงๆ"
"ในปัจจุบันแม้ว่าคุณจะมีโปรไฟล์ดีเลิศแค่ไหนก็หางานยากอยู่ดี และความรู้ภาษาอังกฤษก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ และยิ่งถ้ามีความรู้ภาษาอื่นๆ นอกจากนี้ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสมากกว่า และหลายๆ บริษัทก็ระบุคุณสมบัติเรื่องนี้ไว้ด้วย ผมเลยคิดว่าการหางานทุกวันนี้ก็ยิ่งยากมากกว่าเดิม และผมเองก็เครียดและรู้สึกถึงความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ"
ถัดมาที่ผู้ให้สัมภาษณ์อีกคนซึ่งเคยมีประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศมาก่อน เค้าก็ได้มีมุมมองต่อเรื่องนี้รวมถึงปัจจัยที่เกิดจากตัวคนด้วยเช่นกัน "เวลาผมอ่านข่าว เอาจริงๆ ก็มักเจอข่าวที่บอกว่าบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นต้องการคนมาร่วมงานด้วยอยู่บ่อยๆ ดังนั้นผมก็เลยค่อนข้างสับสนนิดนึงตรงที่ว่า ทำไมอัตราคนว่างงานถึงสูงขึ้น หรือว่าความจริงแล้วประเด็นมันอยู่ที่ต่างคนต่างสถานการณ์มากกว่า ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่เคยอาศัยอยู่ต่างประเทศมาก่อน ผมคิดว่าคนเกาหลีตั้งมาตรฐานเอาไว้สูงเกินไป และพอเค้าไม่สามารถเข้าบริษัทใหญ่ๆ ได้ก็จะรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าคนต่างชาติที่ผมเคยเจอ และคนเกาหลีมักจะชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นมากกว่าด้วย ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่เราได้เห็นจากตัวเลขว่าคนว่างงานกันเยอะ แต่ถ้าพวกเค้าลองเปลี่ยนความคิดให้มีเหตุผลมากขึ้น และลดมาตรฐานลงมาบ้าง ผมคิดว่าอัตราคนว่างงานก็อาจจะลดลงก็ได้"
แล้วจากข่าวที่ออกมาว่าคนตกงานเยอะ คิดเห็นยังไงกันบ้าง?
"ผมคิดว่าปัจจุบันบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางก็กำลังเผชิญปัญหาในการจ้างพนักงานใหม่ และก็มีคนจำนวนมากที่พยายามเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ มากกว่า ผมคิดว่าสาเหตุมาจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ผู้คนก็เลยพยายามมองหางานที่มั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทใหญ่ๆ มากกว่า พวกเค้าก็เลยไม่ได้สมัครงานในบริษัทที่เล็กกว่า"
Photo Credit: Unsplash
"ที่ประเทศสวีเดน คนที่นั่นเค้าดูมีความสุขกับงานที่ทำแม้ว่างานนั้นจะเป็นงานประเภท Blue Collar (งานที่ใช้แรงงาน ไม่ได้เป็นงานออฟฟิศ) อย่างเช่นเป็นช่างประปา พวกเค้าก็สามารถหาเงินได้มากกว่างานออฟฟิศบางอย่างซะอีก เพราะว่างานเหล่านี้ก็ได้รับการยอมรับเช่นกัน มันจึงมีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับคนที่หางานทำ แต่ในกรณีแบบนี้จะไม่เหมือนกับที่เกาหลีใต้ เพราะว่าผู้คนมักจะจัดอันดับและเชิดชูเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบันที่พวกเค้าเรียนมา พวกเค้าไม่ได้ยอมรับอาชีพอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป และรายได้ของคนที่ทำงานทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานบริษัทก็จะค่อนข้างต่ำ ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาจากระบบ และก็คิดว่าที่เกาหลีก็ไม่ได้มีสวัสดิการที่ดีด้วย"
"บางประเทศในยุโรป พวกเค้าไม่ได้รู้สึกกลัวที่จะต้องเปลี่ยนงาน ดังนั้นเวลาที่เค้ารู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันไม่เข้ากับตัวเอง พวกเค้าก็จะลาพักหรือไม่ก็ลาออกจากบริษัทไปเลย และทางรัฐบาลเค้าก็จะช่วยจ่ายเงินชดเชยให้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับผู้คนในการพยายามเข้าบริษัทใหญ่ๆ หรือว่าต้องเป็นหมอ หรือนักกฎหมาย เพื่อที่จะได้มีรายได้เยอะๆ ผู้คนที่นั่นเค้าแค่หาเงินให้เพียงพอเพื่อที่จะอยู่แบบสบายๆ และค่อยไปเครียดหรือจริงจังกับเรื่องอื่นแทนที่ไม่ใช่เรื่องงาน"
น้องๆ รู้มั้ยครับว่านอกจากรัฐบาลได้ประกาศนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ยังได้มีการลดชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ลดลงเหลือวีคละ 52 ชั่วโมงอีกด้วย แต่บริษัทขนาดเล็กมองว่า นโยบายนี้เป็นการกีดขวางพวกเค้าในการจ้างพนักงานใหม่ซะมากกว่า
"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่ทางรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีขึ้นในเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต (work-life balance) แต่อย่างไรก็ตามก็มีผู้คนที่จำเป็นต้องทำงานมากกว่า 52 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถ้าพวกเขาจำกัดชั่วโมงทำงานไว้แบบนี้ มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเค้าสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเรื่องของทางการเงิน และผมก็คิดว่าค่าแรงขั้นต่ำนั้นเพิ่มขึ้นมากไปถ้าเทียบกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้ เจ้าของธุรกิจจำนวนมากก็เลือกจ้างพนักงานแบบพาร์ตไทม์แทน หรือไม่ก็ลงมือทำด้วยตัวเอง และก็มีอีกหลายแห่งที่เริ่มใช้ หุ่นยนต์ AI แทนมนุษย์เพื่อความสะดวกมากขึ้น คือมันก็เป็นเรื่องดีที่เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ แต่ถ้ารัฐบาลยังไม่พิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจและยังคงเดินหน้าที่จะเพิ่มค่าแรงอีก ผมคิดว่าอัตราคนว่างงานก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"
ถ้าสมมติว่าเราไม่สามารถหางานทำได้ภายใน 2-3 ปีนี้
คุณคิดว่าครอบครัวและรวมไปถึงเพื่อนของคุณ จะคิดเกี่ยวกับคุณว่ายังไงบ้าง?
คุณคิดว่าครอบครัวและรวมไปถึงเพื่อนของคุณ จะคิดเกี่ยวกับคุณว่ายังไงบ้าง?
"โดยปกติแล้วที่เกาหลีคนอายุ 20 ขึ้นไปส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่มากกว่าอาศัยอยู่คนเดียวแบบอิสระ จนกระทั่งอายุ 30 ขึ้นไป ถ้าคุณยังไม่สามารถหางานทำได้ คุณจะรู้สึกกดดันจากครอบครัว และมันก็จะมีคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับคุณที่หางานทำได้แล้ว ส่วนตัวคิดว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจะรู้สึกกดดันและเป็นกังวลมากขึ้นว่าพวกเค้าจะคิดยังไงเกี่ยวกับเราบ้าง"
"เพื่อนของผมเค้ารู้สึกอับอายที่ไม่สามารถหางานทำได้ และเค้าก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกดาวน์ลงไปอีก ซึ่งคนรอบข้างนี่แหละถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้น"
"ผู้คนบอกว่าความเชื่อมั่นในตัวเองของผู้ชายจะน้อยที่สุดตอนที่เค้าหางานทำไม่ได้ ซึ่งจะเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เค้าเรียนมหาลัยปีสุดท้ายจนกระทั่งเค้าได้งานทำจริงๆ ซึ่งผมเองก็กำลังเผชิญกับความรู้สึกนี้อยู่เหมือนกัน เพราะว่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันเริ่มได้งานทำแล้ว และด้วยเหตุผลที่ผู้ชายเกาหลีทุกคนจะต้องเข้ากรมเข้ารับราชการทหาร และผู้หญิงรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ได้งานทำกันหมดแล้ว โดยเฉพาะพวกคนเก่งๆ มีความสามารถก็ยิ่งมีงานทำดีๆ ไปอีก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนเหล่านั้น และยิ่งถ้าผมไม่มีงานทำเป็นเวลานานๆ ก็จะยิ่งรู้สึกกังวล และความภาคภูมิใจที่เคยมีก็จะกลายเป็นความเจ็บปวด เพราะถึงแม้จะทุ่มเทความพยายามไปเท่าไหร่ สุดท้ายก็กลายเป็นคนตกงานอยู่ดี"
คิดว่าเกาหลีจะสามารถลดจำนวนคนว่างงานให้น้อยลงภายใน 2-3 ปีนี้ได้หรือไม่?
"ผมคิดว่าเราต้องเพิ่มความหลากหลายในตลาดงานให้มากขึ้น เพราะในตอนนี้อุตสาหกรรมและตลาดงานในเกาหลีมันถึงจุดอิ่มตัวมากเกินไป ซึ่งจุดนี้จะมีผลต่อบริษัท startups ที่มีอยู่ รวมถึงธุรกิจอาหารเช่นกัน ซึ่งถ้าแก้จุดนี้ได้ อัตราคนว่างงานก็จะลดลง"
หญิงสาวที่มาด้วยกัน ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า "ฉันคิดว่าผู้คนควรหยุดที่จะหางานทำเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เพราะว่าบริษัท startups และบริษัทขนาดกลางหลายแห่งก็มีโอกาสที่จะเติบโตเหมือนกัน และถ้าแม้ว่ารัฐบาลจะไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวเลขคนว่างงานที่เยอะขนาดนี้ ฉันคิดว่าตัวนักศึกษาเองก็ไม่ควรยึดติดกับความคิดที่จะต้องได้ทำงานแค่เฉพาะบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น กระบวนการหางานก็อาจจะง่ายมากขึ้น"
"สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการหางานก็ไม่ควรนั่งรออยู่กับที่และรอให้รัฐบาลแก้ไขแค่เพียงอย่างเดียว พวกเราก็ควรพยายามและต่อสู้ไปพร้อมกันในการสร้างประเภทงานใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้น เพื่อโอกาสที่มากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง และเมื่อเราสามารถสร้างอาชีพใหม่ๆ ได้มากขึ้น ทั้งคนรุ่นถัดไปรวมถึงรุ่นเราเองก็จะไม่ต้องกังกวลเกี่ยวกับเรื่องการไม่ถูกจ้างงาน หรือจำกัดตัวเองในสายงานและอุตสาหกรรมที่มีอยู่เท่านั้น จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนไม่มีเลย เช่น ยูทูบเบอร์ท่องเที่ยว หรือเปิดช่องยูทูบเกี่ยวกับการกินอาหารที่เราเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกินจะสามารถสร้างอาชีพได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าลองคิดนอกกรอบดูบ้าง เราก็อาจจะสร้างอาชีพได้หลากหลายสาขามากขึ้นเช่นกัน ผมเชื่อว่าพวกเราทำได้แน่นอน"
"และการเรียนจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ไม่ใช่หนทางเดียวที่จะบอกว่าเราประสบความสำเร็จเสมอไป คนรุ่นเราควรแสดงออกมาให้เห็นว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง คือ การทำตามความฝันและคุณค่าของเราเองต่างหาก"
เชื่อว่าหลายคนน่าจะยังไม่รู้มาก่อนว่าที่เกาหลีนั้นก็ประสบปัญหาคนว่างงานสูงขนาดนี้ พอได้ฟังที่เค้าสัมภาษณ์แล้ว พี่ว่ามีหลายความคิดเห็นที่น่าสนใจไม่น้อยเลย และบางอย่างก็ค่อนข้างคล้ายกับสถานการณ์ในบ้านเราเหมือนกันเนอะ... แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าครับ อันยองงง
Source:
0 ความคิดเห็น