สวัสดีผู้อ่านชาว Dek-D ทุกคนค่ะ เชื่อว่าในช่วงนี้หลายๆ คนคงใช้ชีวิตประจำวันกันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เนื่องจากสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ อย่าง Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคมก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยป้องกันเราจากไวรัสนี้ได้ แน่นอนว่าในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงแบบนี้ บริษัทหลายแห่งทั้งในไทยและต่างประเทศก็ได้เริ่มออกนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้านกันแล้ว (บริษัท Dek-D ก็เช่นกันค่ะ)
วันนี้เราเลยจะพาไปดูกันว่าการทำงานจากบ้าน หรือที่เรียกว่า Work from home นั้นจะเวิร์กอย่างที่คิดไหม รวมถึงทำให้งานออกมาดีเหมือนกับนั่งในออฟฟิศรึเปล่า ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูกันเลย!
“Many people think of working from home as shirking from home.”
-Nicholas Bloom-
-Nicholas Bloom-
เมื่อพูดถึงการทำงานที่บ้าน (working from home: WFH) หลายๆ คนมักนึกถึงภาพของการใส่ชุดนอน และเปิดแล็ปท็อปอยู่บนเตียง ซึ่งภาพจำแบบนี้มักทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าที่จริงแล้ว “การทำงานที่บ้านก็คือ การอู้งานอยู่บ้าน” น่ะสิ แต่สิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปนะคะ เพราะผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) เผยว่า การทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการมาทำงานที่ออฟฟิศวันละ 8 ชั่วโมงซะอีก
นอกจากนี้ บริษัท Automattic ของ Matt Mullenweg ก็ยังเคยประกาศขายสำนักงานในเมืองซานฟรานซิสโกไปเมื่อปี 2017 เพราะแทบไม่มีใครเข้าออฟฟิศเลยหลังจากที่บริษัทออกนโยบายให้พนักงานเลือกทำงานจากที่บ้านหรือที่ไหนๆ ก็ได้... ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั้ยคะ และถึงจะไม่เกิดวิกฤตไวรัสโคโรนา แต่เทรนด์การทำงานที่ว่านี้ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีข้อดีดังต่อไปนี้ค่ะ
1.เข้าถึงตลาดการจ้างงานได้ทั่วโลก
หากเปรียบการรับสมัครงานกับการหาปลา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การรับพนักงานเข้าทำงานในรูปแบบเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับการจับปลาในบ่อเล็กที่มีปลาไม่มากนัก แต่ถ้าเราสามารถจ้างพนักงานที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ก็จะเหมือนการได้จับปลาในท้องทะเลนั่นเอง โอกาสเข้าถึงคนเก่งๆ ก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย อย่างวิถีการทำงานออฟฟิศทั่วไปนั้น ถ้าบริษัทต้องการจ้างพนักงานชาวญี่ปุ่น เราก็ต้องจ้างคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในไทย แต่ถ้าเป็นการทำงานแบบ WFH บริษัทก็จะสามารถจ้างพนักงานที่ตรงความต้องการได้จากทั่วทุกมุมโลกเลยล่ะ (บริษัทต่างชาติ รวมถึงบริษัทใหญ่ๆ ก็ใช้วิธีการนี้กันทั้งนั้นเลยค่ะ)
2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย
อย่างที่เรารู้กันดีว่าบริษัทหนึ่งแห่งนั้นมีค่าใช้จ่ายต่างๆ มากมาย ไหนจะค่าเช่าสำนักงานในเมืองที่สูงลิ่ว ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ อีกมากมาย และที่ผ่านมา Dr. Nicholas Bloom นักเศรษฐศาสตร์จาก Stanford University เกิดความสงสัยในเรื่องนี้ จึงได้ทำการวิจัยเพื่อตอบคำถามว่า การทำงานที่บ้านเวิร์กจริงไหม? เขาได้ทดลองกับพนักงานบริษัท Ctrip (เอเจนซี่ด้านการท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน) โดยแบ่งพนักงานเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ทำงานที่บ้าน ส่วนกลุ่มที่สองเข้าออฟฟิศเหมือนเดิม ผลการศึกษาพบว่า การทำงานจากที่บ้านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น 13.9% แถมอัตราการพักเบรกและการลาป่วยยังลดลงด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังลดค่าใช้จ่ายต่อพนักงานหนึ่งคนได้ราวๆ $1,900 (ประมาณ 61,788 บาท) ด้วยค่ะ
3.อัตราการลาออกลดลง ความสุขเพิ่มขึ้น
การลาออกของพนักงานทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายก้อนโตอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะต้องประกาศรับสมัคร สัมภาษณ์งาน ฝึกอบรม และอื่นๆ อีกมากมาย กว่าจะหาพนักงานคนใหม่มาแทนคนเก่าได้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย และเสียเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาของ Dr. Nicholas เผยว่า อัตราการลาออกของพนักงานที่ทำงานที่บ้านลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับพนักงานที่นั่งทำงานในออฟฟิศ แถมพวกเขายังรู้สึกมีความสุขและมีความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
นอกจากเรื่องการลาออกที่ลดลงและความสุขในการทำงานที่เพิ่มขึ้น บริษัทที่มีนโยบายให้พนักงานทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศยังสามารถหาพนักงานเข้าทำงานได้ง่ายกว่าเดิมด้วย เนื่องจากมีผลการศึกษาที่พบว่า คนรุ่นใหม่ยุคมิลเลนเนียลส์ (millennials) กว่า 41% ชอบสื่อสารผ่านหน้าจอมากกว่ามาเจอกันตัวเป็นๆ ซะอีก
4. เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
จริงๆ ต้องบอกว่าการทำงานจากบ้านนั้นถือว่าเป็นทักษะสำคัญอีกหนึ่งที่ทั้งบริษัทและพนักงานควรเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีสถานการณ์วิกฤตที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวในอนาคตขึ้นเมื่อไหร่ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ จากการระบาดของไวรัส Covid-19 ที่กำลังเผชิญกันในช่วงนี้ หรือกับในกรณีที่พนักงานเป็นไข้ไม่สบาย ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฝืนร่างกายมาทำงาน และก็จะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อสู่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วยค่ะ แล้วยิ่งช่วงไหนที่สภาพอากาศเลวร้าย พายุเข้า น้ำท่วม หรือฝุ่น PM 2.5 สูงปรี๊ดจนอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ออกมาทำงานไม่ได้ การทำงานที่บ้านก็มีส่วนช่วยให้เรารับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ
5.อิสระที่เราเลือกได้
การทำงานเป็นกิจวัตรที่ต้องตื่นเช้า ตอกบัตรเข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น นั่งโต๊ะตัวเดิมทุกวัน อาจไม่น่าสนุกสำหรับใครหลายคน ดังนั้น การทำงานที่บ้านก็เป็นอีกทางเลือกที่ทำให้มีอิสระในการจัดตารางการทำงานได้คล่องตัวขึ้น แถมยังควบคุมสภาพแวดล้อมการทำงานได้เองอีกด้วย ซึ่งหากไม่เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา “Work from home” ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องกักตัวพร้อมทำงานอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียวใช่ไหมคะ
และอย่างที่พี่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า คุณ Matt Mullenweg ผู้บริหารของ Automattic (บริษัทแม่ Wordpress.com) ได้ขายสำนักงานที่ซานฟรานซิสโกไปแล้ว เขาก็เล่าต่ออีกว่า ค่าใช้จ่ายที่ลดลงไปก็จะคืนให้กับพนักงานทุกคนในรูปของค่าเบี้ยเลี้ยงไว้นั่งทำงานตามคาเฟ่เก๋ๆ หรือจะไปใช้บริการ co-working space แบบวิถีฮิปสเตอร์ก็ยังได้ แถมยังมีสวัสดิการให้พนักงานแต่ง home-office เป็นของตัวเองด้วย ใครอยากได้จอคอมพิวเตอร์ เก้าอี้นั่ง หรือโต๊ะทำงานแบบไหน บริษัทก็พร้อมดูแลให้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเองค่ะ ^^
ถึงจะมีข้อดีมากมาย แต่การทำงานแบบ Work from home อาจไม่เหมาะกับทุกคน เพราะบางคนก็อาจเป็นคนขี้เหงา ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานจริงๆ มากกว่า ส่วนบางคนก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนบ้านให้เป็นที่ทำงาน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นอยู่กับงานตลอดเวลา และเครียดมากกว่าเดิมไปอีก ดังนั้น Dr. Nicholas เลยให้คำแนะนำว่า บริษัทอาจกำหนดนโยบายให้ทำงานที่บ้านสัปดาห์ละ 1-2 วัน และหากพบว่าประสิทธิภาพการทำงานลดลงก็อาจให้กลับมาทำงานที่ออฟฟิศแบบฟูลไทม์ 5 วันต่อสัปดาห์อย่างเดิมก็ได้ค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หวังว่าน้องๆ จะได้ทำความรู้จักกับการทำงานแบบ Work from home กันมากขึ้น พี่เชื่อว่าช่วงนี้น้องๆ หลายคนคงต้องเรียนหนังสือออนไลน์อยู่บ้านเหมือนกันใช่ไหมเอ่ย (พี่ก็เขียนบทความนี้จากที่บ้านเหมือนกัน 555) ยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :)
Sources:
0 ความคิดเห็น