สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D ถ้าพูดถึงไอดอลที่มีความโดดเด่นด้านวิชาการ และมีความสามารถด้านภาษาที่เป็นเลิศ แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ ‘คิม นัมจุน’ หรือ RM แห่งวง BTS บอยกรุ๊ปจากเกาหลีที่ตอนนี้ดังไกลระดับโลก ซึ่งต้องบอกเลยว่าเค้าเป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษมากๆ ยิ่งการออกเสียงและสำเนียงคือเหมือน native speaker มาเองเลยครับ ในตอนแรกพี่เองก็คิดว่าเค้าน่าจะเติบโตที่ต่างประเทศ หรือไม่ก็เรียนจบจากนอกแน่ๆ แต่ความจริงแล้วคือ เค้าเรียนจบมัธยมและมหาวิทยาลัยที่เกาหลี และไม่ใช่โรงเรียนอินเตอร์ด้วย ว่าแล้วเรามาย้อนประวัติการศึกษาของนัมจุนกันสักหน่อยว่าเค้าเรียนที่ไหนบ้างนะ
ประวัติการศึกษา & ผลงานวิชาการ
- มัธยม: นัมจุนเคยเรียนที่โรงเรียนมัธยมอิลซานแดจิน (Ilsan Daejin High School) ก่อนที่จะย้ายไปไปเรียนต่อจนจบระดับมัธยมที่โรงเรียนมัธยมปลายอับกูจอง (Apgujeong High School) ซึ่งในช่วงมัธยมนั้น นัมจุนมีผลสอบ mock K-SAT (คะแนนสอบเพื่อเตรียมความพร้อมสอบ SAT ใช้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย) อยู่ในระดับสูงมากๆ ซึ่งเรียกว่าเป็น 1% ของประเทศที่ได้คะแนนสูงขนาดนี้ คะแนนอยู่ในระดับที่ว่า ถ้าจะยื่นเรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับท็อปไม่ว่าที่ไหนก็ติดหมดเลยล่ะครับ
- ป.ตรี: เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยออนไลน์ ‘Global Cyber University (글로벌사이버대학교)’ ในสาขา Entertainment and Broadcasting (ทำความรู้จักมหาวิทยาลัยนี้เพิ่มเติมที่ www.dek-d.com/studyabroad/55082/)
- ป.โท: เมื่อไม่นานมานี้ นัมจุนได้เข้าเรียนต่อระดับ MBA หรือ ปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจที่ Hanyang Cyber University (한양사이버대학교 대학원) ในสาขา Advertising Media ซึ่งหนุ่มๆ วง BTS อีก 6 ทั้ง จิน ชูก้า, เจโฮป, จีมิน, วี ก็เรียนต่อที่นี่อยู่เช่นกัน (ทำความรู้จักมหาวิทยาลัยนี้เพิ่มเติมที่ www.dek-d.com/studyabroad/50490/)
- นัมจุนเคยสอบ TOEIC ตอนเรียนอยู่ม.2 โดยได้คะแนนไป 850 จาก 990 ซึ่งเค้าเองไม่เคยเรียนพิเศษภาษาอังกฤษมาก่อน อาศัยเรียนในห้องเรียนและศึกษาด้วยตัวเอง และนอกจากนี้แล้วนัมจุนยังเคยสอบ TEPS (The Test of English Proficiency developed by Seoul National University) ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษแบบหนึ่งซึ่งนิยมใช้ในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ โดยนัมจุนได้คะแนนไปถึง 797 คะแนน จากคะแนนเต็ม 990 หรืออยู่ในระดับ 2+ ซึ่งถือว่าสูงมากๆ สำหรับเด็กมัธยม (สูงสุดคือระดับ 1+)
เห็นประวัติการเรียนของนัมจุนแล้วคืออลังการมากกก และอย่างที่พี่เกริ่นไว้ในตอนแรกว่านัมจุนนั้นเก่งภาษาอังกฤษมากๆ ว่าแล้วมาดูต่อกันดีกว่าว่านัมจุนนั้นมีเทคนิคการเรียนภาษายังไงให้เป๊ะแบบนี้ ตามมาจด 4 ทริคดีๆ ของนัมจุนไปใช้กันดีกว่า
1. ดูซีรีส์/ภาพยนตร์เพื่อฝึกภาษา
Credit: The Ellen Show
ถือว่าเป็นวิธีสุดคลาสสิกสำหรับคนที่เริ่มเรียนภาษาเลยก็ว่าได้ นัมจุนเคยเผยในรายการ The Ellen Show รวมถึงให้สัมภาษณ์กับ Yahoo! Music ว่า เค้าเริ่มฝึกภาษาจากการดูซีรีส์อเมริกันเรื่อง Friends “ตอนที่ผมเป็นเด็ก บรรดาผู้ใหญ่ เหล่าผู้ปกครองที่บ้านเกิดผม มักชอบให้เด็กๆ หรือลูกๆ ของเค้าดูซีรีส์เรื่อง Friends ซึ่งจริงๆ ในตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวละครนั้นพูดว่าอะไรบ้าง แต่ก็ต้องขอบคุณแม่ของผมที่ให้ผมดูแบบมีซับภาษาเกาหลีและมีซับภาษาอังกฤษด้วย หลังจากนั้นผมก็เริ่มติดซีรีส์เรื่องนี้แบบงอมแงม หลงใหลทั้งเนื้อเรื่องและคาแรกเตอร์ตัวละครมากขึ้น ซึ่งแม่ของผมก็ซื้อ DVD ของซีรีส์เรื่องนี้ให้ผมดูครบทุกซีซั่น และผมก็ดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนับไม่ถ้วน และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมเรียนภาษาอังกฤษได้ดี เพราะบทละครนั้นไม่ซับซ้อนและฟังเข้าใจได้ง่ายด้วย”
ซีรีส์เรื่อง Friends
สรุปทริคในการเก็บเกี่ยวจากการดูซีรีส์ได้ผลของนัมจุนคือ รอบแรกดูเป็นภาษาตัวเอง รอบสองดูแบบมีซับภาษาอังกฤษ และรอบที่สามดูแบบไม่มีซับ และระหว่างดูก็พยายามเก็บคำศัพท์ให้มากที่สุด เรียกว่าเป็นวิธีที่น่าเอาเป็นแบบอย่างและได้ผลมาก สำหรับน้องๆ ที่ไม่เคยดูเรื่อง Friends พี่ก็ขอแนะนำเลย เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การดูเพื่อฝึกภาษามากๆ เนื้อเรื่องก็สนุก ถือว่าเป็นซิตคอมในตำนานแห่งยุค 90’s เลย ส่วนเนื้อเรื่องก็เน้นเรื่องราวชีวิตประจำวันทั่วไปของกลุ่มเพื่อนทั้งหมด 6 คนที่มาใช้ชีวิตในนิวยอร์กด้วยกัน พล็อตดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็แฝงอะไรไว้เยอะเหมือนกัน แถมมีถึง 10 ซีซั่นด้วย แต่ละซีซั่นก็มี 20 กว่าตอน ถ้าดูจบได้ภาษาคือคล่องแน่! ใครอยากฝึกภาษาจากซีรีส์ตามนัมจุนก็ตามไปดูกันได้ใน Netflix เลยครับ
2. เพราะ #นัมจุนอ่าน หนังสือนอกเวลา
เพราะว่าความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเฉพาะตำราในห้องเรียนเท่านั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพอมีเวลาว่าง การหยิบหนังสือสักเล่มมาอ่านก็ช่วยเพิ่มพูนความรู้และมุมมองใหม่ๆ ได้ไม่มากก็น้อย และสำหรับหนุ่มนัมจุนนั้นก็เป็นอีกคนที่อ่านหนังสือเยอะมากและหลากหลายแนวด้วย โดยเฉพาะวรรณกรรมที่แฝงด้วยปรัชญา จะเห็นได้จากแฮชแท็ก #นัมจุนอ่าน ที่ได้รวบรวมลิสต์หนังสือที่เค้าได้อ่าน และควรค่าแก่การแนะนำให้คนอื่นตามไปอ่านกัน เพราะแต่ละเรื่องนั้นล้วนแฝงไปด้วยสาระดีๆ ทั้งนั้นเลย และจากลิสต์จำนวนหนังสือที่นัมจุนได้อ่านนั้น หลายเล่มก็เป็นวรรรณกรรมภาษาอังกฤษที่เด็กอเมริกันแทบทุกคนล้วนต้องเคยอ่านและเรียนมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น
หนังสือ 1984 โดย จอร์จ ออร์เวล (George Orwell) เป็นอีกเล่มที่นัมจุนเคยแนะนำตอนให้สัมภาษณ์กับ KBS ซึ่งเล่มนี้เป็นนิยายแนวตีแผ่สังคมแบบดิสโทเปีย (Dystopia) หรือสังคมที่มีการปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ รัฐบาลจะคอยจับตาดูประชาชนทุกฝีก้าวประชาชนไม่ต้องคิดเป็น แค่ทำตามคำสั่งที่รัฐบาลสั่งให้ทำก็พอ… และเหตุผลที่หนังสือเล่มนี้มักใช้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กอเมริกัน เพราะว่าจะช่วยทำให้เด็กๆ จะได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีอิสระในการแสดงความเห็นและการตัดสินใจด้วยตัวเอง หลายคนจึงมักได้แรงบันดาลจากเรื่องนี้ไปสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เช่นเดียวกับวง BTS ที่เคยหยิบข้อความจากหนังสือ 1984 เป็น background ลงในโปสเตอร์คอนเสิร์ต BTS Begins Concert เมื่อปี 2015 โดยข้อความนั้นบรรยายไว้ว่า "War is Peace, Freedom is Slavery, Ignorance is Strength" มีความหมายว่า "สงครามคือสันติภาพ, เสรีภาพคือความเป็นทาส, ความเขลาคือพลัง" (เรื่อง 1984 มีเวอร์ชันภาพยนตร์ด้วยนะ ลองไปหาดูกันได้)
ส่วนอีกเล่มที่นัมจุนอ่าน (และเคยปรากฎใน MV เพลง Danger) มีชื่อว่า Catcher in the Rye หรือชื่อในไทย ‘จะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น’ โดย เจ.ดี. ซาลิงเจอร์ (J.D.Salinger) ต้องบอกว่าหนังสือนอกเวลาอเมริกันเล่มนี้เป็นเล่มที่โดนแบนจากห้องสมุดมากที่สุด โดนผู้ปกครองร้องเรียนมากที่สุด และได้รับเลือกให้เป็นหนังสือนอกเวลามากที่สุดอีกเช่นกัน แค่ประวัติก็คือน่าสนใจมากๆ แล้วใช่มั้ยครับ 5555 นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาคร่าวๆ เล่าถึงชีวิตเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังสับสนในชีวิต และต้องก้าวผ่านระหว่างความเป็นวัยรุ่น ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยระหว่างทางก็เผลอทำเรื่องเหลวไหลไปบ้าง และที่โดนแบนบ่อยๆ เพราะว่ามีการใช้คำหยาบเยอะ และยังมีเรื่องเพศเข้ามาด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นอีกเล่มที่น่าอ่านมากๆ และให้ข้อคิดที่ดีเลยล่ะ เพราะนิยายเรื่องนี้มันเป็นแนว coming of age ที่พูดถึงการก้าวผ่านระหว่างความเป็นวัยรุ่นเข้าสู่วัยที่ต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้น และต้องคิดให้ได้มากขึ้น และทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น
เห็นแต่ละเรื่องที่นัมจุนอ่านแล้วไม่แปลกใจเลยที่ผลงานแต่ละเพลงของวง BTS ที่นัมจุนและเหล่าเมมเบอร์สร้างสรรค์นั้นล้วนแฝงไปด้วยปรัชญาดีๆ ทั้งนั้น เพราะนอกจากความบันเทิงแล้วยังช่วยให้เราได้ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตอีกด้วย น่าชื่นชมมากๆ เลยครับ (แนะนำ 10 หนังสืออ่านนอกเวลาที่เด็กมัธยมอเมริกันทุกคนต้องเคยเจอ www.dek-d.com/studyabroad/43012/)
3. มีเวลาว่างก็ฝึกทำข้อสอบ For Fun!
Credit: Weverse และ TMI News
เวลามีเวลาว่าง น้องๆ ทำอะไรกันบ้างครับ บางคนอาจจะดูซีรีส์ ดูหนัง ชอปปิง หรือไถทวิต แต่สำหรับนัมจุนแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เค้าได้โพสต์รูปใน Weverse กำลังฝึกทำข้อสอบภาษาอังกฤษ TOEIC พร้อมบอกว่า เค้าทำข้อสอบเพื่อความสนุก (เห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยที่เคยสอบได้ 850 คะแนนตอนม.2) ไม่รู้ว่านี่ถือว่าเป็นอีกเคล็ดลับในการฝึกภาษาหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นทริคในการฝึกภาษาที่ดีเหมือนกันนะครับ ยิ่งถ้าน้องๆ คนไหนเตรียมสอบ TOEIC เพื่อนำคะแนนไปใช้ในการสมัครเรียนหรือสมัครงาน ลองฝึกทำข้อสอบบ่อยๆ และเราเดาทริคในแต่ละพาร์ตได้ไม่ยาก (ข้อสอบมักใช้แพตเทิร์นเดิมไม่ค่อยเปลี่ยน) และส่วนตัวพี่เองก็ขอแนะนำให้ลองซื้อหรือดาวน์โหลดข้อสอบจาก ETS ของเกาหลีทั้งพาร์ตการอ่านและพาร์ตการฟังเลย จากประสบการณ์สอบหลายครั้งค่อนข้างใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากที่สุดเลยครับ
4. เทคคอร์สสั้นที่ต่างประเทศ
RM @นิวซีแลนด์ (ไม่ใช่สมัยไปเรียนภาษานะครับ ^^)
Credit: BTS' official Twitter
ถึงแม้ว่านัมจุนอาจจะไม่ได้เรียนจบโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แต่เค้าก็เคยไปเทคคอร์สเรียนภาษาและใช้ชีวิตช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ต่างประเทศมาก่อน “ตอนผมอายุ 12 ปี ผมเคยเรียนคอร์สสั้นๆ ที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา 4 เดือน รวมๆ แล้วทั้งหมด 125 วันครับ และที่ผมจำตัวเลขจำนวนวันได้แม่นขนาดนี้เพราะว่า ผมเคยเขียนไดอารี่เอาไว้ตอนที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น และต้องบอกว่าการเดินทางไปที่นิวซีแลนด์ช่วยให้ผมพัฒนาทักษะภาษาของตัวเอง และผมก็ได้รับประสบการณ์มากมายเลยครับ” แน่นอนว่าการพาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารนั้นมีส่วนช่วยในการอัปสกิลภาษาตัวเองได้ไม่มากก็น้อย แต่วิธีนี้ก็ใช่ว่าจะเวิร์กกับทุกคนเสมอไปนะครับ เพราะภาษานั้นถือว่าเป็นทักษะ หากไม่หมั่นทบทวนและพยายามใช้ เมื่อเรากลับบ้านมาอยู่ในสังคมเดิมๆ ก็อาจจะทำให้เราไม่มีโอกาสได้ใช้และอาจหลงลืมไปเลยก็ได้ แต่สำหรับนัมจุนแล้ว เค้าไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองและพยายามเรียนภาษาอังกฤษและฝึกฝนด้วยตัวเองอยู่ตลอด จนทำให้สามารถใช้สื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วแบบที่เราเห็นกันในทุกวันนี้
ยอมรับตามตรงเลยว่าพี่อาจไม่ได้เป็นแฟนคลับของ BTS แบบจริงจัง แต่ก็คอยติดตามผลงานของหนุ่มๆ อยู่ตลอด (หรือเป็น ARMY แล้วนะ555) และก็ชอบดูและฟังตอนที่นัมจุนให้สัมภาษณ์หรือพูดเป็นภาษาอังกฤษมากๆ การออกเสียงคือชัดเจนและดูโปรเหมือน native speaker มากๆ และชื่นชอบเป็นพิเศษตอนที่นัมจุนได้เป็นตัวแทนของวงพูดกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อปี 2018 ซึ่งคำสุนทรพจน์ "What's your name? Speak yourself." ของนัมจุนนั้นดีมากๆ และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนที่กำลังมีปัญหาชีวิต คนที่อาจหลงทางผิด และเรียนรู้ที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่และยอมรับในข้อผิดพลาดและการเป็นตัวของตัวเอง
— UNICEF (@UNICEF) September 24, 2018
“ถึงแม้ว่าเมื่อวานผมจะเคยทำผิดพลาดไป แต่เมื่อวานมันก็คือตัวผม ซึ่งมันทำให้ผมกลายเป็นตัวของผมในทุกวันนี้และเป็นคนที่อยู่กับความผิดพลาดที่ผมเคยทำ แม้วันพรุ่งนี้ผมอาจจะได้เรียนรู้และหูตาสว่างเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย และนั่นมันก็คือตัวของผมอีกเช่นกัน ความผิดพลาดทั้งหลายนั้นมันได้กลายเป็นดาวที่ส่องแสงประกายในชีวิตของผม ซึ่งมันทำให้ผมรักตัวเองในแบบที่ผมเป็นอยู่ ในแบบที่ผมเคยเป็น และในแบบคนที่ผมหวังว่าจะเป็น”
“ผม คิม นัมจุน หรือ RM จาก BTS ผมเป็นไอดอลและศิลปินจากเมืองเล็กๆ ในประเทศเกาหลี ผมก็เหมือนกับทุกๆ คน ที่เคยทำผิดมาในชีวิต ผมมีข้อบกพร่องและมีความกลัวอยู่มากมาย แต่ผมก็จะยอมรับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และผมจะค่อยๆ เริ่มรักตัวเองให้มากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย"
"คุณชื่ออะไรครับ? พูดเพื่อตัวเองนะครับ”
Sources:
6 ความคิดเห็น
จนมุมเรอะ
ไอดอลที่เป็นมากกว่าไอดอล
มันแน่นอนมากค่ะ เก่งขนาดนี้ หล่อขนาดนั้น นิสัยดีกว่าพระเจ้า เป็น leader ที่ดี. ไม่งั้นหนูคงไม่หลงรักจุนนี้ขนาดนี้หรอกค่ะ.
ดูหนังหลายๆ รอบไม่เบื่อหรอคะ
ข้อมูลแน่นมากเลยค่ะ ตามเก็บมาดีมากจนนึกว่าเป็นอาร์มี่เลย ขอแก้ตรงซีรีย์เรื่อง Friends นิดนึงนะคะ นัมจุนบอกในรายการ The Ellen show ว่าเขาดูแบบซับภาษาเกาหลีค่ะไม่ใช่เสียงพากย์เกาหลีนะคะ